ตอนที่ 565 ลูกอกตัญญู
อวี้อาเหราเหม่อมองเงาร่างของนางกำนัลอาวุโสที่ค่อยๆ เดินจากไป ใบหน้าก็บึ้งตึงลงมาก ในที่สุดอวี้จื้อก็กลับมาแล้ว คงจะไม่สามารถถ่วงเวลาได้อีก ทำได้แต่เพียงต้องเผชิญหน้าเท่านั้น
หลิงอ๋องมีเพียงบุตรอนุ แน่นอนว่าต้องยกย่อง แม้แต่อวี้อาเหราที่เป็นธิดาเอก ต่อไปก็คงต้องเชื่อฟังเขา บุตรอนุผู้นี้ยังเป็นลูกชายของอนุรอง ความสัมพันธ์ของนางและอนุรองเหมือนน้ำกับไฟ ดังนั้น วันเวลาที่จะดำเนินไปหลังจากนี้จะสามารถผ่านไปได้ด้วยดีหรือ?
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อวี้อาเหราก็จำต้องเผชิญหน้ากับพวกเขาสามแม่ลูกเสียที
หลังจากทำผมเรียบร้อยแล้ว นายบ่าวทั้งสามก็เข้าไปยังห้องโถงด้านหน้าเพื่อทานอาหารเช้า
หลังจากเดินเข้ามาแล้ว จึงได้เห็นหนุ่มน้อยที่มีใบหน้างดงาม ทว่าก็ยังไม่ทิ้งความหล่อเหลากำลังนั่งอยู่ ดูแล้วคงจะมีอายุเพียงสิบสามหรือสิบสี่ปี เด็กกว่าอวี้อาเหราสองปีเต็ม คนผู้นี้คงเป็นอวี้จื้อไม่ผิดแน่
ใบหน้าของอวี้จื้อขาวผ่อง ดวงตาฉายแววสว่างไสว ราวกับสระน้ำในฤดูใบไม้ผลิก็ไม่ปาน ยามแย้มยิ้มให้ความรู้สึกเหมือนเด็กชายที่ชวนให้รู้สึกน่าแนบชิดสนิทสนม ดูอ่อนเยาว์เป็นอย่างยิ่ง เมื่อเห็นท่าทีของเขาแล้ว ดูจะเป็นคนที่ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมอะไร
เมื่อเทียบกับอนุรองที่เจ้าเล่ห์และอวี้จื่อเยียนที่โหดร้าย ก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
อวี้อาเหรามองอยู่เป็นนาน แล้วจึงค่อยวางใจ เมื่อเห็นว่าอวี้จื้อไม่เหมือนกับอนุรองและลูกสาวของนางก็ดี นางคงจะสามารถทำอะไรได้บ้าง คงจะไม่โดนรังแกจนน่าสงสารเหมือนที่คิดไว้ นางพิจารณาอยู่ชั่วครู่ ความรู้สึกก็เปลี่ยนไปอย่างมากมาย
ราวกับมองเห็นนางเข้า อวี้จื้อก็รีบยิ้มแล้วยืนขึ้น “จื้อเอ๋อร์คารวะพี่รองขอรับ”
“น้องสามไม่ต้องมากพิธี” อวี้อาเหราตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูดีอย่างยากที่จะได้ยิน ในเมื่อเขาต้อนรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แน่นอนว่าคงไม่อาจเกี่ยงงอน มิเช่นนั้นคงมีใครมองนางไม่ดี เพราะเห็นว่านางที่เป็นธิดาเอกนั้นไม่ไว้หน้าแม้แต่บุตรชายอนุที่อายุน้อยกว่า
หลิงอ๋องเห็นท่าทีของสองพี่น้องในครั้งแรกออกมาดูไม่เลว ก็พยักหน้าอย่างยินดี จากนั้นก็หันไปมองอวี้จื้อด้วยสายตาสงสัย แต่น้ำเสียงกลับฟังดูยินดีกว่ายามปกติอยู่มากโข
“เจ้าเห็นเพียงแวบเดียวก็รู้แล้วว่านี่คือพี่รองของเจ้า จำได้ว่าเจ้าเพิ่งเกิดได้ไม่นานก็ถูกอุ้มไปยังค่ายทหารแล้ว เจ้าจำได้อย่างไรว่านางคือพี่รอง?”
อวี้อาเหราเลิกคิ้วขึ้น นางเอกก็สงสัยในจุดนี้เช่นเดียวกัน
หากไม่ใช่ว่าเขาเป็นเด็กหนุ่มเพียงคนเดียวที่นั่งอยู่ในห้องนี้ นางก็คงจำไม่ได้เลยว่าคนตรงหน้าเป็นใคร แต่อวี้จื้อกลับจำนางได้แม้เห็นเพียงครั้งแรก
อวี้จื้อเอ่ยตอบ “ก่อนหน้านี้ลูกเคยเห็นภาพวาดของพระชายา และพี่รองก็มีใบหน้าคล้ายกับพระชายามาก เพียงเห็นแวบเดียวลูกก็ทราบแล้ว”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง!” หลิงอ๋องเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้ง
นางไม่เคยเห็นภาพวาดของพระชายาหลิงอ๋องแม้แต่น้อย ถ้าอย่างนั้นอวี้จื้อไปเห็นจากที่ไหนกัน? อวี้อาเหราคิดอย่างแปลกใจ นางจึงถามขึ้นมาโดยตั้งใจให้ดูเหมือนถามไปเรื่อยเปื่อย “น้องสามเห็นภาพวาดของเสด็จแม่จากที่ไหนหรือ”
“ที่ห้องหนังสือของเสด็จพ่อขอรับ” ใบหน้าของอวี้จื้อเผยให้เห็นรอยยิ้ม
อนุรองและอวี้จื่อเยียนเห็นพวกเขาทั้งสามพูดคุยอย่างสนุกสนาน โดยเฉพาะอวี้อาเหราที่มีใบหน้ายินดีแล้วก็รู้สึกไม่พอใจเท่าไรนัก รีบเดินเข้ามา อนุรองพูดกับอวี้จื้ออย่างอ่อนโยน
“เจ้าเพิ่งกลับมา แม่ก็คิดถึงเจ้าเหลือเกิน ไม่คิดเลยว่าไม่พบหน้าหลายปี เจ้าจะเติบโตขึ้นถึงเพียงนี้แล้ว ยิ่งโตยิ่งสง่างาม จนแม่แทบจะจำไม่ได้เลย”
“ลูกอกตัญญูนักที่ไม่สามารถอยู่ปรนนิบัติท่านแม่ได้” อวี้จื้อหันกลับมา มองไปทางอนุรอง ตัวเขาที่สูงกว่านางหนึ่งช่วงศีรษะ ก็โค้งลงเป็นการคำนับด้วยความเคารพสูงสุดให้อนุรอง
การคำนับครั้งนี้ ทำให้อนุรองซาบซึ้งจนกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ได้ ร่ำไห้ออกมาอย่างเงียบงัน
หลิงอ๋องหัวเราะเสียงดังพร้อมทั้งตบเข่า “อย่าร้องไห้กันเลย วันนี้เป็นวันดี กว่าที่ลูกชายของเราจะกลับมาบ้านได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เหตุใดเจ้าต้องทำให้เขาไม่สบายใจด้วย มาเถิด มากินข้าวด้วยกัน รอจนถึงตอนเย็น เราก็ได้สั่งให้คนเตรียมงานเลี้ยงต้อนรับจื้อเอ๋อร์กลับบ้านเรียบร้อยแล้ว”
ตอนที่ 566 ข่าวดี
“หลิงอ๋องกล่าวได้ถูกต้อง หม่อมฉันเกือบลืมไปเสียแล้วเพคะ” อนุรองใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำตาของตัวเอง ดึงอวี้จื่อเยียนเข้ามาแล้วถามไถ่เขาว่า “แม่เพิ่งจะเรียกนางเข้ามา เจ้าจำได้หรือไม่ว่านางเป็นใคร?”
“แน่นอนว่าต้องจำได้ พี่ใหญ่อย่างไรขอรับ” อวี้จื้อหัวเราะ
ใบหน้าที่แย้มยิ้มของเขาดูงดงาม จนทำให้จวนหลิงอ๋องที่บรรยากาศอึมครึมกลับมาสดใสขึ้น
อวี้จื่อเยียนยิ้มอย่างอ่อนโยน “จื้อเอ๋อร์โตถึงเพียงนี้แล้ว พี่เห็นแล้วก็ดีใจยิ่งนัก เจ้ากลับมาก็ดีแล้ว มิเช่นนั้นพี่และท่านแม่ที่อยู่ในจวนนี้ต้องถูก…”
“เยียนเอ๋อร์!” ในยามนี้ อนุรองก็กระแอมไอขึ้นมา
อวี้จื้อชะงัก “พี่ใหญ่หมายความว่าอย่างไรหรือ”
ท่าทีของอวี้จื่อเยียนก็เปลี่ยนไป “ถูกความคิดถึงเจ้าทรมานจนตายน่ะสิ”
“พี่ใหญ่วางใจเถิด ข้ากลับมาครั้งนี้ก็คงจะไม่ต้องกลับไปที่ค่ายทหารอีกแล้ว” อวี้จื้อได้ยินอวี้จื่อเยียนพูดออกมาเช่นนี้ก็ตบอกรับรองราวกับเป็นชายหนุ่มที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว
ไม่ต้องกลับไปแล้วหรือ? หลังจากได้ยินเช่นนี้ อวี้อาเหราก็มีท่าทีไม่ยินดีอย่างเห็นได้ชัด
นางกลับอยากให้อวี้จื้อกลับไปที่ค่ายทหารเสีย
“จริงหรือ? เหตุใดถึงไม่ต้องกลับไปแล้วเล่า” ใบหน้าของอนุรองดูยินดี
อวี้จื้อว่า “ฝ่าบาททรงเห็นว่าลูกอยู่ที่ค่ายทหารมานานไม่ได้อยู่กับบิดามารดา และเห็นว่าลูกใกล้จะเป็นผู้ใหญ่แล้ว ควรจะร่ำเรียนสิ่งที่เป็นประโยชน์เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระของเสด็จพ่อ เพราะอย่างนั้นจึงมีราชโองการให้ลูกโดยเฉพาะขอรับ”
“ฝ่าบาทมีราชโองการหรือ? เรื่องใหญ่เช่นนี้เหตุใดพ่อถึงไม่เห็นทราบ” หลิงอ๋องพลันตกใจขึ้นมา
“เสด็จพ่ออาจจะไม่ทรงทราบ เพราะครั้งนี้เป็นพระราชโองการลับ ลูกจึงคิดที่จะกลับมาก่อนเวลาที่กำหนดไว้สองวัน และไม่เขียนจดหมายมาบอกก่อน นี่ก็เพื่อต้องการที่จะให้เสด็จพ่อ ท่านแม่ พี่ใหญ่และพี่รองประหลาดใจ ทุกคนไม่ดีใจหรือขอรับ?”
“แน่นอนว่าต้องดีใจสิ!” อนุรองและอวี้จื่อเยียนยิ้มไม่หุบเลยทีเดียว
อวี้จื่อเยียนมองอวี้อาเหราตรงๆ ครั้งนี้อวี้จื้อกลับมาแล้วจะไม่กลับไปอีก ช่างเป็นเรื่องที่ดีสำหรับพวกนางสองแม่ลูกยิ่งนัก
ใบหน้าของอวี้อาเหราแย้มยิ้มน้อยๆ แต่ในใจกลับรู้สึกกังวล
เมื่อพูดคุยกันพอควรแล้ว ทุกคนก็นั่งลงประจำที่
หลังจากทานอาหารเสร็จ อวี้อาเหราก็กลับมาที่ห้องของตัวเอง เมื่อครู่นี้เมี่ยวอวี้และเจาเอ๋อร์ตามนางเข้ามาในห้อง แน่นอนว่าจะต้องได้ยินเรื่องของอวี้จื้อแน่ ท่าทีของทั้งสองดูกลัดกลุ้ม และใบหน้าของอวี้อาเหราก็ยิ่งดูบึ้งตึงมากกว่าเดิม
สำหรับเจาเอ๋อร์ที่โดนรังแกมาพร้อมๆ กับอวี้อาเหรามากมาย นางก็ไม่สามารถทนรับข่าวที่อวี้จื้อกลับเข้ามาอยู่ในเมืองเฟิงเฉิงได้เลย ในเมื่อนายน้อยสามกลับมา แน่นอนว่าต้องเป็นประโยชน์ต่ออนุรอง อำนาจของคุณหนูของนางก็คงถดถอยลงอีก
ที่นางกลัวที่สุดก็คือชีวิตที่จะย้อนไปถึงช่วงเวลาเดิมๆ ที่นางจะถูกรังแก แต่ช่วงเวลานี้… นางคิดแล้วคิ้วก็พลันคลายออก คุณหนูในตอนนี้ไม่เหมือนกับคุณหนูรองคนเดิม และนายน้อยสามยังไม่มีนิสัยเจ้าเล่ห์โหดร้ายเหมือนอนุรองและคุณหนูใหญ่ และคุณหนูของนางยังฉลาดเฉลียว อย่างไรก็คงไม่โดนแม่ลูกพวกนั้นรังแกได้อีก
พวกนางนั่งลงในห้อง ครู่ต่อมาก็มีเสียงสาวใช้ดังขึ้นมา “คุณหนูรอง นายน้อยสามมาคารวะท่านเจ้าค่ะ ทั้งยังนำของขวัญที่นำกลับมาด้วยไม่น้อยเลยเจ้าค่ะ”
คารวะ? เหตุใดเขาถึงดีเช่นนี้? นางยังไม่ทันได้เตรียมใจเลย ในยามอาหารเมื่อครู่นี้ นางมองสำรวจอวี้จื้ออยู่นาน เห็นว่าเขาดูไม่มีท่าทีเจ้าแผนการอะไร ทั้งยังยิ้มแย้มสว่างไสว ไม่ว่าจะเจอใครก็ยิ้มแย้มส่งให้ ไม่เหมือนกับอนุรองหรืออวี้จื่อเยียนเลยแม้แต่น้อย
เจาเอ๋อร์และเมี่ยวอวี้ชะงัก นายน้อยสามจะเข้ามาคารวะทำไมกัน?