ตอนที่ 547 ตัวบ่อนทำลาย
เมื่อเดินมาได้ครึ่งทาง เจาเอ๋อร์ก็ทนเก็บความสงสัยเอาไว้ไม่ได้ ในที่สุดก็เอ่ยถามสิ่งที่คาใจตัวเองออกมา
อวี้อาเหราหยุดฝีเท้าลง แล้วกลับมามองเจาเอ๋อร์ “เจ้าว่าถ้าหากข้าไม่ยอม เช่นนั้นเสด็จพ่อจะทรงทำอย่างไร?”
“เอ่อ คาดว่าก็คงต้องยอมปล่อยคุณหนูใหญ่ออกมาอยู่ดีเจ้าค่ะ” เขาเอ๋อร์ตอบอย่างอึกๆ อักๆ
“เจ้าก็รู้นี่ ถึงแม้ว่าข้าจะยินยอมหรือไม่ ไม่ช้าก็เร็วอวี้จื่อเยียนก็ต้องถูกปล่อยตัวออกมาอยู่ดี เพราะฉะนั้นเหตุใดข้าต้องบิดพลิ้วไม่ยอมรับข้อเสนอของเสด็จพ่อด้วย หากทำเช่นนั้นข้าก็ยิ่งจะเป็นฝ่ายเสีย” อวี้อาเหราอธิบาย
เป็นเมี่ยวอวี้ที่พลันเข้าใจขึ้นมา จากนั้นก็รับลูกพูดต่อว่า “เพราะอย่างนั้นคุณหนูถึงยอมปล่อยให้เป็นไปตามที่ท่านอ๋องต้องการ ครั้งนี้เป็นคุณหนูใหญ่ที่หาเรื่องท่านอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าท่านอ๋องจะยอมปล่อยนางออกมา แต่ในใจก็ยังคงคิดถึงใจของคุณหนูอยู่หลายส่วน ต่อไปหากจะทำอะไรก็ย่อมเห็นใจคุณหนูอยู่มากทีเดียว”
เจาเอ๋อร์ถอนหายใจ “แต่ในเมื่อคุณหนูใหญ่ถูกปล่อยตัวออกมาเช่นนี้ หากพวกนางแม่ลูกก่อเรื่องบ่อนทำลายคุณหนูอีกเล่า จะทำอย่างไร”
“เจ้าวางใจเถิด” อวี้อาเหรายิ้มอย่างผ่อนคลาย “เป็นเพราะเรื่องในครั้งนี้พวกนางแม่ลูกจึงถูกลงโทษอย่างรุนแรง ต่อไปก็คงไม่กล้าก่อเรื่องวุ่นวายอะไรอีก คงจะหยุดก่อเรื่องไปได้หลายวัน แต่ว่า…”
นางไม่ได้พูดถ้อยคำใดออกมาต่อจากนั้น หากแต่ในใจของนางกลับกำลังพิจารณา
แต่นางกลับหวังให้พวกนางสองแม่ลูกก่อเรื่องโดยเอาอวี้จื้อมาเป็นข้ออ้างเสียเหลือเกิน เมื่อถึงตอนนั้นก็คงโดนโบยกันยกใหญ่ ที่โชคดีก็คือไม่เพียงแต่สามารถกำจัดสองแม่ลูกได้ แต่ว่าแม้แต่อวี้จื้อก็คงจะพลอยโดนหางเลขไปด้วย
นั่นคือหนึ่งในเหตุผลที่นางยอมให้หลิงอ๋องปล่อยตัวอวี้จื่อเยียนออกมา ก็เพียงเพื่อยอมประนีประนอมกับหลิงอ๋องนั่นเอง แม้ว่านางจะเป็นคนขี้เกียจเสียเต็มประดา แต่ตอนนี้นางอยู่ในยุคสมัยที่ไม่ใช่ยุคของตัวเอง จำต้องคิดพิจารณาให้ละเอียดในทุกก้าว ไม่อาจก้าวพลาดได้
ก่อนหน้านี้ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่หน ที่นางเอาแต่คิดว่าอนุรองจะไม่กล้าลงมือททำเรื่องวุ่นวาย จึงยอมผ่อนปรนไม่สนใจ จนเกือบจะโดนกำจัดไปหลายครั้ง โชคยังดีที่ไม่เป็นอะไร เพราะอย่างนั้นนับแต่ครั้งนี้ต่อไป นางจะไม่ยอมทำตามนิสัยของตัวเอง สิ่งที่ห้ามทำก็คือความมั่นใจในตัวเองจนเกินเหตุ มิเช่นนั้นนางคงโดนจัดการได้โดยง่าย
นี่คือประสบการณ์ที่อวี้อาเหราได้เรียนรู้หลังจากได้ทะลุมิติข้ามภพในช่วงวันคืนที่ผ่านมา
เจาเอ๋อร์และเมี่ยวอวี้เห็นว่าอวี้อาเหราไม่พูดไม่จา ก็ไม่กล้าที่จะไล่ถามอะไร นางไม่บอกก็เป็นเพราะไม่อยากบอก เพราะอย่างนั้นก็ไม่จำเป็นที่จะต้องถามอีก เพราะถามไปก็คงไร้ประโยชน์
ในระหว่างที่พวกนางกำลังพูดคุยกันนั้น ก็เดินมาถึงเรือนพักโดยไม่รู้ตัว
อวี้อาเหราล้มตัวลงนอนบนเตียง ออกคำสั่งกับเจาเอ๋อ์และเมี่ยวอวี้ว่า “ไปเตรียมน้ำล้างหน้ามาเถิด วันนี้ข้าเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว”
“เจ้าค่ะ” เจาเอ๋อร์และเมี่ยวอวี้มองอย่างยิ้มๆ ก่อนจะเดินออกไปเตรียมของ
ยามนี้อวี้อาเหราพยายามที่จะฝืนตัวเองให้ตื่นอยู่ตลอดเวลา ไม่ให้ตัวเองผล็อยหลับไป ทว่านางที่นอนอยู่บนเตียงนั้น ดวงตาของนางก็ค่อยๆ หรี่ลง จนตาแทบจะปิดอยู่แล้ว
ยามที่หลิงอ๋องมาถึงนั้น เขาก็เห็นอวี้อาเหรานนกึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่บนเตียงด้วยอท่าทีที่สบายเป็นอย่างมาก
เช่นนั้นจึงกระแอมไอหนักๆ ออกมาคราหนึ่ง จนทำให้อวี้อาเหราสะดุ้งตื่นขึ้น
นางลืมตาโพล่ง ก็เห็นว่าหลิงอ๋องกำลังยืนอยู่ข้างเตียงแล้วมองนางที่ไม่อาจทนต่อความง่วงจนเผลอหลับไปเมื่อครู่นี้ ทำให้มองไม่เห็นว่าหลิงอ๋องเข้ามาตั้งแต่เมื่อไร
หลังจากที่ตื่นขึ้นมาเต็มตา นางก็รีบลุกขึ้นยืนในทันที ก่อนจะหันไปยิ้มให้หลิงอ๋องขณะที่เอ่ย “เสด็จพ่อ มาได้อย่างไรเพคะ”
“มาดูเจ้าน่ะสิ” หลิงอ๋องตอบง่ายๆ
อวี้อาเหราเห็นหลิงอ๋องกำลังมองมาที่ตัวเองด้วยสายตาสำรวจตรวจตรา จนนางทำตัวไม่ถูก ผ่านไปสักครู่นางก็พยายามจะเปลี่ยนเรื่อง ยามที่กำลังจะถามถึงเรื่องที่สำคัญกว่านี้ เจาเอ๋อร์และเมี่ยวอวี้ก็ยกเอาอุปกรณ์สำหรับผลัดเปลี่ยนและชำระล้างร่างกายเข้ามา เมื่อเห็นว่าหลิงอ๋องอยู่ที่นี่ด้วย ทันใดนั้นก็หยุดฝีเท้าลง ไม่กล้าที่จะเข้ามา
ตอนที่ 548 ลำเอียง
“ท่านอ๋อง?”
“พวกเจ้าออกไปก่อน เรามีเรื่องที่จะคุยกับคุณหนูของเจ้า” หลิงอ๋องออกคำสั่ง
“เพคะ” เจาเอ๋อร์และเมี่ยวอวี้รีบออกไปในทันที
อวี้อาเหราจึงค่อยๆ มองไปยังหลิงอ๋องด้วยสายตาสงสัย ยิ้มพลางเอ่ยขึ้นว่า “เสด็จพ่อมีเรื่องอะไรหรือเพคะ”
หลิงอ๋องปรายตามองใบหน้ายิ้มแย้มของอวี้อาเหรา ลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “เมื่อครู่นี้พ่อเห็นเจ้าออกมาจากห้องของอนุรอง เกรงว่าเจ้าจะขุ่นเคืองใจ เช่นนั้นจึงมาที่นี่เพื่อมาดูเจ้า อนุรองเป็นห่วงเยียนเอ๋อร์ พ่อไม่อาจทนเห็นนางผ่ายผอมลงทุกวันนี้เช่นนี้ได้ จึงต้องปล่อยให้เยียนเอ๋อร์ออกมา เจ้าเข้าใจพ่อใช่หรือไม่”
“ลูกเข้าใจเพคะ” อวี้อาเหราตอบอย่างราบเรียบ ใบหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก
หลิงอ๋องเห็นท่าทีของนางแล้วก็ทำได้เพียงถอนหายใจออกมา “หากเจ้าไม่พอใจ รอให้ผ่านปีใหม่ไปก่อนค่อยส่งเยียนเอ๋อร์ไปขังไว้ที่หนานย่วนอีกครั้งเถิด”
“เสด็จพ่อ” ในที่สุดสีหน้าของอวี้อาเหราก็แปรเปลี่ยนไป “ลูกไม่ได้หมายความเช่นนั้นเพคะ”
“อ้อ?” หลิงอ๋องเลิกคิ้วขึ้น เพื่อฟังว่านางจะพูดอะไร
อวี้อาเหรากล่าวว่า “เสด็จพ่อจะทรงกังวลเรื่องสุขภาพของอนุรองก็ไม่ผิด จะปล่อยให้ท่านพี่ออกมาก็เป็นเรื่องปกติ แต่เสด็จพ่อไม่ควรเชื่อคำพูดของอนุรองเสียจนตัดสินใจเร็วถึงเพียงนั้น หากทรงปรึกษาลูกเสียก่อน คิดว่าลูกจะไม่รับปากเชียวหรือเพคะ? หากแต่เสด็จพ่อทำเช่นนี้ นางและคนทั้งจวนคงคิดว่าลูกใจร้ายใจดำ หรือไม่อย่างนั้นพวกเขาคงหมดความเชื่อถือในตัวลูกไปเสียหมด ต่อไปพวกนางจะไม่รังแกลูกเหมือนเช่นที่ผ่านมาหรือเพคะ”
“ที่เจ้าพูดมาก็มีเหตุผล” หลิงอ๋องได้ยินนางพูดออกมาเช่นนี้แล้ว ทันใดนั้นก็ชะงักไป แล้วพูดขึ้นโดยโทษตัวเองว่า “เป็นเพราะพ่อไม่พิจารณาให้รอบคอบ มองข้ามความรู้สึกของเจ้าไป ต่อไปหากมีเรื่องอะไร ก็คงจะต้องมาปรึกษาเจ้าเป็นการส่วนตัวเสียก่อน”
“ขอบพระทัยเสด็จพ่อที่เข้าใจเพคะ” มุมปากของอวี้อาเหราโค้งขึ้น
หลิงอ๋องเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของนางก็พลอยยิ้มตาม “เมื่อครู่นี้พ่อเห็นเจ้าเดินจากมา สีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก ตอนนี้เจ้ายิ้มได้แล้ว พ่อก็วางใจ”
“เสด็จพ่อ” น้ำเสียงของอวี้อาเหราแหบพร่าขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ สำหรับหลิงอ๋องแล้วมันไม่ง่ายเลยที่ต้องให้ความเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นนางหรืออวี้จื่อเยียน ต่างก็เป็นลูกสาวของเขาทั้งคู่ ล้วนแล้วแต่รักทั้งคู่ ทว่านางนั้นกำพร้ามารดาตั้งแต่เล็ก น่าสงสารกว่าอวี้จื่อเยียนอยู่หลายส่วน อีกทั้งมารดาของนางยังเป็นสตรีที่หลิงอ๋องรักมากที่สุด แน่นอนว่าต้องลำเอียงรักนางมากกว่า
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ แน่นอนว่าอวี้จื่อเยียนจะต้องเกลียดชังนางเป็นอย่างมาก
ดังนั้นจึงรังแกนางเป็นเรื่องปกติ เพื่อแย่งชิงความรัก ทว่านางกลับมีจิตใจอำมหิต ต้องการปลิดชีวิตอวี้อาเหราหลายต่อหลายครั้ง เพราะฉะนั้นก็ไม่ผิดหากอวี้อาเหราจะร้ายกาจกับนาง อย่างที่เขาว่ากันว่าคนร้ายกาจมักมีมุมน่าสงสาร ก็คงเป็นเพราะเหตุผลนี้
“เป็นอะไรไป?” หลิงอ๋องเห็นนางใจลอย ในใจก็เป็นกังวล
อวี้อาเหราอ้าปากน้อยๆ ทว่าในที่สุดก็หุบปากลง “ไม่มีอะไรเพคะ”
หลิงอ๋องหัวเราะออกมาเล็กน้อย แล้วจึงสังเกตถึงริมฝีปากของอวี้อาเหรา “ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว จริงสิ ปากของเจ้า…”
อวี้อาเหรามาถึงห้องแล้วก็คร้านจะเอาผ้าเช็ดหน้าปิดปากอีก เมื่อครู่นี้จู่ๆ หลิงอ๋องก็เดินเข้ามา แน่นอนว่านางคงจะลืมทุกอย่างเป็นแน่ เมื่อครู่นี้แสงให้ห้องอับทึบทำให้มองเห็นไม่ชัด ทว่าตอนนี้ใบหน้าของนางอยู่ภายใต้แสงเทียนที่ตกกระทบลงมาพอดี ทันใดนั้นเขาก็มองเห็นอย่างชัดเจน
หลิงอ๋องเป็นผู้ใหญ่ที่ผ่านโลกมามาก เหตุใดจะไม่รู้ว่านั่นคือรอยอะไร
รอยกัด…
แต่เหตุใดถึงมีรอยกัดที่ปากของนางได้…
อีกอย่าง รอยนี้ไม่มีทางเป็นรอยกัดของสตรี มีเหตุผลใดที่สตรีถึงต้องกัดปากสตรีด้วยเล่า น่าจะเป็นของบุรุษเสียมากกว่า
อวี้อาเหรารีบก้มหน้าลงในทันที แล้วยกแขนเสื้อขึ้นปิดบังใบหน้า