มั่วชิงเฉินกระแอมอย่างใจเย็นว่า “เรื่องนี้ไม่รู้จริงๆ สหายเต๋าเฉิง ค่ายกลเคลื่อนย้ายระยะไกลของเฟิ่งหลินโจวอยู่ที่ไหน?”
เฉิงหรูยวนนั่งตัวตรง เอ่ยช้าๆ ว่า “ตำแหน่งของเฟิ่งหลินโจวดีเป็นพิเศษ ค่ายกลเคลื่อนย้ายระยะไกลในห้าทวีปรอบใน มีเพียงเฟิ่งหลินโจวที่มี อยู่ในมือตระกูลซ่างกวาน เอ่อ แม้หลิวโจวก็จัดอยู่ในขอบเขตห้าทวีปรอบใน กลับค่อนข้างมีเอกลักษณ์ และติดต่อกับสี่ทวีปที่เหลือไม่มาก คนหลิวโจวก็ปรากฏขึ้นที่ทวีปอื่นน้อยมากด้วย”
ไม่รู้เพราะอะไร มั่วชิงเฉินรู้สึกว่าคำพูดของเฉิงหรูยวนมีความหมายแอบแฝง หลิวโจว ก็คือที่ที่นักบำเพ็ญเพียรหญิงที่คิดค้นการใช้มุกปีศาจหลอมโอสถอยู่ไม่ใช่หรือ และยังเป็นสถานที่ที่หญิงสาวที่น่านน้ำโกลาหลวานให้ไปด้วย
เหตุใดเขาถึงเจตนาพูดขึ้นมาต่อหน้าตน?
ความคิดหมุนอย่างรวดเร็ว มั่วชิงเฉินยิ้มนิ่งเรียบว่า “ข้าน้อยนับวันยิ่งอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับตระกูลซ่างกวานแห่งเฟิ่งหลินโจวแล้ว
ดึงหัวข้อกลับมาอย่างไม่ให้ซุ่มให้เสียง
เฉิงหรูยวนไม่เห็นความผิดปกติใดๆ จากใบหน้ามั่วชิงเฉิน จึงยิ้มว่า “เวลาสองปีดีดนิ้วก็ผ่านไป ไม่นานแม่นางมั่วก็จะได้ประจักษ์แล้ว ถึงยามนั้นหากแม่นางมั่วต้องการใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายระยะไกล ข้าจะขอให้ผู้อาวุโสในตระกูลบอกกล่าวตระกูลซ่างกวาน อย่างอื่นไม่พูดถึง จะมากจะน้อยก็สามารถช่วยแม่นางมั่วประหยัดค่าใช้จ่ายได้บ้าง ต้องรู้ว่า ค่ายกลเคลื่อนย้ายระยะไกล ค่าใช้จ่ายไม่ธรรมดาเลย”
สิบทวีปตะวันออกแบ่งเป็นสอง แยกใกล้ไกล ห้าทวีปรอบในและห้าทวีปรอบนอกห่างกันไกลมาก ดังนั้นน้อยมากที่จะมีคนจากห้าทวีปรอบนอกปรากฏขึ้นที่ห้าทวีปรอบใน ในทางกลับกันก็เช่นกัน
ทว่าไม่ว่าเรื่องอะไรมักมีข้อยกเว้น เมื่อคนในห้าทวีปรอบในไปห้าทวีปรอบนอก ไม่ต้องพูดถึงว่าระยะทางยาวไกล ต่อให้ไม่มีอุปสรรคก็ต้องบินสักสิบกว่าปี น่านน้ำกว้างใหญ่ไพศาลอันตรายยากหยั่ง ต่อให้เป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดก็ไม่อาจไปถึงโดยปลอดภัยได้
ดังนั้นจึงต้องการค่ายกลเคลื่อนย้ายระยะไกลแล้ว ค่ายกลเคลื่อนย้ายระยะไกลพัฒนามาจากค่ายกลเคลื่อนย้ายบรรพกาล แม้ได้มาเพียงผิวเผิน ในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรบัดนี้ก็หายากอยู่ดี มีเพียงนักบำเพ็ญเพียรตั้งแต่ระดับก่อแก่นปราณขึ้นไปถึงสามารถทนแรงการเคลื่อนย้ายได้
เฟิ่งหลินโจวสตรีเป็นใหญ่ ตามหลักแล้วสี่ทวีปที่เหลือจะต้องต่อต้าน ทว่าก็เพราะตระกูลซ่างกวานกุมค่ายกลเคลื่อนย้ายระยะไกลไว้ กลับทำให้เฟิ่งหลินโจวดูแล้วคล้ายเป็นผู้นำแห่งทวีปทั้งห้าขึ้นมารางๆ แล้ว
“เช่นนี้ดีมาก ต้องขอบคุณสหายเต๋าเฉิงแล้ว” มั่วชิงเฉินได้ยินเฉิงหรูยวนพูดเช่นนี้ ในใจโล่งอกเล็กน้อย
สามารถประหยัดเวลาสิบกว่าปี ต่อให้ค่าใช้จ่ายสูงเสียดฟ้าก็ไม่เสียดาย นางไม่ขอให้ใช้หินวิญญาณน้อยลงเท่าไร ขอเพียงมีเฉิงหรูยวนคอยเป็นหูเป็นตาให้ สามารถใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายได้อย่างราบรื่นก็พอใจแล้ว
พูดพวกนี้จบ สองคนเดินออกไปพร้อมกัน
ถังมู่เฉินกำลังพูดอย่างหน้าชื่นตาบาน แม่หญิงจอมพิษตรงข้ามยิ้มร่า ตอบโต้สองสามประโยคเป็นครั้งคราว ดูแล้วมีความสุข เพียงแต่เสิ่นฉงเหวินที่อยู่ข้างๆ หน้าดำขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้าเห็นความรำคาญอย่างชัดเจน
“ท่านพี่” เห็นเฉิงหรูยวนเดินออกมา เสิ่นฉงเหวินถอนใจด้วยความโล่งอกเหมือนหลุดพ้น แล้วถลึงตาใส่มั่วชิงเฉินปราดหนึ่ง
มั่วชิงเฉินรู้สึกงงงัน
“สหายเต๋าเฉิง ไยเจ้าถึงลากน้องสาวข้าคุยตั้งครึ่งค่อนวันล่ะ?” ถังมู่เฉินแม้อมยิ้มถาม นัยน์ตากลับไม่มีรอยยิ้ม
เฉิงหรูยวนยิ้มอย่างสง่าว่า “คุยธุระกับแม่นางมั่ว จึงเสียเวลา ทำให้สองท่านรอนานแล้ว”
พูดจบจึงเดินเข้าห้องโถง รับรองพวกเขาสองสามคนขึ้นมา
เมื่องานเลี้ยงเลิกราแขกเหรื่อต่างกลับ มั่วชิงเฉินกลับถึงห้อง นึกถึงคำพูดของเฉิงหรูยวน จึงเอามุกรวมวิญญาณออกมาพินิจพิเคราะห์อย่างละเอียด จากนั้นบีบโลหิตหยดหนึ่งออกจากนิ้วหยดลงมุกรวมวิญญาณ เห็นเพียงแสงวิญญาณแวบผ่านมุกรวมวิญญาณ จากนั้นกลายจากโปร่งใสเป็นสีเขียวอ่อนๆ
สัมผัสสายสัมพันธ์อันลี้ลับของตนและมุกรวมวิญญาณ มั่วชิงเฉินยิ้มละไม มุกนี้ช่างมหัศจรรย์จริงๆ ตนบำเพ็ญวิชายุทธธาตุไม้เป็นหลัก ดังนั้นหลังจากหยดโลหิตรับนายแล้วมันเปลี่ยนจากไร้สีเป็นสีเขียวอ่อน คิดว่าหากเป็นวิชายุทธธาตุไฟ เช่นนั้นก็เป็นสีแดงแล้ว
มั่วชิงเฉินรอบคอบเสมอมา ในเมื่อได้มุกนี้มาแล้ว ก็ไม่ลังเลที่จะเติมพลังวิญญาณในนั้นให้เต็ม ถึงเก็บเข้ากำไลเก็บวัตถุ
หลังจากรอพลังวิญญาณในกายฟื้นคืน ฟ้าแม้จะมืดแล้วกลับยังไม่ถึงเวลาเข้านอน นึกถึงข้อมูลที่ตนได้มา จึงออกจากห้องไปตามหาถังมู่เฉินเพื่อปรึกษา
นอกจากเสิ่นฉงเหวิน พวกเขาสามคนต่างถูกจัดให้อยู่ห้องรับแขกติดกัน มั่วชิงเฉินเดินถึงหน้าประตูห้องถังมู่เฉิน จู่ๆ ก็ชะงักงัน
เสียงหอบหายใจที่คลุมเครือและเสียงครางของหญิงสาวดังมาจากข้างใน ฟังจนนางหน้าแดงไปหมด
เจ้าสารเลวนี่ ทำเรื่องเช่นนี้ก็ไม่รู้จักตั้งค่ายกลกั้นเสียงขึ้นมาหรืออย่างไร!
มั่วชิงเฉินคิดอย่างโมโหพลันหันหลังจากไป
วันที่สอง แม่หญิงจอมพิษก็ร่ำลาจากไป เฉิงหรูยวนพาพวกเขาไปส่ง
“น้องพี่” เห็นมั่วชิงเฉินกลับห้อง ถังมู่เฉินจึงตามเข้าไป
นึกถึงเรื่องเหลวงไหลของเขาเมื่อวานถูกตนเจอะเข้าอย่างจัง มั่วชิงเฉินก็หงุดหงิด เจ้าหมอนี่ทำอะไรไม่ระวังเหลือเกิน ยังเป็นแขกอยู่ตระกูลเฉินก็ทำเหลวไหลกับหญิงสาว เช่นนี้ต่อไปยังไม่รู้จะก่อเรื่องอะไรขึ้นมาอีก
นึกถึงตรงนี้แล้วกวาดมองถังมู่เฉินปราดหนึ่งว่า “พี่ใหญ่ เมื่อวานเฉิงหรูยวนพูดเรื่องบางอย่างกับข้า”
“เรื่องอะไร?” ถังมู่เฉินกะพริบตาว่า “น้องพี่เอ๊ย เจ้าหนุ่มเฉิงหรูยวนนั่นคงไม่ได้คิดไม่ซื่อกับเจ้าหรอกนะ เจ้าอย่าเลอะเลือนเชียวนะ เจ้าหนุ่มนั่นจะไปประลองยุทธเลือกคู่นะ ให้คำมั่นสัญญาอะไรกับเจ้าไม่ได้หรอกนะ”
มั่วชิงเฉินตะลึงว่า “เจ้าพูดไปถึงไหนแล้ว เมื่อวานเขาพูดกับข้าว่า เฟิ่งหลินโจวมีค่ายกลเคลื่อนย้ายระยะไกล ถึงเวลาเราใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายก็ไปถึงเสวียนโจวได้แล้ว”
“จริงหรือ? เช่นนั้นก็ดีเหลือเกิน เอ๊ะ ไม่ถูกสิ ยังบอกว่าเจ้าหนุ่มนั่นไม่ได้คิดไม่ซื่อกับเจ้า เช่นนั้นไยเขาถึงไม่บอกเรื่องพวกนี้กับข้า?”
มั่วชิงเฉินทำตาเหลือกอย่างไม่เป็นกลุสตรีว่า “เจ้านึกว่าข้าเป็นหินวิญญาณหรือ ใครเห็นใครรัก? เพียงแต่เพราะข้าเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาเท่านั้น กลับเป็นพี่ใหญ่นี่สิ อย่าโทษที่น้องไม่เตือนสติเจ้า เฉิงหรูยวนอีกสองปีให้หลังถึงจะออกเดินทางไปเฟิ่งหลินโจว ภายในสองปีนี้ทางที่ดีเจ้าตอแยแมลงภู่ผึ้งให้น้อยหน่อย จะได้ไม่เกิดปัญหา”
ถังมู่เฉินอึ้ง จากนั้นหน้าค่อยๆ แดงขึ้นว่า “เจ้า เจ้าเมื่อคืน?”
“อะไร?” มั่วชิงเฉินแกล้งทำไม่เข้าใจ
ถังมู่เฉินแอบโล่งอก แสยะปากยิ้มว่า “ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร”
“พอแล้ว หากไม่มีอะไรเจ้ารีบกลับห้องเถอะ ข้ายังต้องบำเพ็ญเพียรอีก” มั่วชิงเฉินออกคำสั่งไล่แขกโดยตรง
ทั้งสองคนจึงพักอยู่ที่ตระกูลเฉิง เดิมทีนึกว่าอยู่บ้านตระกูลเฉิงสงบใจบำเพ็ญเพียรและรอคอยการเดินทางไปเฟิ่งหลินโจวในสองปีให้หลัง ทว่าใครจะรู้ว่าผ่านไปเพียงเจ็ดวัน ก็เกิดเรื่องแล้ว
“สหายเต๋าเฉิง เจ้าว่าอะไรนะ แม่หญิงจอมพิษถูกคนของเผยอวิ้นเอ๋อร์จับไว้แล้ว?” ถังมู่เฉินตกตะลึงอ้าปากค้างว่า “เพราะอะไร?”
มั่วชิงเฉินหน้าดำ ถลึงตาใส่ถังมู่เฉินอย่างดุดันปราดหนึ่ง
เฉิงหรูยวนชำเลืองมองมั่วชิงเฉินปราดหนึ่งอย่างเห็นใจ ถึงมองถังมู่เฉินว่า “วันนั้นแม่หญิงจอมพิษจากไป เดิมทีคือไปเกาะหมายเลขสามสิบห้า ใครจะรู้ว่าระหว่างทางก็ถูกคนของเผยอวิ้นเอ๋อร์จับไปแล้ว และให้ข้านำคำพูด มาบอกต่อให้สหายเต๋าถัง”
“บอกต่อข้า?” ถังมู่เฉินเบิกตาโต
“ถูกต้อง เผยอวิ้นเอ๋อร์บอกว่าให้สหายเต๋าถังไปพบนาง มิเช่นนั้นก็จะฆ่าแม่หญิงจอมพิษ สหายเต๋าถังก็รู้ อย่างไรเสียแม่หญิงจอมพิษก็ช่วยเหลือข้ามาก่อน ข้าจึงได้แต่นำคำพูดนี้มาให้แล้ว” เฉิงหรูยวนส่ายศีรษะ นึกถึงนางหนูที่กำเริบสืบสานโอหังอวดดีคนนั้น แล้วเม้มมุมปาก
“นี่นางหมายความว่าอย่างไร!” สีหน้าถังมู่เฉินบึ้งตึงลงอย่างหายาก “แม่หญิงจอมพิษเป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณของตระกูลเผยยินยอมให้เผยอวิ้นเอ๋อร์ทำเรื่องพรรณ์นี้?”
เฉิงหรูยวนถอนใจเบาๆ ว่า “ดูท่าสหายเต๋าถังไม่ค่อยเข้าใจตระกูลเผย เผยอวิ้นเอ๋อร์เป็นหลานสาวเพียงคนเดียวของหัวหน้าตระกูลเผย เสียบิดาไปตั้งแต่เด็ก หัวหน้าตระกูลเผยเอ็นดูนางยิ่งนัก รู้ว่านางความประพฤติบ้าบิ่น กลัวยามอยู่ข้างนอกถูกคนไม่รู้ความทำร้าย จึงเชิญนักบำเพ็ญเพียรไร้สำนักระดับก่อแก่นปราณสองท่านคอยคุ้มกันโดยเฉพาะ แม้นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณสองท่านนั้นจะไม่ทำเรื่องประเภทฆ่าคนวางเพลิง ทว่าการเรียกร้องที่ไม่ถึงกับคอขาดบาดตายของเด็กผู้หญิงก็ต้องทำให้พอใจแน่นอน”
ถังมู่เฉินโบกพัดพับว่า “นางอยากหาข้า แล้วเกี่ยวอะไรกับแม่หญิงจอมพิษด้วย?”
เฉิงหรูยวนกระแอมทีหนึ่งว่า “น่าจะเข้าใจความสัมพันธ์ของสหายเต๋าถังและแม่หญิงจอมพิษผิดกระมัง”
เข้าใจผิดน้องเจ้าน่ะสิ! นึกถึงเรื่องที่เจอะเจอคืนวันนั้นแล้ว มั่วชิงเฉินหน้าดำ
ถังมู่เฉินถอนใจอย่างรุนแรงอึดหนึ่ง กฎการจีบหญิงข้อที่สาม ห้ามแสดงออกว่าสนใจแม่นางสองคนหรือมากกว่าในเวลาเดียวกันสถานที่เดียวกัน ไยเผลอนิดเดียวตนก็ลืมเสียแล้วนะ
ค่าตอบแทนของการทำผิดกฎช่างมหาศาลจริงๆ เลย!
เห็นสีหน้าถังมู่เฉินเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาไม่หยุด เฉิงหรูยวนว่า “คุณชายถังดูเช่นนี้เป็นอย่างไร ข้าไปเป็นเพื่อนเจ้า ไปพบเผยสิบสามก่อน อย่างไรนางหนูนั่นก็คงมาไม้แข็งไม่ได้”
“ก็ดี อย่างไรก็จะทำให้แม่หญิงจอมพิษเดือดร้อนไปด้วยโดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่ไม่ได้” ถังมู่เฉินถอนใจว่า
ตลอดมาเขารู้สึกว่าระหว่างหญิงชายเน้นที่เต็มใจทั้งสองฝ่าย ต่อให้เป็นวาสนาน้ำค้างก็เป็นเรื่องที่วิเศษมาก คบกันด้วยดีจากกันด้วยดี หากมีคนเกิดเรื่องเพราะเขา เช่นนั้นก็ขัดต่อเจตนาการไล่ตามความสุขแต่แรกเริ่มแล้ว
“เช่นนั้นก็รบกวนสหายเต๋าเฉิงไปเป็นเพื่อนพี่ใหญ่ข้าเถอะ” มั่วชิงเฉินเอ่ยด้วยสีหน้าบึ้งตึง
ถังมู่เฉินกะพริบตาว่า “น้องพี่ เจ้าไม่ไปเป็นเพื่อนข้า?”
มั่วชิงเฉินกระตุกมุมปาก เจ้าสารเลวนี่ เหตุใดถึงพูดได้อย่างเหมือนมีเหตุผลเต็มที่เช่นนี้ เขามักกลัวทำให้คนนั้นเดือดร้อนคนนี้เดือดร้อน ไยไม่เคยคิดว่าจะทำให้ข้าเดือดร้อนบ้าง?
คนตัวเล็กคนหนึ่งในใจลุกขึ้นยืนทันทีว่า “เพราะเขามักลืมว่าเจ้าเป็นสตรี…”
“ข้าไม่ไป” มั่วชิงเฉินกัดฟัน
ไม่คิดว่าคนที่รับคำจะเป็นเฉิงหรูยวน “แม่นางมั่ว ข้าคิดว่า ทางที่ดีเจ้าก็ตามไปด้วยดีกว่า”
“เพราะเหตุใด?” มั่วชิงเฉินไม่คิดว่าเฉิงหรูยวนจะพูดเช่นนี้
“ขว้างหนูกลัวกระทบของ[1]” เฉิงหรูยวนหลุดออกมาเบาๆ ไม่กี่คำ แล้วไม่พูดมากอีก
มั่วชิงเฉินงงงัน คำพูดนี้ของเฉิงหรูยวนประหลาดดีแท้ ขว้างหนูอะไร กลัวกระทบของอะไร?
ที่นางคิดคือหากนางไปแล้ว นางหนูเอาแต่ใจนั่นเห็นแล้วดีไม่ดีจะยิ่งอาละวาดจนเลยเถิด เหตุใดเฉิงหรูยวนถึงพูดจาประหลาดเช่นนี้นะ?
นึกถึงวันนั้นเขาพูดจาแฝงความนัย มั่วชิงเฉินแอบขมวดคิ้ว เขาเข้าใจอะไรผิดใช่หรือไม่?
“น้องพี่คนดี เจ้าไปเป็นเพื่อนพี่ใหญ่เถอะนะ” ถังมู่เฉินส่งเสียงทางจิต
มั่วชิงเฉินตัดสินใจแล้วว่าจะไปด้วย กลับไม่อยากรับปากเขาเร็วเช่นนี้ จึงตอบว่า “ไม่ไป คนที่ก่อเรื่องคือเจ้า เกิดเรื่องแล้วก็มาหาข้า ไยข้าถึงรู้สึกว่าเจ้าไม่ได้รับข้าเป็นน้องสาว หากแต่รับเป็นมารดา?”
ถังมู่เฉินทะเล้นตึงตังว่า “มีมารดาสวยและอายุน้อยเช่นนี้ที่ไหนกัน หากเจ้าเป็นมารดาจริง สหายเต๋าลั่วหยางต้องร้อนใจแย่แล้ว!”
“เจ้าหุบปาก!” มั่วชิงเฉินมือสั่น เกือบขว้างก้อนอิฐออกมา
ถังมู่เฉินไม่กล้าล้อนางอีก เอ่ยอย่างจริงจังว่า “น้องพี่ พี่ใหญ่รับรองสองปีนี้จะจิตผ่องใสไม่มักมาก ไม่ก่อเรื่องอีกแล้วยังไม่ได้หรือ เจ้าก็ไปเป็นเพื่อนข้าเถอะนะ”
มีคำพูดประโยคนี้ของเขา มั่วชิงเฉินจึงไม่เฉยเมยต่อเขาอีก หันหน้าเอ่ยกับเฉิงหรูยวนว่า “สหายเต๋าเฉิง ไม่รู้จะไปตระกูลเผยเมื่อไร?”
“ไปบัดนนี้เถอะ”
พวกมั่วชิงเฉินสองคนตามเฉิงหรูยวนมาถึงเกาะหมายเลขเจ็ด พบกับเผยสิบสามก่อน แล้วถึงไปพบเผยอวิ้นเอ๋อร์ด้วยกัน
ใครจะรู้ว่าระหว่างทางกลับมีคนรับใช้คนหนึ่งมาขวางพวกเขาไว้ บอกว่าหัวหน้าตระกูลเผยอยากพบมั่วชิงเฉินสักครั้ง
——-
[1] ขว้างหนูกลัวกระทบของ อุปมาถึงความวิตกกังวลในการที่คิดจะกำจัดคนเลวแต่ก็เกรงจะไปกระทบถูกคนอื่น ทำอะไรห่วงหน้าพะวงหลัง ตรงกับสำนวนไทยว่า ลูบหน้าปะจมูก