“ใช่แล้ว พี่ถัง…” มั่วชิงเฉินอมยิ้มตอบรับ ไม่นานก็เห็นว่ามีสตรีเดินตามออกมานางอดตะลึงไปไม่ได้ เป็นแม่นางขายเครื่องประดับแผงหมายเลขเก้าสิบในตลาดผู้นั้น
เห็นมั่วชิงเฉินนิ่งไป ถังมู่เฉินกลับทำตัวเป็นธรรมชาติ โบกมือให้หญิงสาวผู้นั้นแล้วพูดว่า “แม่นาง ข้าน้อยและน้องสาวมีเรื่องต้องคุยกันจึงไม่ไปส่งแล้ว เอาไว้เจอกันใหม่นะ”
ดวงตาเรียวงามทั้งสองข้างของหญิงสาวกวาดมองพิจารณามั่วชิงเฉินไปมา ส่งยิ้มหวานให้ถังมู่เฉิน “คุณชายถังอย่าลืมมาหาตัวข้าเล่า”
พูดจบก็บิดตัวเดินจากไปหันกลับมา แลดูเด็ดเดี่ยวนัก
สองคนนี้คืบหน้ากันเร็วเกินไปแล้วกระมัง สายตาที่มั่วชิงเฉินมองถังมู่เฉินมีความตกใจระคนแปลกใจ
ถังมู่เฉินยิ้มกว้าง “น้องสาว มองพี่ชายแบบนี้ทำไมกัน ไม่เจอกันตั้งนานไม่เชิญพี่ชายเข้าไปดื่มชาหน่อยหรือ”
“บ้านข้าหม้อเย็น เตาฝุ่นจับ ไฉนเลยจะมีชาให้ดื่ม กลับต้องไถ่ถามพี่ถังขอดื่มชาชักแก้วถึงจะถูก” มั่วชิงเฉินอมยิ้มพลางพูดขึ้น เห็นท่าทีของถังมู่เฉินเหมือนปกติจึงคิดว่าเขาคงไม่ถือโทษคำพูดของนางเมื่อหลายเดือนก่อนแล้ว จิตใจก็ผ่อนคลายไปไม่น้อย
ได้ยินมั่วชิงเฉินพูดว่าจะขอเข้าไปดื่มชาสักแก้วถังมู่เฉินสีหน้าแดงเถือก แม้ว่าเขาจะได้มีความรู้สึกฉันท์ชายหญิงต่อมั่วชิงเฉินแต่เขาเพิ่งจะผ่านมรสุมสงครามกับหญิงสาวมาเมื่อครู่นี้ในห้อง สภาพเละเทะทั่วห้องยังไม่ทันได้เก็บกวาดต่อให้เขาหน้าหนาเพียงใดก็ไม่มีหน้าเชิญนางเข้าไป
“น้องสาว ห้องพี่ทั้งรกทั้งสกปรกอย่างมาก ไม่มีที่ให้พักเท้า ไปที่ห้องเจ้าจะดีกว่า ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้าพอดี”
มั่วชิงเฉินกะพริบตาด้วยความมึนงง เจ้าคนนี้เป็นอะไรไป คงไม่ใช่เพราะคำพูดนั้นของตนทำให้รู้สึกโกรธจนแม้แต่น้ำชาอึกเดียวก็ยังไม่ให้เดิมกระมัง
แต่ก็ไม่ถูก ทั้งสองคนรู้จักกันมานานหลายปี แม้จะไม่ค่อยเข้าใจแต่ก็พอมองออกว่าเขาไม่ใช่คนประเภทนั้น
หรือจะบอกว่ามีอะไรปิดบังอยู่
พอมั่วชิงเฉินครุ่นคิดเช่นนี้จึงได้มองพิจารณาถังมู่เฉินตามสัญชาตญาณ แต่กลับพบว่าสีหน้าของเขายิ่งแดงขึ้นเรื่อยๆ
เขาเป็นอะไร เมื่อครู่มีหญิงสาวตัวเป็นๆ เดินออกมาจากห้องเขาก็ยังไม่เห็นว่าจะหน้าแดง ตอนนี้จะหน้าแดงไปทำไมกัน
‘เดี๋ยวก่อน แม่นางเดินออกมาจากห้องเขาอย่างนั้นหรือ’
หวนคิดถึงสีหน้าแววตาที่เต็มไปด้วยอารมณ์ยากจะปิดบังของหญิงสาวยามจากไป มั่วชิงเฉินรู้สึกเหมือนมีอะไรระเบิดในหัว เข้าใจถึงสาเหตุที่ถังมู่เฉินแปลกไปในทันใด หน้าแดงขึ้นในฉับพลัน
“เอ่อ พี่ถัง ตัวน้องขอกลับไปจัดการเก็บกวาดก่อน เดี๋ยวเจอกัน” มั่วชิงเฉินที่อึดอัดอย่างแปลกประหลาดไม่กล้ามองถังมู่เฉินอีกต่อไป รีบเปิดประตูเดินเข้าไป
อย่างไรถังมู่เฉินก็ทำตัวเสเพลจนเคยชินแล้ว ในตอนนี้กลับมาเป็นปกติรีบเดินตามเข้าไปและพูดว่า “น้องสาว ข้าหาเจ้าเพราะมีเรื่องจริงๆ”
เมื่อเข้าไปในเรือน ต้นท้ออยู่ตรงมุมตอนนี้กำลังออกดอกสดใส ผึ้งสีหยกบินวนรอบมันไปมาไม่หยุด สีแดงและเขียวตัดผ่านกันดูน่าเย้ายวนนัก
ใต้ต้นไม้มีโต๊ะหินหนึ่งตัวเก้าอี้หินสองตัววางอยู่ มั่วชิงเฉินเดินนำไปนั่งลง ชี้ไปที่เก้าอี้หินอีกตัวแล้วพูดว่า “พี่มั่วเชิญนั่งเถิด ไม่ทราบว่ามาหาน้องด้วยเรื่องอันใดหรือ”
ถังมู่เฉินนั่งลงโดยเร็ว ในมือปรากฏถุงผ้าหนึ่งถุงแล้วผลักมาให้
“นี่คือ…” มั่วชิงเฉินหลุบตามองถุงหินวิญญาณที่ถูกกันมา ไม่รู้ว่าถังมู่เฉินตั้งใจทำอะไร
ได้ยินเสียงถังมู่เฉินพูดว่า “น้องสาว ในนี้มีหินวิญญาณหนึ่งหมื่นห้าพันก้อน เจ้าเอาไปก่อน ไม่รู้ว่าสิ่งของที่อยู่ในถุงเก็บวัตถุของเจ้าตอนนั้นเสียหายเป็นหินวิญญาณจำนวนเท่าไร เจ้าบอกตัวเลขมาก่อนหากว่าขาดข้าจะค่อยๆ หามาคืนเจ้า”
มั่วชิงเฉินจ้องมองถุงหินวิญญาณอยู่นานไม่พูดจา
ถังมู่เฉินดันถุงหินวิญญาณมาข้างหน้าอีกครั้ง กัดฟันพูดว่า “ของเหล่านี้ข้าตรากตรำเก็บมาเอง เจ้าอย่าคิดมาก”
มั่วชิงเฉินลอบถอนหายใจ เขายังคงเก็บไปใส่ใจ
คิดได้เท่านี้ก็ไม่ลังเลอีกต่อไป นางขยับมือเก็บถุงหินวิญญาณมา ยิ้มและพูดว่า “พี่ถัง ท่านพูดเช่นนี้แล้วจะให้ข้าเอาหน้าไปไว้ที่ใด”
ดวงตาเรียวรีของถังมู่เฉินสะอาดบริสุทธิ์เป็นพิเศษ กดเสียงต่ำ “จะเป็นไปได้อย่างไร ที่จริงไม่ต้องพูดถึงเจ้า แม้แต่ข้าเองก็ยังยากจะจินตนาการว่ามีวันหนึ่งจะมีหินวิญญาณเกินหนึ่งพันก้อนอยู่ในมือ ตัวพี่นั้นรอคอยให้เจ้ากลับมาอยู่ทุกวันเพื่อที่จะคืนหินวิญญาณโดยเร็ว หินวิญญาณอยู่กับข้าวันหนึ่งจู่ๆ จะมีปีกงอกออกมาข้าก็ไม่แปลกใจ”
มั่วชิงเฉินนึกแปลกใจ ลองสืบเสาะสอบถาม “พี่ถัง อย่างไรท่านก็เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณชั้นกลาง หรือว่ากระเป๋าจะ…ขัดสนเช่นนี้มาตลอด”
ถังมู่เฉินกะพริบตาปริบ ถอนหายใจยาว “จะเป็นไปได้อย่างไร ไม่รู้ว่าข้าไปก่อเรื่องขวางทางเทพแห่งความโชคร้ายที่ไหน ก่อนนี้ยังถือว่าตามลมตามน้ำ นับตั้งแต่เข้าสู่ระดับสร้างรากฐานชั้นกลางก็ดวงซวยไม่ขาด โดยเฉพาะเรื่องหินวิญญาณที่ไม่ชอบขี้หน้าข้ามากที่สุด เพื่อนของข้ายังพูดว่า…”
พูดถึงตรงนี้ก็รีบชะงักหยุดไป เพื่อนบ้าของเขาคนนั้นเคยพูดว่าจะต้องเป็นเพราะเขาล่อหลอกหญิงสาวเยอะเกินไปถึงได้พบผลกรรมเช่นนี้
‘สวรรค์มีตา ตัวเขานั้นยึดหลักการเจ้ายินยอมข้ายินยอม หมดเรื่องหมดราว ไม่เคยทำร้ายหญิงสาวที่ดีคนใดมาก่อน ทำเช่นนี้แล้วยังเจอผลกรรมสวรรค์คงว่างเกินไปกระมัง’
แน่นอนว่าคำพูดนี้เขาไม่อาจพูดกับมั่วชิงเฉินที่เป็นหญิงสาวได้
มั่วชิงเฉินเองก็ไม่อยากพูดเรื่องนี้อีกจึงพูดขึ้นว่า “พี่ถัง หินวิญญาณเหล่านี้ข้ารับไว้แล้วพวกเราสองคนถือว่าหายกัน ต่อจากนี้ไปท่านอย่าได้คิดถึงเรื่องนี้อีกเลย”
ถังมู่เฉินตะลึงไป เห็นมั่วชิงเฉินมีท่าทีเด็ดเดี่ยวจึงไม่พูดจาอ้อมไปมาอีก เขาส่งยิ้มกว้างพลางพูดว่า “เช่นนี้ก็ต้องขอบคุณน้องสาวแล้ว ใช่แล้ว คำเชิญครึ่งปีของเฉิงหรูยวนใกล้มาถึงแล้ว น้องสาวเจ้าคิดเช่นไร”
“ข้าคิดจะไป” มั่วชิงเฉินตอบอย่างไม่ลังเล
ถังมู่เฉินอึ้งไปเล็กน้อย “เหตุใดจู่ๆ น้องสาวถึงได้ยืนหยัดเช่นนี้”
มั่วชิงเฉินหัวเราะ “พูดอย่างไม่ปิดบัง หลายวันก่อนนี้ข้าไปน่านน้ำโกลาหลมารอบหนึ่ง ได้ปะหน้ารู้จักกับผู้บำเพ็ญเพียรสายยุทธ์และผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังจำนวนหนึ่ง ข้าพบว่าพวกเขามีเรื่องมากมายที่พวกเราผู้บำเพ็ญเพียรสายเต๋าคุ้มการแก่การเรียนรู้นำมาใช้ และการที่จะเรียนให้สำเร็จอาศัยเพียงการพูดคุยและปะมือนั้นไม่พอ ยังต้องมีเคล็ดวิชาและวิชาลับที่สอดคล้องกัน”
ถังมู่เฉินแปลกใจไม่หยุด “อ๋า น้องสาว คิดไม่ถึงว่าเจ้าเองก็ไปน่านน้ำโกลาหลมา พี่เองก็เพิ่งกลับมาไม่นาน หากรู้ว่าเจ้าก็จะไปพวกเราจะได้ไปพร้อมกัน”
“ที่แท้พี่ถังก็ไปมาแล้ว” มั่วชิงเฉินลอบคิดว่ามิน่าเขาถึงได้มีหินวิญญาณมากมายมาคืนตนเอง
ยังไม่ทันคิดจบก็ได้ยินถังมู่เฉินถอนหายใจและพูดว่า “แต่น่าเสียดาย ที่จริงข้าได้ผลเก็บเกี่ยวกลับมามากมาย แต่เมื่อกลับมาไม่รู้ว่าผู้คุมเรือนั่นพายเรืออย่างไรยามที่เรือล่องผ่านพายุทะเลเดือดนั้นกลับถูกดูดเข้าไปทันที จนถึงสุดท้ายผู้บำเพ็ญระดับก่อแก่นปราณที่ไปเรือลำเดียวกันแม้จะหนีออกมาได้ แต่ถุงเก็บวัตถุที่ผูกอยู่ข้างเองกลับตกไปหมด โชคดีที่ข้ามองการณ์ไกลเอาถุงเก็บวัตถุถุงหนึ่งมาวางไว้ติดกาย”
มั่วชิงเฉิน…
ถังมู่เฉินพูดต่อว่า “ในเมื่อน้องสาวมีความคิดเช่นนี้ก็ว่าตามนั้นก็แล้วกัน ถึงเวลานั้นพวกเราไปบุกพื้นที่ลับพร้อมเฉิงหรูยวนกันเถิด”
มั่วชิงเฉินรู้สึกเหมือนมีสายฟ้าผ่าลงมา แม้แต่พูดก็ยังติดๆ ขัดๆ “พี่ พี่ถังก็จะไปหรือ”
ถังมู่เฉินแสดงท่าทีเหมือนเจ้าพูดเรื่องไร้สาระออกมา “แน่นอน ก็น้องสาวพูดว่าจะไปไม่ใช่หรือ”
มั่วชิงเฉินพ่นลมหายใจออกม า พี่ชาย ข้าเสียใจแล้วได้หรือไม่!
ถังมู่เฉินลุกขึ้น “เรื่องจบลงแล้ว น้องสาวเจ้าไปพักผ่อนให้ดีเสียหน่อย ถึงเวลาพี่จะมาเรียกเจ้าเอง”
“พี่ถัง…” มั่วชิงเฉินลุกขึ้นแต่กลับไม่พูดอะไร
การไปน่านน้ำโกลาหลครั้งหนึ่งทำให้นางเรียนรู้ได้อย่างสุดซึ้งถึงความสำคัญของเพื่อนร่วมอุดมการณ์ แต่เพื่อนร่วมอุดมการณ์นี้คงไม่รวมถึงถังมู่เฉินกระมัง เขาเป็นเพื่อร่วมอุดมการณ์อะไรกัน เป็นสายลับแท้ๆ!
หากเป็นศิษย์พี่ลั่วหยาง…คิดถึงชายหนุ่มเย็นชาไร้สีสันผู้นั้นมั่วชิงเฉินก็กัดริมฝีปากเบาๆ ไล่ความคิดที่เกิดกะทันหันออกไป
ตนเองอาจปล่อยให้ตนมีนิสัยพึ่งพาคนอื่น หากเป็นเช่นนั้นเกรงว่าคงเดินต่อไปข้างหน้าไม่ได้
ถังมู่เฉินมองสีหน้าที่แปรเปลี่ยนไปมาของมั่วชิงเฉินแล้วหัวเราะออกมา จู่ๆ ก็เข้ามาประชิดตัวพูดเสียงเบา “น้องสาว พี่รู้ว่าเจ้ากังวลเรื่องอะไร ที่จริงคนที่อยู่กับข้าแม้จะโชคร้ายไปเสียหน่อยแต่อย่างน้อยก็ยังมีชีวิตนะ”
พูดจบก็ตบบ่ามั่วชิงเฉินอมยิ้มเดินจากไป
มั่วชิงเฉินยืนตัวแข็งอยู่ที่เดิม ครุ่นคิดคำพูดของถังมู่เฉิน นางรู้สึกว่าคำพูดก่อนจากไปของเขานั้นมีความหมายลึกซึ้ง แต่แท้จริงแล้วจะมีลูกเล่นอะไรซ่อนอยู่กลับยากจะเข้าใจ
นางส่ายหน้าไม่คิดเรื่องเหล่านี้อีก ตนเองเป็นถึงผู้บำเพ็ญระดับก่อแก่นปราณแล้ว คนอื่นจะเป็นเช่นไรไม่สำคัญ ที่สำคัญคือความสามารถของตนเอง
และเรื่องที่เร่งด่วนในตอนนี้ก็ควรจะเป็นการเรียนรู้วิชาน้ำพลิ้วตามกายาที่เพิ่งได้มาใหม่จนบรรลุ
วันเวลาหลังจากนั้นมั่วชิงเฉินปิดประตูไม่ออกไปไหน ศึกษาเรียนรู้วิชาน้ำพลิ้วตามกายาตลอดวันตลอดคืน ยามที่จิตใจและร่างกายถูดกรัดกร่อนจนหมดแรงก็จะนำกระบี่ชิงมู่ออกมาสะบัดร่ายรำ
เคล็ดวิชาพันบุปผาแปลงไม้มีทั้งหมดเจ็ดขั้น สามขั้นแรกผู้บำเพ็ญระดับสร้างรากฐานสามารถเรียนรู้ได้ และเมื่อนางมาถึงระดับก่อแก่นปราณแล้วก็ไม่ได้ฝึกอย่างลึกซึ้งต่อไป
ตอนนี้แม้นางจะใช้ธนูเขียวซ่อนเร้นมาแสดงเคล็ดวิชาพันบุปผาแปลงไม้ นั่นก็เป็นเพราะว่าก่อนหน้านี้ได้ใช้กระบี่ชิงมู่ฝึกฝนมาเป็นหมื่นเป็นพันครั้ง การบุกโจมตีทุกกระบวนท่า จังหวะหยุดจังหวะเว้นล้วนประทับเข้าไปในสมองของนางอย่างลึกล้ำ นี่ถึงได้ใช้ธนูเขียวซ่อนเร้นในการแสดงออก
แต่หากคิดจะขยับขึ้นไปอีกขั้นกลับไม่อาจใช้ธนูเขียวซ่อนเร้นมาฝึกได้อีก นางจะต้องเริ่มก่อรากฐานให้ดี ฝึกระบำกระบี่อย่างถูกต้อง มีเพียงถึงตอนที่ใช้ใจถ่ายส่งกระบี่แล้วถึงจะใช้ใบไม้ปลิวทำร้ายคน ใช้ธนูเป็นกระบี่
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วเหมือนกะพริบตา ไม่นานก็มาถึงวันที่เฉิงหรูยวนเชื้อเชิญไว้
“น้องสาว อยู่หรือไม่” ถังมู่เฉินยืนอยู่นอกประตูตะโกนขึ้นถาม
มั่วชิงเฉินเหมือนไม่ได้ยิน ร่างของนางลอยอยู่กลางอากาศ บินระบำไปรอบๆ ต้นท้อกลางเรือน
กลีบดอกท้อสีชมพูร่วงกราวลอยบนพื้น ทั้งๆ ที่นางยืนอยู่กลางฝนดอกไม้แต่กลับไม่มีกลีบดอกไม้แม้แต่กลีบเดียวตกลงบนเสื้อผ้าของนาง
“โอ้ย” ท่าหมุนตัวท่าหนึ่ง หน้าผากของมั่วชิงเฉินกระแทกเข้ากับกิ่งไม้ นางพลิกตัวหมุนกลับลงมาบนพื้นส่ายหัวเบาๆ
ฝึกมานานกว่าครึ่งเดือนวิชาน้ำพลิ้วตามกายายังคงหยุดอยู่ที่ขั้นสอง ดูท่าการเดินทางยังอีกยาวไกล
ต่อให้เป็นเช่นนั้นนางก็ยังรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าร่างกายอ่อนพลิ้วมากยิ่งขึ้น แต่ก่อนนี้ท่าที่ไม่สามารถทำได้ตอนนี้กลับแสดงออกมาอย่างราบลื่นไม่ติดขัด
วิชาลับที่รวบรวมวิธีการขยับกายและการฝึกร่างช่างมีเอกลักษณ์เสียจริง
มั่วชิงเฉินเอ่ยปาก “พี่ถัง ไปกันเถิด”
ถังมู่เฉินกวาดตามองกลีบดอกท้อที่ร่วงเต็มพื้น หัวเราะพลางพูดว่า “น้องสาว นี่เจ้ากำลังทำลายดอกไม้งามเช่นนั้นหรือ”
“ตัวน้องคงไม่อาจสู้พี่ถังได้ เอ็นดูไม้งามไปทุกที่” มั่วชิงเฉินกรอกตาเดินออกไป
ความอึดอัดก่อนหน้านี้ถูกทำลายลงไป เจ้าคนนี้ก็กลับมามาหน้าตาทะเล้นเหมือนเดิม
ผ่านไปไม่นานทั้งสองคนก็มาถึงหอวั่งไห่ตามที่นัดกันไว้ ผู้ดูแลร้านตรงเข้ามารับพวกเขาขึ้นไป
“ท่านอาวุโสทั้งสองเชิญขอรับ คุณชายเฉิงเจ็ดรออยู่ตลอด”
ผู้ดูแลร้านเพิ่งจะพาทั้งสองคนไปหน้าห้องเทียนจื้อหมายเลขหนึ่งประตูถูกเปิดออกโดยที่ไม่มีลม เฉิงหรูยวนที่สวมใส่เสื้อสีแดงเข้มประหนึ่งคลุมกายด้วยแสงอาทิตย์ยามเย็น มุมปากประดับรอยยิ้มอ่อนเดินออกมา “สหายเต๋าทั้งสองมากันแล้ว ใจของหรูยวนก็สบายใจลงแล้ว”
เมื่อเข้าไปก็เห็นว่าในห้องมีคนเจ็ดแปดคนอยู่แล้วล้วนยืนอยู่ทั้งสิ้น พอได้ยินคำพูดของเฉิงหรูยวนล้วนแสดงท่าทีแตกต่างกันไป หนึ่งในนั้นกลับทำให้ฝีเท้าของมั่วชิงเฉินต้องชะงักไป
‘เป็นเขา’