ก้อนอิฐกระแทกเข้ากับต้นสะกดวิญญาณดังสนั่น ทันใดนั้นต้นสะกดวิญญาณก็ส่องลำแสงสีม่วงดำออกมา ต่อมาแสงวิญญาณที่เป็นประกายหลายจุดก็ค่อยๆ สลายไป แม้จะหายไปอย่างไร้ร่องรอยแต่ก็มีความสวยที่น่าเศร้า
แต่แสงวิญญาณยังไม่ถึงคราสลายหายไปหมด พื้นที่ว่างตรงนั้นก็เริ่มสั่นไหวเหมือนคลื่นบนผิวน้ำ จากนั้นก็มีร่างเงาสีเหลืองร่างหนึ่งพุ่งเข้ามา
“คนชั้นต่ำ กล้ามาแย่งคุณชายเผยกับข้า ข้าจะฆ่าเจ้า!” ร่างเงาที่พุ่งเข้ามากรีดร้อง แยกเขี้ยวตะปบเล็บสะบัดมือทั้งสองข้างนำพาซึ่งเศษเงาของแสงวิญญาณ
มั่วชิงเฉินหรี่ตา แขกไม่ได้รับเชิญที่จู่ๆ ก็พุ่งขึ้นมาก็คือหญิงบำเพ็ญผู้นั้น
แต่ในตอนนี้เสื้อผ้าของนางหายไปกว่าครึ่ง ความงามของสตรีเพศปรากฏให้เห็น เชือกผูกผ้าปิดท้องสีฟ้าอ่อนตรงไหล่เห็นชัด ในดวงตาสะท้อนสีชมพูแดงน่าประหลาด นิ้วทั้งสิบจากมือทั้งสองข้างกางออก ทุกเล็บยาวกว่าหนึ่งนิ้ว!
การกระทำของหญิงบำเพ็ญคล่องแคล่วเหมือนแมว ระหว่างที่สืบฝีเท้าแปลก กระพริบตาก็เข้ามาประชิดร่างมั่วชิงเฉิน เสียงแควกดังขึ้น เล็บที่เป็นเหมือนมีดบาดผ่านขอบหูของนางไป
มั่วชิงเฉินเบนหัวหลบหลีกการโจมตีของหญิงบำเพ็ญ ตะคอกเสียงก้อง “สหายเต๋า!
แต่หญิงบำเพ็ญในตอนนี้เหมือนจะสูญเสียสติสัมปชัญญะไปแล้ว แสงสีแสงในดวงตายิ่งเข้มขึ้น นางเร่งลงมือรวดเร็วจนเกิดเศษเงา ทุกครั้งที่ลงมือล้วนมุ่งตรงมาที่จุดถึงแก่ชีวิตของมั่วชิงเฉิน นิ้วคมสะท้อนแสงหนาวเหน็บ
หากว่าถูกนิ้วคมบาดคงต้องลึกจนเห็นกระดูกเป็นแน่ สีหน้าของมั่วชิงเฉินมีแววสงสัย ฝีเท้าขยับหนีทิวทัศน์กลายเป็นภาพที่พร่ามัว ร่างลอยออกไปไกลหลายจั้ง
ใครจะรู้ว่าหญิงบำเพ็ญนั้นเป็นเหมือนกับเชื้อโรคบนผิวหนัง ปลายเท้าสะกิดพื้นเพียงนิดเพียงเสี้ยววินาทีก็เขยิบเข้ามาใกล้ ใบหน้ายิ่งบิดเบี้ยวกว่าเดิม “คนต่ำช้า เจ้าคิดว่าตนเองสวยงามดุจนางฟ้านางสวรรค์ใช่หรือไม่ วันนี้ข้าจะกรีดหน้าเจ้าให้เละ ลองดูซิว่าเจ้าจะเอาอะไรมาล่อลวงผู้ชายอีก!”
พูดพลางกำๆ แบๆนิ้วทั้งสิบไปพลาง เล็บคมทั้งสิบม้วนเข้าและเด้งออกตามกัน ส่งเสียงเสียดสีเสียงแหลม ก่อให้เกิดหลุมอากาศจำนวนนับมาถ้วนในบรรยากาศรอบข้าง
เงาพร่ามัวของมั่วชิงเฉินแม้จะสามารถทิ้งระยะห่างไปได้ช่วงหนึ่งแต่ต้องเป็นเส้นทางตรง ต่างกับการขยับตัวและขยับเท้าของหญิงบำเพ็ญ หากไม่ตอบโต้เมื่อเทียบกับการหลบหลีกจู่โจมนางย่อมตกเป็นรอง
มั่วชิงเฉินยากจะควบคุมความรู้สึกตื่นเต้นเลือดร้อนในใจ อย่างที่คาดไว้ได้สู้กับผู้บำเพ็ญเพียรสายยุทธ์นั้นมีความรู้สึกที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง
ไล่ล่าหลบหลีกกันอีกครู่หนึ่ง มั่วชิงเฉินรู้ว่าหากตนเองไม่สู้กลับการที่จะสลัดการไล่ล่าของหญิงบำเพ็ญนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย มีครั้งหนึ่งที่เล็บคมของหญิงบำเพ็ญสะบัดผ่านใบหน้าซีกขวาของนาง คมดาบที่ตามกรีดหน้านางทำให้เป็นรอยแผลขนาดเล็กรอยหนึ่ง หยดเลือดไหลออกมาในทันใด
หญิงบำเพ็ญเห็นเลือดก็ยิ่งบ้าคลั่ง ส่งเสียงหัวเราะเสียดหู ยิ่งลงมือเหมือนพายุฝนคลุ้มคลั่ง ยิ่งรวดเร็วมากขึ้น
คำโบราณกล่าวไว้ว่าใช้ไม้นวมก่อนใช้ไม้แข็ง มั่วชิงเฉินหยิบก้อนอิฐมาถือไว้ในมือ ตะโกนอีกครั้ง “สหายเต๋า หากเจ้ายังไม่หยุดอย่าหาว่าข้าแล้งน้ำใจนะ”
เบี่ยงตัวหลบนิ้วแหลมของหญิงบำเพ็ญอย่างรวดเร็ว แต่กลับเห็นหญิงบำเพ็ญหัวเราะน่ากลัว ร่างกายบิดเป็นท่าทางประหลาด มืออีกข้างหนึ่งที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากที่ใดปรากฏขึ้นกลางอากาศ เสียงแหวกอากาศดังขึ้นจับเข้าที่ไหล่ซ้ายของมั่วชิงเฉิน
มั่วชิงเฉินรู้สึกถึงความรู้สึกปวดแสบปวดร้อน รีบชักไหลกลับมา
เสื้อบริเวณหัวไหล่ถูกเล็บของหญิงบำเพ็ญตะปบในทันใด เสียงเนื้อผ้าขาดดังขึ้นกลายเป็นช่องโหว่หนึ่งช่อง ความรู้สึกเจ็บปวดบนหัวไหล่ที่มากับความรู้สึกเย็นยะเยือกทำให้มั่วชิงเฉินขมวดคิ้วมุ่น
การขยับกายและฝีเท้าของผู้บำเพ็ญเพียรสายยุทธ์รวมถึงวิธีการจู่โจมรูปแบบต่างๆ ช่างทำให้คนป้องกันอย่างไรก็ป้องกันไม่หมดเสียเหลือเกิน ดูท่าการสู้กับผู้บำเพ็ญเพียรสายยุทธ์จะต้องพยายามเลี่ยงการสู้ประชิดตัว
ระหว่างที่จู่โจมหลบหลีกกับหญิงบำเพ็ญมาครู่หนึ่งในใจของมั่วชิงเฉินเริ่มเกิดความมั่นใจไม่คิดจะยืดเยื้ออีกต่อไป
กริชฟันปลาปรากฏขึ้นบนมือข้างหนึ่งหันไปปะทะเข้ากับเล็บเหล็กเข้าอย่างจังก่อให้เกิดเสียงกระแทกสะท้อนก้อง
จากนั้นในขณะที่หญิงบำเพ็ญกำลังเปลี่ยนกระบวนท่า เข็มบางที่เกิดจากกระแสจิตรวมตัวกันสัมผัสได้ถึงกระแสจิตของหญิงบำเพ็ญอย่างเงียบเชียบไร้ร่องรอย ก่อนจะแทงเข้าไปอย่างแรง
เสียงร้องน่าเวทนาดังขึ้น หญิงบำเพ็ญประหนึ่งโดนสายฟ้าฟาด ทั้งร่างของนางแข็งเกร็งจากนั้นก็สั่นกระตุกขึ้นมา
ฉวยโอกาสนี้มั่วชิงเฉินไม่ลังเลแม้แต่น้อยก้อนอิฐที่ถืออยู่ในมือมานานถูกยกขึ้นสูงเล็งตรงไปที่ใบหน้าของหญิงบำเพ็ญแล้วฟาดลงไป
คราวนี้หญิงบำเพ็ญแม้แต่เสียงยังไม่ทันได้ร้องออกมา ตัวอ่อนยวบยาบไหลลงไปบนพื้นเหมือนโคลนเละ
มั่วชิงเฉินพ่นลมหายใจออกมา หญิงบำเพ็ญผู้นี้มีผีมือเฉียบคมแล้วบวกกับฝีเท้าที่แปลกประหลาด หากว่าปะทะต่อสู้เอาฝีมือมาประชันกันจริงๆ ไม่แน่ว่าต้องเสียเวลามากกว่านี้ โชคดีที่เคล็ดวิชาฝึกจิตอนัตตาสามารถหลอมรวมออกมาเป็นเข็มสมาธิมีรูปธรรมแต่กลับไร้รูปร่าง การที่ต้องรับมืออย่างไม่ทันตั้งตัวก็มากพอแล้ว
สำหรับก้อนอิฐ ที่จริงแล้วตนเองนั้นคุมกำลังเอาไว้ นางเพียงสลบไปชั่วคราวเท่านั้นเอง อาการที่จะตามมาภายหลังอย่างมากก็คือใบหน้าบวมไปช่วงเวลาหนึ่ง
มั่วชิงเฉินหอบหายใจอยู่ครู่หนึ่ง มีคลื่นพลังวิญญาณอีกกระแสโถมเข้ามา ครั้งนี้นางไม่อาจประมาทเลินเล่อได้อีกต่อไป เท้าก้าวขึ้นเหยียบร่างเงาพร่ามัวสำแดงออกมา นางถอยหลังลงก้าวใหญ่ ไหมเกล็ดน้ำแข็งลอยมาอยู่เบื้องหน้านางประหนึ่งควันบางเบา
“แม่นางมั่ว!” ทั้งสองคนที่ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกันย่อมต้องเป็นเผยสิบสามและผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลัง แต่แม้พวกเขาจะดูเหมือนปรากฏตัวจากที่เดียวกัน แต่ท่าทีที่สองฝ่ายมองกันกลับมีความตกใจเล็กน้อย ล้วนถอยหลังลงไปหนึ่งก้าวด้วยความหวาดระแวง จากนั้นทั้งสองก็หันมามองมั่วชิงเฉินพร้อมกัน สีหน้าระแวงบนใบหน้ายิ่งรุนแรงมากขึ้น
กวาดตามองหญิงบำเพ็ญบนพื้น ยังคงเป็นผู้ฝึกกายเอ่ยปากขึ้นก่อน “พวกเจ้าล้วนเป็นมนุษย์จริงๆ เช่นนั้นหรือ”
มั่วชิงเฉินเม้มปาก ดูท่าผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังก็คงเจอภาพมายาเช่นเดียวกัน แต่ภาพมายาของเขาไม่เหมือนกับตนเองที่เป็นต้นสงบวิญญาณ แต่เป็นมนุษย์
และภาพมายาของหญิงบำเพ็ญก็คงเป็นเผยสิบสามอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ไม่รู้ว่าภาพมายาของเผยสิบสามจะเป็นอะไร
คิดเท่านี้ใจของมั่วชิงเฉินก็ต้องกระตุก ไม่ถูก หากว่าคนที่ปรากฏตัวที่นี่ก็อาจเป็นภาพมายาก็ได้ เช่นนั้นตนเองจะมั่นใจได้อย่างไรว่าทั้งสามคนที่ปรากฏตัวตอนนี้ไม่ใช่ภาพมายา
ครุ่นคิดถึงตรงนี้สายตาที่มองทั้งสองคนก็แลดูลึกซึ้งคาเดาไม่ถูกขึ้นมา
ภายในเสี้ยวเวลาสั้นๆ บรรยากาศระหว่างสามคนตึงเครียด ในเวลานี้เองที่หญิงบำเพ็ญค่อยๆ ตื่นขึ้นมา
นางกระพริบตาด้วยความล่องลอยก่อนในตอนแรก สายตากรอกมองเห็นใบหน้าเผยสิบสาม ในดวงตาปรากฏแววยินดี “คุณชายเผย ท่าน ท่านไม่ได้ทิ้งข้าไปอย่างนั้นหรือ”
พูดเท่านี้ก็หันมามองมั่วชิงเฉินอย่างรวดเร็ว สายตาเหมือนจะกลืนกิน “เจ้าปีศาจจิ้งจอก ข้าจะฉีกเจ้าเป็นชิ้นๆ!”
นางตั้งใจลุกขึ้นแต่กลับรู้สึกปวดหัว ล้มลงไปนั่งเหมือนเดิม
ความรู้สึกปวดหัวเหมือนจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ทำให้นางได้สติ ดวงตาเริ่มเห็นชัดขึ้นเรื่อยๆ “นี่ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
เผยสิบสามกวาดตาพิจารณาทั้งสามคน ในที่สุดก็พูดเสียงเบา “พวกเราน่าจะเห็นภาพมายาทั้งหมด ล้วนเป็นเพราะไออากาศสีชมพูนั่นเป็นแน่”
เพิ่งพูดจบหญ้าเขียวใต้ขาของทั้งสี่คนก็บินขึ้นมา พวกเขารีบกระโดดหลบ ยังไม่ทันที่จะได้ร่อนตัวลงก็เห็นว่าบนพื้นมีหนามแหลมมากมาย หากยืนลงไปจะต้องทะลุไส้ขึ้นมาเป็นแน่
พวกเผยสิบสามทั้งสามคนรีบนำของวิเศษบินกลางอากาศของตนเองออกมา ร่างกายหยุดอยู่กลางอากาศ มีเพียงมั่วชิงเฉินคนเดียวที่ยืนลอยอยู่กลางอากาศ ไหมเกล็ดน้ำแข็งกลายเป็นกลุ่มควันลอยรอบตัวนาง
สภาพจิตใจของทั้งสี่คนยังไม่ทันสงบ หนามแหลมเหล่านั้นกลับหมุนรอบเลี้ยวลดอย่างรวดเร็ว หันไปทางข้างบนเป็นมุมหนึ่งร้อยแปดสิบองศา คมกระบี่สีทองจำนวนนับไม่ถ้วนไหลออกมาจากหนามแหลมพุ่งตรงมายังทั้งสี่คน
คมกระบี่ยังไม่ทันเข้ามาใกล้มั่วชิงเฉินก็รู้สึกได้ถึงความน่ากลัวของมัน นางไม่กล้าต่อต้านด้วยไม่แข็ง รีบเอาไหมเกล็ดน้ำแข็งมาบังไว้ข้างหน้า
เสียงโลหะปะทะกันดังมาให้ได้ยิน คมกระบี่หลายสายแทงเข้าไปบนไหมเกล็ดน้ำแข็ง ไหมเกล็ดน้ำแข็งสั่นเล็กน้อย มั่วชิงเฉินขยับนิ้วรวดเร็วยิงเคล็ดวิญญาณเข้าไปในไหมเกล็ดน้ำแข็งไหมเกล็ดน้ำแข็งกลับมาแข็งตัวอีกครั้ง
ฉวยโอกาสนี้มั่วชิงเฉินเหลือบมองไปยังสามคนที่เหลือ
เห็นว่าผู้ฝึกกายไม่หลบหลีก ใช้กำปั้นพุ่งชนคมกระบี่ คมกระบี่ถูกกระแทกลอยตกลงไปรอบด้านตามแรงหมัด หลังกำปั้นมีลูกไฟขนาดเล็กแต่ทิ่มแทงสายตาเป็นประกายให้เห็น
และเมื่อคมกระบี่อื่นปะทะเข้ากับเขาก็เห็นบนร่างเขามีแสงวิญญาณประกายวัย คมกระบี่เหล่านั้นถูกดีดกลับมาอย่างรุนแรง
เมื่อหันไปมองหญิงบำเพ็ญไม่เห็นว่านางเอาอาวุธป้องกันพิเศษออกมารับมือ แต่กลับแทรกตัวไปตามช่องว่างระหว่างคมกระบี่ที่สอดประสานไปมา ในช่วงเวลาที่หลบเลี่ยงไม่ได้ก็ใช้นิ้วเหล็กทั้งสิบจู่โจมกลับไป เกิดเสียงชนกระแทกก้องกังวาน
เผยสิบสามมีสภาพพอๆ กันกับหญิงบำเพ็ญ หลบเลี่ยงคมกระบี่ไปมาเช่นเดียวกัน แต่ลดความอ่อนช้อยลงไปหลายส่วน ที่เพิ่มขึ้นมาคือความสง่างามเป็นธรรมชาติ
แสงวิญญาณรวมตัวกันบนมือทั้งสองข้างของเขา เมื่อเจอกับคมกระบี่ที่ยากจะหลบแสงวิญญาณก็จะพุ่งออกไปรวมตัวเป็นกระบี่คมขนาดเล็กพุ่งชนกระแทกกับคมกระบี่ คมกระบี่เหล่านั้นแตกแยกกระจายออกไปเหมือนกับฝนดาวตก
“สหายเต๋าทั้งสามโปรดยืนหยัดอีกครู่ ข้าน้อยจะคำนวณที่ตั้งของตาค่ายกล!” เผยสิบสามเบี่ยงตัวไปด้านหลังหลบคมกระบี่ ส่งเสียงตะโกนออกมา
“ได้!” มั่วชิงเฉินมีปฏิกิริยาตอบรับก่อน นางพุ่งตัวมาบังหน้าเขา ยื่นมือเรียกไหมเกล็ดน้ำแข็งแสงวิญญาณกระพริบ ปัดป้องคมกระบี่มากมายที่ลอยมา
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด ผู้ฝึกกายตะโกนเสียงดัง “ทำเช่นไร ข้าไม่มีแรงแล้ว”
หญิงบำเพ็ญเองก็หอบหายใจเสียงดัง แข้งขาเริ่มอ่อนแรง “คุณชายเผย ข้าน้อยจะไม่ไหว”
ดวงตาทั้งสองข้างของเผยสิบสามจ้องมองด้านล่างไม่พูดอะไรออกมา คิ้วเรียวขมวดมุ่นเป็นปม
มั่วชิงเฉินไม่ส่งเสียง เมื่อเห็นว่าไหมเกล็ดน้ำแข็งเริ่มสีซีดไร้แสงก็เก็บกลับเข้าไป ในมือมีกระบี่ชิงมู่ปรากฏขึ้นมาแทน
ข้อมือขยับไปมาวาดว่ายกระบี่ชิงมู่จนหนาแน่นไม่มีแม้แต่ช่องลม กลายเป็นโล่ไม้เขียวขนาดใหญ่ไม่มีที่เปรียบ
นี่คือเคล็ดวิชาพันบุปผาแปลงไม้ขั้นสอง โล่ไม้เขียว!
ในตอนนี้นั่นเองเผยสิบสามส่งเสียงออกมา “ตรงนั้น ข้างล่างหนามอันที่เก้าสิบเก้านับตั้งแต่ฝั่งซ้ายคือตำแหน่งของตาค่ายกล!”
เขาพูดไปพลางยกแขนขวาขึ้น กระบี่ยาวที่เกิดจากแสงกระบี่เล่มหนึ่งรวมตัวกันค่อยๆ กลายเป็นรูปร่าง จากนั้นก็พุ่งแหวกเป็นแสงกระบี่สายหนึ่ง พุ่งตรงไปยังตาค่ายกล
เสียงดังปังหนามแหลมตรงนั้นไม่ถูกหั่นออก แต่กลับหมุนเร็วมากขึ้น ไอกระบี่นับไม่ถ้วนเบ่งบานประหนึ่งพลุดอกไม้ พุ่งเข้ามาหาทุกคนอย่างหนาแน่นไม่มีช่องให้ลมผ่าน
ทั้งสี่คนรีบร้อนปัดป้องคมกระบี่ในทันใด ได้ยินเสียงเผยสิบสามพูดขึ้นว่า “สหายเต๋าทั้งสามต้องพยายามโจมตีตรงนั้น มีเพียงทำลายตาม่านพลังลงคมกระบี่นี่ถึงจะไม่กลับมาอีก มิเช่นนั้นพวกเราจะเหนื่อยตายอยู่ที่นี่กัน!”
การป้องกันอีกครั้งหนึ่งได้เริ่มขึ้น หญิงบำเพ็ญพูดเสียงแหบแห้งล่องลอย “ไม่ไหว…ข้าไม่ไหวแล้ว…”
ผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังหน้าแดงตาแดง กำปั้นกระแทกไปที่คมกระบี่ตรงหน้าจนสลายหายไป “ในคติของข้าไม่เคยมีคำว่าไม่ไหว สองคำนี้มาก่อน!”
แม้จะพูดเช่นนี้แต่เหงื่อเม็ดโตกลับไหลลงมาจากหน้าผาก
มั่วชิงเฉินถอยหลังลงไปหนึ่งก้าว หรี่ตาลงครึ่งหนึ่ง ธนูเขียวซ่อนเร้นในมือค่อยๆ ง้างออก ศรน้ำแข็งเหมันต์พุ่งตรงไปยังตาค่ายกลด้วยความแรงอย่างยากหยุดยั้ง
ใช้ไฟกดโลหะ เปลวน้ำแข็งเหมันต์เป็นของศักดิ์สิทธิ์ธาตุไฟ จะสำเร็จหรือไม่ก็อยู่ที่ครั้งนี้แล้ว!
เสียงแหวกอากาศดังขึ้นยามทีศรน้ำแข็งเหมันต์ทิ่มเข้าไปในตาค่ายกลอย่างแม่นยำเกิดเสียงเบาดังขึ้น จากนั้นทั้งสี่คนก็รู้สึกได้ว่าพื้นดินสั่นไหว บรรยากาศรอบข้างเริ่มบิดเบี้ยว
ภาพเบื้องหน้าพวกเขาเลือนราง รอจนกลับมาชัดเจนแล้วก็พบว่ายังคงเป็นอุโมงค์ที่ฝังอัญมณีเต็มไปหด แต่ด้านหน้าอุโมงค์มีประตูสองบานเพิ่มขึ้นมา