ตอนที่ 467 ล่มสิ้นใต้หล้า
“หา? เอ่อ คือ…” อวี้อาเหราเงยหน้าขึ้นทันที ใบหน้าแฝงให้เห็นความทุกข์ นางก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อครู่นี้นางฮัมเพลงอะไรออกมา ก็แค่ฮึมฮัมไปเรื่อยเปื่อย ฮัมเพลงที่เคยได้ยินมาสองสามท่อนเท่านั้น ความจริงแล้วก็ร้องสะเปะสะปะ ไม่มีหัวมีท้ายอะไรทั้งนั้น
เพราะอย่างนั้นจึงฮัมเพลงขึ้นมา
แต่เมื่อถูกฉู่เกอมองเช่นนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะแก้ตัวอย่างไรดี
“หืม?” ฉู่ป๋ายเห็นท่าทีลังเลของนาง ก็อดไม่ได้ที่จะส่งสายตาสงสัย
อวี้อาเหราพลันเงียบไป “ล่มสิ้นใต้หล้า”
สมองของนางพยายามที่จะคิดถึงเพลงที่ได้ยินมาก่อนทั้งหมด คิดอยู่เป็นนานถึงได้นึกถึงเพลงทำนองโบราณขึ้นมาหนึ่งเพลง อย่างไรเสียเพลงในยุคปัจจุบันก็คงไม่ได้รับความนิยมจากที่นี่เท่าไรนัก
“ล่มสิ้นใต้หล้า? นี่คือเพลงอะไรกัน คือชื่อเพลงหรอกหรือ เหตุใดถึงได้ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยเล่า!” ฉู่เกอยังทำท่าทีไม่เข้าใจ
“ใช่แล้ว เพลงนี้ชื่อว่าล่มสิ้นใต้หล้า” อวี้อาเหราว่า หากคนโบราณเช่นนางเคยได้ยินก็แปลกแล้ว
“ฟังจากชื่อเพลงแล้วก็รู้สึกว่าไพเราะไม่เลวนัก พี่เหราเอ๋อร์ร้องให้ฟังสักท่อนได้หรือไม่” ฉู่เกอเอ่ยถามต่อ
“ร้องเพลงหรือ” อวี้อาเหราส่ายหน้าในทันที “ข้าร้องไม่เป็นหรอก”
“แต่เมื่อครู่นี้ท่านก็ยังร้องอยู่มิใช่หรือ?” ฉู่เกอสงสัย
“เมื่อครู่ข้าแค่ร้องไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้น” อวี้อาเหราก้มหน้าลงเล็กน้อย เมื่อตอบไปแล้วก็รู้สึกกระดากอายอยู่บ้าง
ฉู่ป๋ายหัวเราะออกเสียง “ที่แท้เจ้าก็ร้องออกมาส่งเดชเองหรือ มิน่าเล่าจึงฟังไม่ได้เอาเสียเลย”
“เจ้าน่ะสิฟังไม่ได้” อวี้อาเหราถลึงตา เจ้าหมอนี่จะพูดน้อยลงจะตายหรืออย่างไรกัน
“อืม ข้าฟังไม่ได้” ฉู่ป๋ายพยักหน้าแต่โดยยดี
ฉู่เกอมองอวี้อาเหรา มีท่าทีผิดหวัง “คิดว่าพี่เหราเอ๋อร์จะร้องเพลงได้เสียอีกเมื่อครู่นี้ฟังแล้วก็รู้สึกสนุกสนานมาก ตอนนี้รู้สึกเสียดายบ้างแล้ว”
“เจ้าชอบมากหรือ” อวี้อาเหราชะงัก มองใบหน้าเล็กของนางที่หม่นหมองลง
“อืม ไม่ทราบเช่นกันว่าเหตุใด แต่รู้สึกว่าเพราะมาก อยากลองฟังยิ่งนัก” ฉู่เกอพยักหน้าลงอย่างยอมรับ
“แม้ว่าข้าจะร้องเพลงไม่เป็น แต่ข้าจะลองฮัมให้เจ้าฟังดูเสียหน่อย และจะเล่าเรื่องราวของเพลงนี้ให้เจ้าฟัง ดีหรือไม่” อวี้อาเหราสรุปออกมา ไม่อาจปล่อยให้นางเป็นทุกข์ได้ นางจำไม่ได้แล้วว่าเพลงนี้ร้องอย่างไร แต่หากแค่ฮัมล่ะก็ ยังพอถูๆ ไถๆ ไปได้
“เพลงนี้มีเรื่องราวด้วยหรือ” ฉู่เกอตื่นเต้นขึ้นมาทันที
“มีสิ แต่มันออกจะเศร้าสักหน่อย เจ้าอยากฟังหรือไม่” อวี้อาเหราเลิกคิ้ว ลังเลอยู่สักครู่จังถามขึ้น
“อยากสิ! แน่นอนว่าต้องอยาก!” ฉู่เกอยินดีขึ้นมาอีกครั้ง
“ได้สิ” อวี้อาเหรานิ่งไป ใช้สำเนียงพูดอ่อนโยนกล่าวอธิบาย “เรื่องราวก็เป็นเช่นนี้ หลังจากที่จักรพรรดิไป๋เหยียนได้สถาปนาราชวงศ์ขึ้นเป็นจักรพรรดิในคืนวันหิมะตกคืนหนึ่ง จักรพรรดิพระองค์ใหม่ที่เกิดจากชนชั้นรากหญ้าผู้นี้ไม่ชอบความฟุ้งเฟ้อ เมื่อจัดการตำแหน่งในวังหมดแล้วก็ทรงทำลายพระตำหนักสวยงามที่สร้างขึ้นในราชวงศ์ก่อนจนสิ้น ทว่าทุกคืนที่เจดีย์เก้ามังกรที่ประดิษฐานในวังนั้น เขาจะนั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าแท่นบูชาบนเบาะสวดมนต์บางๆ เผชิญหน้ากับรูปเหมือนบนกำแพง นี่ก็คือที่มาของเพลงที่ชื่อว่า ‘ล่มสิ้นใต้หล้า’ …”
“อ้อ แล้วรูปเหมือนนั่นคือผู้ใดกันหรือ” ฉู่เกอรีบถามขึ้นมาทันที
“เป็นพระสนมของจักรพรรดิพระองค์ก่อน และเป็นหญิงสาวที่ไป๋เหยียนรักมากที่สุด” อวี้อาเหรามีท่าทีหนักอึ้ง
ฉู่เกอฟังแล้วมึนงง “แล้วหญิงผู้นั้นเล่า”
“ยามที่กำแพงเมืองถล่มลงมา นางกระโดดลงมาจากกำแพงเมืองแล้วจึงสิ้นลม” อวี้อาเหราตอบ
“ตายแล้วหรือ…” ฉู่เกออดไม่ได้ที่จะถอยหลังไปหนึ่งก้าว “เหตุใดต้องตายด้วย หรือว่าทั้งสองไม่ได้รักกัน?”
“ทั้งสองรักกัน แต่คงเป็นเพราะไร้วาสนา ช่างน่าสงสารเหลือเกิน” อวี้อาเหราสูดลมหายใจ
ตอนที่ 468 ระบำดาบ
ฉู่เกอชะงัก ทันใดนั้นก็ส่ายศีรษะ “คนอื่นจะรู้สึกว่าน่าสงสารหรือไม่นั้นข้าไม่รู้ แต่ในสายตาของข้าแล้วกลับรู้สึกว่าสตรีนางนั้นได้ขึ้นเป็นพระสนมชายาด้วยความจำยอม และชายหนุ่มก็ถูกโชคชะตาลิขิตเอาไว้ให้เป็นฮ่องเต้ แต่ทั้งสองเกิดมาชาติหนึ่ง แม้ตายไปแล้วก็ไม่แน่ว่าจะได้อยู่ด้วยกัน เพราะเขาทั้งคู่ต่างก็ไร้บุญไร้วาสนามิใช่หรือ”
“หืม?” อวี้อาเหรามองนาง แต่กลับไม่ได้พูดอะไร
ฉู่ป๋ายค่อยๆ เอ่ยปากขึ้น “เพลงนี้ช่างเศร้าสร้อยนัก ตอนนี้ก็ใกล้จะถึงช่วงปีใหม่แล้ว ไม่พูดถึงคงจะดีกว่า”
อวี้อาเหราเหยียดริมฝีปาก นางไม่ได้อยากพูดถึงเสียหน่อย เป็นพวกเขาเองที่อยากจะให้นางพูดขึ้นมาต่างหาก
ฉู่ป๋ายมองไปยังดอกไม้ที่ร่วงอยู่เต็มพื้น สายตาก็พลันเกิดข้อสงสัยขึ้นมา แล้วเอ่ยถามอวี้อาเหรา “เจ้าเต้นระบำเป็นหรือไม่”
“ไม่เป็น” อวี้อาเหราส่ายหน้า ช่างเรื่องเต้นระบำไปเถิด ไม่เหมาะกับนางหรอก
ฉู่ป๋ายเห็นนางสวมชุดสีแดงเช่นนี้ ดูงดงามเป็นอย่างมาก จากนั้นก็พยักหน้าลงอย่างเห็นด้วย “ก็ถูกของเจ้า เจ้าเป็นธิดาเอกแห่งจวนหลิงอ๋อง มีชื่อเสียงในเรื่องการทหาร แน่นอนว่าคงไม่อาจมีความสามารถเฉกเช่นหญิงสาวทั่วไป เอาเช่นนี้ก็แล้วกัน เจ้าก็ลองระบำดาบให้พวกเราชมเสียหน่อยเป็นไร”
“เหตุใดข้าต้องระบำดาบให้พวกเจ้าดูด้วย?” อวี้อาเหราหมดคำจะเอ่ยอ้าง
ฉู่ป๋ายเลิกคิ้ว “ก็เมื่อครู่นี้เจ้าเล่าเรื่องเศร้า จนทำให้จิตใจของพวกเราถูกกระทบด้วยความเศร้า ก็ต้องถูกลงโทษมิใช่หรือ”
ไร้สาระ! อวี้อาเหราหมดความอดทนแล้ว นี่ก็เป็นการเอาเปรียบกันชัดๆ พวกเขาให้นางเล่า พอนางเล่าแล้วก็ไม่พอใจ นี่มันเรื่องอะไรกันเล่า?
“ระบำดาบดีเลย! พี่เหราเอ๋อร์ลองระบำให้ข้าดูสักท่อนหนึ่งเถิด” ฉู่เกอได้สติจากเรื่องเล่าแสนเศร้า แล้วมองนางอย่างยินดี
“ข้า…” อวี้อาเหราอยากจะปฏิเสธก็ทำไม่ได้
ฉู่ป๋ายหยิบดาบจากหานสือส่งให้ตรงหน้านาง เมื่อเห็นท่าทีรอคอยชมของฉู่เกอ เมี่ยวอวี้และเจาเอ๋อร์ อีกทั้งดาบก็ถูกส่งมาตรงหน้าแล้ว นางก็คงไม่มีทางที่จะปฏิเสธได้
หลังจากที่ยื่นมือออกไปรับมา นางก็ลังเลขึ้นมาอีกครั้ง “แต่จะให้ข้าคนเดียวระบำดาบอยู่ตรงนี้หรือ? ใครเห็นเข้าก็จะหาว่าข้าบ้าเสียกระมัง!”
“แล้วเจ้าคิดจะทำอย่างไร” ฉู่ป๋ายเลิกคิ้วถามขึ้น
“เจ้าก็มาระบำกับข้าสิ?” อวี้อาเหราเลิกคิ้วขึ้นเช่นกัน
ฉู่ป๋ายตั้งใจที่จะปฏิเสธในทันที “เจ้าก็รู้มิใช่หรือ ว่าสุขภาพของข้าก็ไม่เหมาะนัก”
“ไม่เหมาะหรือ? ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ไร้ประโยชน์สิ้นดี สองวันก่อนหน้านี้ข้าก็ป่วยมาตลอด แต่ก็ไม่ได้อิดออดอะไร ในเมื่อเจ้าไม่สบายจริงๆ ก็ช่างเถิด ข้าขอให้หานสือหรือไม่ก็เกอเอ๋อร์ช่วยก็ได้”
“ตกลง ตามใจเจ้า”
เมื่อได้ยินอวี้อาเหราพูดเช่นนี้ เขายังจะพูดว่าไม่ได้อยู่อีกหรือ? คงจะถูกมองว่าเป็นพวกไร้น้ำยาเป็นแน่
และต่อไปก็คงต้องกลายเป็นหัวตลกให้นางหัวเราะเยาะอีก
หลังจากหยิบดาบขึ้นมาแล้ว ทั้งสองก็ยืนอยู่บนที่ว่าง กลิ่นหอมของดอกไม้อบอวลไปทั่วบริเวณ ทำให้ใจสงบรู้สึกสบาย
พวกฉู่เกอต่างพากันถอยหลังออกไป เพื่อให้เกิดเนื้อที่มากขึ้นเพื่อคนทั้งสอง การระบำดาบนี้มิใช่การเริงระบำ ในมือก็ไม่ใช่ดอกไม้ นั่นเป็นดาบจริง หากไม่ระมัดระวังก็อาจทำให้คนอื่นรวมไปถึงตัวเองบาดเจ็บได้
ภายใต้สายตาของกลุ่มคนที่กำลังจ้องมองอยู่นั้น อวี้อาเหราสูดลมหายใจเข้าลึกๆ รู้สึกว่าดาบในมือหนักขึ้นมากโข แต่ก็สามารถถือเอาไว้ในมือได้ หากเปลี่ยนเป็นหญิงสาวแน่งน้อยนางอื่นอาจจะทำไม่ได้ แต่นางเป็นใครกัน? เป็นผู้มีพละกำลังมากเกินธรรมดา ถึงแม้ความสามารถนี้จะเทียบได้กับการผายลมเท่านั้น เพราะกล่าวว่ามีก็เหมือนมี กล่าวว่าไม่มีก็เหมือนไม่มี แต่ไม่อาจกล่าวได้ว่าเป็นคนธรรมดา
เมื่อคิดถึงความสามารถที่ผิดแผกไปจากคนธรรมดาของตัวเองแล้ว ร่างกายก็ราวกับรู้สึกอ่อนแรงขึ้นมาในทันที
เพราะนางกลับไม่สามารถต้านทานพิษเหล่านั้นได้ ไม่อย่างนั้นนางก็คงไม่ถูกหญิงสาวที่ปกปิดใบหน้านั้นลอบลงมือได้หรอก