ตอนที่ 465 ลวกปาก
ฉู่เกอหัวเราะแล้วชี้มาที่นาง “พี่เหราเอ๋อร์ เมื่อครู่นี้ท่านบอกกับข้าว่าไม่ต้องรีบกิน แต่ตอนนี้ท่านกลับทำให้ปากตัวเองลวกพองเสียแล้วหรือ”
อวี้อาเหราหน้าแดงก่ำ ก้มหน้าก้มตากิน ก็เนื้อนกนี่มันหอมนัก ไม่แปลกใจเลยที่ฉู่เกอจะกินเข้าไปติดต่อกันเสียจนไม่พูดไม่จา
เมื่อมองไปยังคนอื่นๆ แต่ละคนก็ร้อนลวกปากพองไปตามกันๆ
จะว่าไปแล้วที่พวกเขากินกันนั้นไม่ใช่เนื้อนกธรรมดา แต่เป็นการชื่นชมบรรยากาศรอบๆ ด้วย บรรยากาศที่งดงามเหมือนภาพวาดเช่นนี้ เมื่อมองเห็นควันไฟลอยเอื่อย เนื้อนกที่อยู่ในมือก็หอมหวาน ราวกับกำลังอยู่ในดินแดนของเทพเซียนไม่มีผิด สภาพและอารมณ์เช่นนี้ ช่างงามยิ่งนัก!
ใครบอกกันว่าชีวิตเช่นนี้ไม่ได้เป็นที่ต้องการของหลายๆ คน? แต่เป็นเพราะชื่อเสียงและผลประโยชน์ เพื่อการใช้ชีวิต จึงต้องทำหลายๆ อย่างที่ไม่อยากทำ แต่หากจะสามารถค้นหาความสุขของตัวเองได้ การที่จะอยู่ในอารมณ์มีความสุขเช่นนี้ คงต้องพูดว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะมีชีวิตเช่นนี้ได้ รู้จักการพอเพียง ก็จะสามารถรับรู้ถึงความสุขที่ตัวเองมี
อวี้อาเหราถอนหายใจออกมาอย่างเปี่ยมอารมณ์ แล้วมองไปยังเนื้อย่างที่ย่างอยู่ เหลือไม่มากแล้ว
นางมองไปยังฉู่ป๋าย เขาเองก็กำลังกินอย่างไม่รีบร้อน ด้วยท่าทีเนิบช้าและสง่างาม
เมื่อนั่งอยู่ข้างหมอกควันของกองไฟ เขาก็ยังเปล่งประกายที่ไม่อาจมองข้าม
หรือเขานั้นจะเปล่งประกายได้เอง? อวี้อาเหรากำลังเพลิดเพลินกับความคิดของตน จนทำให้ริมฝีปากยกโค้งขึ้นโดยไม่รู้ตัว เผยให้เห็นรอยโค้งบางเบา
“เจ้ามองข้าทำไมกัน” ฉู่ป๋ายรับรู้ถึงสายตาของนาง เมื่อทานอาหารที่อยู่ในมือจนหมดแล้วจึงค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ยิ้มพลางเอ่ยว่า “หรือนกนี่ยังไม่ดูน่าอร่อยเท่ากับข้า?”
บ้าน่ะสิ! อวี้อาเหราฟังเขายกตัวเอง ก็ขี้คร้านจะสนใจ
คำพูดของพวกเขาได้ดึงดูดสายตาของคนรอบข้าง ทำให้กลายเป็นจุดสนใจไปชั่วขณะ จากนั้นก็หันกลับไปสนใจเนื้อที่อยู่ในมือของตัวเองต่อ
แต่ภายในใจของพวกหานสือกำลังคิดว่าเหตุใดซื่อจื่อจึงพูดออกมาเช่นนั้น คำพูดที่ชวนหน้าแดงในที่สาธารณะเช่นนั้น แม้แต่พวกเขาเมื่อได้ยินแล้วก็ยังรู้สึกหน้าเห่อร้อนไปด้วย แล้วคุณหนูรองที่เป็นหญิงสาวเต็มตัวเล่าจะรู้สึกอย่างไร
น่าเสียดาย ที่อวี้อาเหรากลับไม่ทำเหมือนที่ใจของพวกเขาปรารถนาให้เกิดขึ้น
“ไม่ผิด เห็นความหล่อของเจ้าแล้วก็ทำให้ข้ารู้สึกอยากจะกลืนกิน เพียงแต่…” นางลังเลอยู่สักครู่ จากนั้นก็หรี่ตาลง “เมื่อครู่นี้ข้ามององครักษ์ข้างหลังเจ้าต่างหาก ไม่ใช่เจ้าเสียหน่อย อย่าได้เข้าใจผิดเชียว”
องครักษ์หรือ? ฉู่ป๋ายมองไปด้านหลัง จึงมองเห็นเหล่าองรักษ์หลวงผู้หนึ่ง
สายตาของเขากลายเป็นความเย็นชา จนทำให้อีกฝ่ายตกใจจนรีบเดินหนีไป
เมื่อองครักษ์ผู้นั้นจากไปแล้ว เขาจึงค่อยเงยหน้าขึ้น แล้วมองอวี้อาเหราต่อ “ตอนนี้ข้างหลังข้าไม่มีผู้ใดแล้ว เจ้าไม่มองข้าแล้วจะมองใครได้?”
“…”
นี่ นี่มันจะไม่ไร้ยางอายไปหน่อยหรือ?
อวี้อาเหราไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี จึงกลอกตาใส่เขา ก้มหน้าลงกินเนื้อของตัวเองต่อไป ราวกับนางมีความแค้นกับเนื้อก้อนนั้นก็ไม่ปาน
พูดน้อยๆ ลงหน่อยจะตายหรืออย่างไรกัน นางฝึกฝนฝีมือมาตั้งนาน แต่ก็ยังเอาชนะเขาไม่ได้เสียที
ฉู่ป๋ายยิ้มน้อยๆ ก่อนจะถอนสายตากลับมา
ฉู่เกอเงยหน้าขึ้นมองคนทั้งสอง ใบหน้ายิ้มบานอย่างรื่นเริงใจ
หลังจากที่ทั้งหมดทานอาหารจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ที่จริงก็ไม่ได้หิวเท่าไรนัก แต่เมื่อได้กินหอมๆ ของนกย่างก็อยากจะกินเสียหน่อย และเมื่ออาศัยหลบหลังของอวี้อาเหราและฉู่ป๋าย แม้ว่าจะเป็นฮ่องเต้ ก็คงจะไม่เคยเสวยของเหล่านี้ มันก็น่าอัศจรรย์อยู่ใช่หรือ?
เนื้อนกย่างยังเหลืออยู่นิดหน่อย อีกประเดี๋ยวก็จะกินหมด ดังนั้นจึงนำปลาไปย่างกินกัน
เวลาที่รอคอย มักยาวนานเสมอ
ตอนที่ 466 ไม่ได้
ฉู่เกอมองไปทางกลุ่มคน “ให้คนหนึ่งอยู่เพื่อเฝ้าของที่นี่เถิด ส่วนพวกเราก็ไปเดินเล่นที่อื่นกัน วันนี้กินเสียจนพุงกาง นั่งตลอดรู้สึกไม่สบายเอาเสียเลย”
“ตกลง” อวี้อาเหราลูบท้องกลมๆ ที่เพิ่งกินอิ่มของตนเอง ก่อนจะกวาดตามองไปยังกลุ่มคนเหล่านี้ “แต่ว่าจะให้ใครเล่าอยู่ที่นี่?”
“ข้าเอง” ฉู่เกอรีบอาสา ชัดเจนว่ากำลังมีแผนการอะไรบางอย่าง
อวี้อาเหรารีบร้อนส่ายหน้า แล้วพูดขึ้นอย่างไม่เกรงใจ “เจ้าอย่าคิดว่าจะอยู่ที่นี่แล้วจะกินอะไรได้อีก และเมื่อครู่เจ้าพูดเองว่าจะต้องออกไปเดินเล่น แล้วจะขาดคนต้นความคิดไปได้อย่างไร หากตามที่ข้าคิดแล้วก็ให้หานสือหรือไม่ก็เจาเอ๋อร์เมี่ยวอวี้อยู่เถิด พวกนางก็ไม่กล้าขโมยกินหรอก”
“เฮ้อ” เมื่อความตั้งใจของฉู่เกอถูกทำลายลง นางก็เงยหน้าขึ้นมาอย่างเศร้าสลด ก่อนจะชี้ไปยังฉู่ป๋ายแล้วพูดว่า “เช่นนั้นเหตุใดถึงไม่ให้เขาอยู่ที่นี่ล่ะ อย่างไรเสียเขาก็ไม่ชอบที่พวกเราชอบทำเสียงดัง พวกหานสือเองก็คงจะอยากไปดูที่อื่นด้วย”
“ให้เขาอยู่ไม่ได้” อวี้อาเหราส่ายหน้า
“เหตุใดข้าจะอยู่ไม่ได้?” ฉู่ป๋ายถามด้วยใบหน้าดำคล้ำ ให้คนอื่นมาได้ยินเช่นนี้เข้าจะคิดว่าเขาทำอะไรไม่ได้…
ฉู่เกอก็ถามขึ้นมาอีก “ใช่แล้ว เหตุใดฉู่ฉู่ถึงจะอยู่ไม่ได้กันเล่า”
สีหน้าของฉู่ป๋ายยิ่งเคร่งขรึมขึ้นมาอีก
ทั้งสองคนพูดคุยกันโดยที่ไม่ได้สนใจสีหน้าที่เปลี่ยนไปของเขาเลย ยังคงคุยกันเอง
“เจ้าเห็นว่าเขาดูเหมือนคนที่ก่อไฟย่างปลาได้หรืออย่างไร” อวี้อาเหราถามกลับ
“อ้อ อย่างนั้นก็ไม่ได้จริงๆ” ฉู่เกอมองอย่างพิจารณา จากนั้นก็พยักหน้าเห็นด้วย
ฉู่ป๋ายถูกคนทั้งสองว่าทำอย่างนู้นก็ไม่ได้ อย่างนี้ก็ไม่ได้ จนทำให้ยากเหลือทนที่จะยอมรับ
อวี้อาเหรามองไปทางพวกหานสือ “พวกเจ้าจะอยู่ที่นี่หรือไม่”
ไม่มีใครพูดอะไร
อวี้อาเหราปวดหัว “ดูแล้วคงไม่มีใครอยาก จะทำอย่างไรกันดีล่ะ”
“มีสิ!” ฉู่เกอมองไปยังองครักษ์ที่กำลังหลบอยู่ที่ไกลๆ ดวงตาก็พลันสว่างไสวขึ้นมา “ให้พวกเขาเฝ้าดูเป็นอย่างไร”
“ความคิดดีนี่” อวี้อาเหราชื่นชม
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็สามารถที่จะไปเที่ยวพร้อมกันได้ ทั้งยังมีคนคอยย่างปลาให้อีก ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวแท้ๆ
อีกอย่าง คนเหล่านี้ก็คงไม่กล้าที่จะขโมยกินเป็นแน่
ฉู่เกอและอวี้อาเหราตัดสินใจได้แล้ว ก็เรียกองครักษ์ทั้งสองมา แล้วออกคำสั่ง
องครักษ์ทั้งสองไม่กล้าพูดอะไรมาก เพราะถูกฉู่เกอขู่เอาไว้
อวี้อาเหราทนดูไม่ไหว จึงพูดขึ้นว่า “อย่างไรเสียพวกเจ้าก็เฝ้าเอาไว้หน่อย หากย่างจนสุกแล้วจะแบ่งให้พวกเจ้าคนละตัวก็แล้วกัน”
ไหนเลยองครักษ์ทั้งสองจะกล้ากิน ปลาเหล่านี้ธรรมดาเสียที่ไหน แต่เป็นปลาที่ฮ่องเต้ทรงเลี้ยงด้วยพระองค์เอง แต่เมื่อออกมาจากปากของอวี้อาเหรากลับฟังดูธรรมดาๆ ราวกับจะกินเท่าใดก็ได้ ก็อดไม่ได้ที่จะตื่นตกใจ คุณหนูแห่งจวนอ๋องผู้นี้ช่างแตกต่าง มีความกล้าหาญเหลือเกิน!
หลังจากพูดคุยกันเสร็จเรียบร้อย พวกนางก็จากไป
ดอกไม้นานาพันธุ์ในพระแท่นวายุจันทราบานสะพรั่ง งดงามไม่มีใดเปรียบ
เมื่อย่ำลงไปในแผ่นดินที่ราวกับเป็นของเทพเซียนนี้ หากเป็นคนธรรมดาคงยากที่จะลืมเลือน ไม่ยากที่จะจากไปไหนเลยกระมัง?
พวกเขากินจนพอใจ แน่นอนว่าจึงอารมณ์ดี
อวี้อาเหราฮัมเพลงออกมาหนึ่งเพลงและไม่รู้ว่าเป็นเพลงอะไร เป็นท่วงทำนองที่ฮัมออกมาส่งเดชเท่านั้น น้ำเสียงไม่ดังมาก แต่เพราะพระแท่นวายุจันทราเงียบสงบจึงทำให้ทุกคนได้ยินอย่างชัดเจน จนฮัมเพลงกำลังตกอยู่ในภวังค์ ไม่รู้ตัวเลยว่าเพลงที่ตัวเองฮัมออกมานั้นถูกได้ยินจนหมด นางทำเพียงก้มหน้าเดินต่อไป
เมื่อฟังจนจบผ่านไปนาน ท่าทีจึงเปลี่ยนไปเป็นตกตะลึง สุดท้ายฉู่เกออดไม่ไหวที่จะเงยหน้าขึ้นอย่างแปลกใจ “พี่เหราเอ๋อร์ เมื่อครู่นี้ท่านร้องเพลงอะไรกัน เหตุใดถึงไพเราะเพียงนี้ ข้าก็ราวกับว่าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย!”