ตอนที่ 447 ผ้าเช็ดหน้า
หลังจากที่มองแล้วก็รู้สึกถึงความผิดปกติ ทันใดนั้นนางก็ลูบไล้ผิวสัมผัส นางยังคงจำที่ฉู่ป๋ายบอกได้ เสื้อผ้าแบบนี้มีเพียงไม่กี่คนที่จะใช้ได้ จึงต้องการจะใช้เนื้อผ้าแบบนี้ในการหาตัวคนร้าย แต่คาดไม่ถึงว่านางจะกลับพบตัวแล้ว!
นางเงยหน้าขึ้นมองจวินเสวียนจีในฉับพลัน ยากที่จะปิดบังความสั่นไหวและข้อสงสัยในหัวใจได้
หรือว่า หญิงผู้นั้นเป็นนาง?
แต่นางไม่เหมือนผู้ที่มีพลังยุทธ์ หรือว่านางเสแร้ง?
จวินเสวียนจีเห็นนางมองมานิ่งๆ ก็ชะงัก ความสงสัยที่ยากจะสังเกตเห็นได้ปรากฏขึ้นต่อหน้า ในสายตาเต็มไปด้วยความเครียดขึ้ง จึงก้าวไปข้างหน้าสองก้าว “ไม่ทราบว่าคุณหนูรองดูจนพอหรือยัง”
“ดูพอแล้ว” อวี้อาเหรากล่าว แล้วส่งผ้าเช็ดหน้าคืน แต่นางตั้งใจที่จะทำมือสั่นตอนที่อีกฝ่ายกำลังยื่นมือออกมารับ ทำให้ผ้าเช็ดหน้าตกลงบนพื้น จวินเสวียนจีรู้สึกแปลกใจจึงค่อมตัวลงเพื่อเก็บ
ไม่มีพลังยุทธ์? เมื่อครู่นี้อวี้อาเหราทดสอบนางเท่านั้น หากนางมีพลังยุทธ์คงจะแสดงออกมาให้เห็นบ้างโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่จวินเสวียนกลับรอให้ตกถึงพื้นก่อนจึงจะหยิบ
ใช่หรือไม่ใช่กันแน่? แม้แต่นางเองยังรู้สึกไม่มั่นใจ
นางค่อยๆ เก็บสายตาสงสัยกลับคืนมา จากนั้นค่อยๆ แสร้งทำเป็นร้องขึ้นเมื่อผ้าเช็ดหน้าตกพื้น รีบขอโทษขอโพย “ขอประทานอภัยองค์หญิง หม่อมฉันไม่ระวัง ทำให้ผ้าเช็ดหน้าขององค์หญิงตกพื้นเสียแล้ว”
“ไม่เป็นไร คุณหนูรองไม่ต้องตกใจไป” จวินเสวียนจียืดกายขึ้นยืนนิ่ง
“ขอบพระทัยองค์หญิง” ปากของอวี้อาเหราบอกขอบคุณ ทว่าสายตากลับจ้องมองร่างกายของอีกฝ่าย จวินเสวียนจีผู้นี้ไม่เหมือนกับหญิงที่ทำร้ายนางเมื่อวันนั้นเลยแม้แต่น้อย แต่เรื่องผ้าเช็ดหน้านั้นเล่าจะว่าอย่างไร ดูแล้วคงจะต้องถามฉู่ป๋ายเท่านั้นแล้ว
จวินเสวียนจีกำลังเตรียมตัวจะเดินจากไป ไม่เห็นว่าอวี้อาเหราจะมีทีท่าอย่างไร จึงอดไม่ได้ที่จะถามว่า “คุณหนูรองไม่ออกจากวังหรือ”
“ยังมีสาวใช้รอหม่อมฉันอยู่ เชิญองค์หญิงเสด็จก่อนเถิดเพคะ” อวี้อาเหราส่ายหน้า
“ได้ เชิญคุณหนูรองตามสบาย” จวินเสวียนจีที่เดินไปข้างหน้า ไม่วายที่จะหันกลับมามองหยกเลือดอีกครั้ง
อวี้อาเหราไม่พูดอะไร สายตาเพียงมองแผ่นหลังของนางที่เดินจากไป
“คุณหนู ท่านมองอะไรหรือเจ้าคะ” เจาเอ๋อร์และอวี้อาเหราเดินตามมา เมื่อเห็นนางเอาแต่เหม่อมองแผ่นหลังของจวินเสวียนจีที่เดินจากไปไกลแล้ว ก็ถามขึ้นด้วยความสงสัย
“ไม่มีอะไรหรอก” อวี้อาเหรามองพวกนางทั้งสอง “ออกจากวังกันเถิด”
หลังจากที่นั่งลงบนรถม้า นางก็เปลี่ยนใจ แล้วไปยังจวนเซิ่นอ๋อง
หลังจากมาถึงจวนเซิ่นอ๋องอย่างรีบร้อนแล้ว ก็เห็นเพียงฉู่ป๋ายอยู่เพียงผู้เดียว เมื่อเห็นนางเข้าก็ชะงัก มุมปากยกโค้งขึ้น “เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร หรือว่าชอบจวนเซิ่นอ๋องเข้าเสียแล้ว?”
“ข้ามีเรื่องอยากจะพูดกับเจ้า” อวี้อาเหรามองไปรอบๆ “เมี่ยวอวี้ เจาเอ๋อร์ พวกเจ้าออกไปก่อน”
“เจ้าค่ะ บ่าวขอตัว” ทั้งสองคนมองหน้าสบตากัน รู้ว่าคงมีเรื่องที่ไม่สะดวกให้คนนอกได้ยิน
ฉู่ป๋ายส่งสายตาให้หานสือ “เจ้าก็ออกไปเถิด”
หลังจากรอให้คนอื่นออกไปแล้ว เขาถึงค่อยมองมายังร่างของอวี้อาเหรา “เจ้ามีเรื่องอะไรจะพูดก็พูดมาเถิด”
“วันนี้ข้าพบกับจวินเสวียนจีในวังหลวง” อวี้อาเหราบอกเล่าย่อๆ จากนั้นจึงค่อยมองว่าอีกฝ่ายมีท่าทีเช่นไร อยากรู้ว่าชื่อของจวินเสวียนจีนั้นจะสามารถดึงดูความสนใจของเขาได้หรือไม่
สีหน้าของฉู่ป๋ายไม่ได้แสดงท่าทีที่เปลี่ยนไปนัก เพียงรออีกฝ่ายให้เอ่ยคำ “แล้วจากนั้นเล่า”
“จากนั้นข้าก็เห็นว่าในมือของนางมีผ้าเช็ดหน้าเหมือนกับที่เจ้าให้ข้าดูในวันนั้น เหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน ไม่แตกต่างกัน เพราะอย่างนั้น…” อวี้อาเหราจะพูดต่อ แต่กลับถูกฉู่ป๋ายกล่าวตัดวาจา เขาเงยหน้าขึ้น “เพราะอย่างนั้นเจ้าจึงคิดว่านางเป็นคนที่ทำร้ายเจ้าใช่หรือไม่”
“ใช่” อวี้อาเหราไม่ปิดบังแม้แต่น้อย นางพยักหน้าอย่างตรงไปตรงมา
ตอนที่ 448 เพราะเหตุใด
ท่าทีของฉู่ป๋ายยังคงไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย เพียงแต่ดูสงสัยอยู่บ้าง เช่นนั้นจึงเอ่ยขึ้น “หากเนื้อผ้าเหมือนกันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก และไม่แน่ว่านางจะเป็นคนร้าย ในเมื่อเจ้าพูดว่าอาจจะเป็นไปได้ เจ้าทดสอบพลังยุทธ์ของนางแล้วหรือ”
“แน่นอนว่าทดสอบแล้ว” อวี้อาเหรายืนจนเหนื่อย นางจึงนั่งลงข้างๆ เขา แล้วหยิบถ้วยชาขึ้นมาหนึ่งใบอย่างถือวิสาสะ ไม่ทันสังเกตเห็นว่ายามนี้เขามีท่าทีไม่แน่ใจอยู่บ้าง
หลังจากดื่มชาแล้ว นางก็กล่าวต่อว่า “ข้าทดสอบนางแล้วจริงๆ แต่ไม่เห็นว่านางจะมีวรยุทธ์อะไรตรงไหน และไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วนางมีพลังยุทธ์สูงส่งเกินไปจนข้ามองไม่ออก หรือไม่ก็จงใจปกปิด”
“อืม ที่เจ้าพูดมาก็มีเหตุผล” ฉู่ป๋ายเอ่ยชมนางอย่างยากที่จะได้ยิน
อวี้อาเหราอดไม่ได้ที่จะคุยโวว่า “เจ้าเองก็รู้สึกว่าข้ากล่าวถูกต้องใช่หรือไม่ จากการคาดคะเนของข้าแล้ว นางอาจจะเป็นคนร้าย หรือไม่ได้เป็นก็ได้”
“ที่เจ้าคาดคะเนไว้นั้นต่างจากที่ไม่ได้คาดคะเนตรงไหนกัน? แน่นอนว่านางอาจจะเป็นคนร้ายและอาจไม่ได้เป็นคนร้าย หากจะคิดตามที่เจ้าคาดไว้ ยังไม่รู้ว่าจะต้องใช้หลักฐานเท่าใดจึงจะผ่านไปได้ และไม่รู้ว่ะต้องใช้หลักฐานเท่าไหร่จึงจะทำได้” ฉู่ป๋ายเห็นช่องว่างจึงสอดปากว่า
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าจะให้ข้าคาดคะเนไปทำไม!” อวี้อาเหราอุตส่าห์เห็นว่าเขาชมนาง แต่หลังจากนั้นกลับกลายเป็นคำตำหนิทั้งหมดจนไม่เหลือหน้าเอาไว้เลย ไม่เพียงแต่จะโกรธเคืองขึ้นมา นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ นึกอยากที่จะต่อยใบหน้าไร้อารมณ์ของเขาสักหมัดยิ่งนัก เพราะอยากจะรู้นักว่าเขาจะรู้สึกเจ็บปวดบ้างหรือไม่
ฉู่ป๋ายเม้มริมฝีปาก “การคาดคะเนก็เป็นเพียงการคาดคะเน หากอยากจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ก็คงต้องออกไปตรวจสอบเท่านั้น”
“เจ้าก็พูดง่าย แต่จะไปเริ่มตรวจสอบจากที่ใดเล่า” อวี้อาเหราว่า
ไม่ว่าใครก็พูดได้ แต่หากจะทำนั้นก็เป็นเรื่องยาก แม้ว่านางจะส่งองครักษ์ออกไปตรวจสอบแต่ก็ไม่พบเบาะแสเลยแม้แต่น้อย
ฉู่ป๋ายมองนางอย่างประเมิน
“เจ้ามองข้าทำไมกัน” อวี้อาเหรารู้สึกแปลกใจ เมื่อถูกมองด้วยสายตาเช่นนี้ นางก็อดไม่ได้ที่จะกระชับเสื้อผ้าให้แน่นหนาขึ้น มองท่าทีของเขาด้วยใจที่เต้นตึกตัก นางรู้สึกเหมือนจะเกิดเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น
ฉู่ป๋ายยิ้มขึ้นมาในทันที “ในเมื่อผู้นั้นจะลงมือกับเจ้า เจ้าก็ต้องลองใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อ เพื่อลวงคนร้ายให้ออกมาจากรังไม่ดีหรือ?”
“ถ้าจะให้เป็นเหยื่อล่อ เจ้าก็ทำเองสิ!” น้ำเสียงของอวี้อาเหราฟังดูไม่ดีเลย คงจะต้องถูกตีอีกรอบเป็นแน่ หากต้องเสี่ยงชีวิตเหมือนกับครั้งที่แล้ว ที่ครั้งนั้นฉู่ป๋ายจะต้องสูญเสียพลังยุทธ์ทั้งหมดและหยกเลือดเพื่อช่วยชีวิตนาง หากโดนแบบนั้นอีกครั้งก็เท่ากับจะต้องตายน่ะสิ?
เมื่อนางคิดเช่นนี้ก็พลันรู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในสงครามเย็น พลางคิดว่าเหตุใดชายผู้นี้ถึงได้ร้ายกาจถึงเพียงนี้นะ
เมื่อลองคิดดูแล้ว นี่ก็เป็นเพราะเขาไม่ได้ต้องเป็นคนเสี่ยงชีวิตน่ะสิ จึงได้สบายใจเช่นนี้ใช่หรือไม่?
อวี้อาเหรารู้สึกเหลืออด จ้องมองเขาอย่างอารมณ์เสีย
ฉู่ป๋ายยกมือขึ้นเท้าศีรษะ มุมปากค่อยๆ ยกโค้งขึ้น “หากเจ้าไม่ยอมก็ช่างเถิด ข้าเองก็ไม่ได้มีพลังยุทธ์อะไรเหลือที่จะช่วยเหลือเจ้าอีกแล้ว”
เมื่อได้ยินเขาพูดเรื่องพลังยุทธ์ อวี้อาเหราก็ชะงักไปในทันที “เหตุใดเจ้าต้องช่วยเหลือข้าถึงเพียงนี้”
“เจ้าฉลาดเฉลียวมองใจคนออกถึงเพียงนี้ เหตุใดจึงยังไม่เข้าใจอีก” ฉู่ป๋ายถามอย่างไม่อ้อมค้อม แล้วเลิกคิ้วขึ้น “หรือว่าเจ้าไม่อยากที่จะเข้าใจกันแน่?”
อวี้อาเหราถูกเขาพูดเช่นนี้ก็ก้มหน้าลง ราวกับจะยอมรับว่าไม่อยากจะเข้าใจจริงๆ นางหลบหลีกคำถามนี้มาโดยตลอด ถ้าจะให้พูดจริงๆ ก็เป็นที่นางไม่กล้า เพราะกลัวว่าตัวเองจะรับความจริงไม่ได้
ไม่ผิด นางตั้งใจที่จะหลบเลี่ยงคำถามนี้
ในยามที่กำลังลังเลอยู่นั้น อวี้อาเหราลอบมองเขาอีกครั้ง จากนั้นก็เปลี่ยนเรื่อง “ถ้าเช่นนั้นเรื่องของจวินเสวียนจีจะว่าอย่างไร ในเมื่อเจ้าพูดเรื่องวิธีการมาแล้วก็เท่ากับว่ากำลังจะตรวจสอบแทนข้ามิใช่หรือ”
“อืม” ฉู่ป๋ายกะพริบตาเบาๆ “ไม่เช่นนั้นก็…”