หรูอวี้เจินจวินหน้าถอดสี จากไปราวกับลมพัด
มั่วชิงเฉินพาพวกเยี่ยเทียนหยวนสองคนบินอีกครู่หนึ่ง ในที่สุดก็เห็นเงาของเมืองเล็กๆ เมืองนั้น แล้วร่อนลงตรงๆ หน้าประตูเมือง
“อาจารย์อาชิงเฉิน…” มีศิษย์เหยากวงสองสามคนรออยู่ด้านนอก นำโดยหลิวต้าฝาน
“หลิวต้าฝาน เจ้าพยุงนักพรตลั่วหยาง เรารีบเข้าไป ระวังหน่อย นักพรตลั่วหยางได้รับบาดเจ็บ” มั่วชิงเฉินสั่งว่า
หลิวต้าฝานเดินเข้ามาก้าวหนึ่งพยุงเยี่ยเทียนหยวนไว้ แล้วเดินตามมั่วชิงเฉินเข้าไป
“นักบำเพ็ญเพียรสายเยียวยาอยู่ไหน?” มั่วชิงเฉินพยุงหลัวเตี๋ยจวินไว้ พลางเดินพลางถาม
“อยู่ด้านนั้น อาจารย์อาชิงเฉิน ตามข้ามา” หลิวต้าฝานเอ่ย
สิบกว่าปีมานี้พวกเขาต่อต้านวิกฤตอสูรอยู่นี่มาตลอด คุ้นเคยกว่ามั่วชิงเฉินมาก
เดินอยู่ในเมืองครู่หนึ่งเลี้ยวไปบนถนนที่ค่อนข้างเงียบสายหนึ่ง มีบ้านสองชั้นหลังหนึ่งค่อนข้างสะดุดตา บนป้ายประตูเขียนอักษรลงลายทองไว้สามตัวใหญ่ๆ ว่า “โถงผู่จี้”
ประตูของโรงหมอเปิดอ้าอยู่ ฟังที่หลิวต้าฝานแนะนำ นักบำเพ็ญเพียรสายเยียวยาในค่ายล้วนอยู่ที่นี่กันหมด เตรียมตัวช่วยเหลือผู้บาดเจ็บตลอดเวลา
พวกเขาเพิ่งถึง ก็มีนักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานสองคนรับพวกเขาเข้าไป เห็นผู้ที่บาดเจ็บเป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณสองคน สีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย สบตากันปราดหนึ่งคนหนึ่งในนั้นก็หันหลังขึ้นชั้นสองไป
“นักพรตท่านนี้ กรุณารอสักครู่ ศิษย์พี่ไปเชิญนักบำเพ็ญเพียรสายเยียวยาที่ดีที่สุดในนี้แล้ว” นักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานพูดกับมั่วชิงเฉิน
มั่วชิงเฉินพยักหน้าว่า “ขอบคุณ” สายตากลับมองเยี่ยเทียนหยวนและหลัวเตี๋ยจวินสองคนไว้
หลัวเตี๋ยจวินสีหน้าซีดราวกระดาษ ฝืนทนไว้ว่า “สหายเต๋ามั่ว ข้าไม่เป็นไร…”
มั่วชิงเฉินขัดจังหวะนางว่า “สหายเต๋าหลัวอย่าเพิ่งพูดมากเลย มีนักบำเพ็ญเพียรสายเยียวยาดูแล อาการบาดเจ็บจะหายเร็วขึ้นหน่อย”
พูดจบกลับจ้องเยี่ยเทียนหยวนไว้เขม็ง เห็นเขากึ่งหลับตาปรับลมหายใจอยู่ตลอดเวลา แม้แต่แรงจะพูดก็ไม่มีแล้ว ในใจหดหู่ยากจะสงบได้
ต่อไปตนควรห่างๆ เขาหน่อยใช่หรือไม่ ไยถึงทำให้เขาบาดเจ็บได้ทุกครั้ง
“ผู้บาดเจ็บอยู่ไหน?” เสียงละมุนอ่อนโยนดังขึ้น
มั่วชิงเฉินเงยหน้าขึ้นทันที เห็นหญิงสาวชุดเขียวคนหนึ่งเดินลงจากบันไดพอดี
งดงามไม่มีใครปาน สงบอ่อนโยน คือต้วนชิงเกอที่ไม่เจอกันมานานนั่นเอง
“ชิงเฉิน!” ต้วนชิงเกอประสานเข้ากับสายตาของมั่วชิงเฉิน ความสงบบนหน้าถูกตีแตกในที่สุด รีบเดินเข้ามา จากนั้นถึงรู้สึกตัวว่าบัดนี้มั่วชิงเฉินเป็นนักพรตระดับก่อแก่นปราณแล้ว จึงเรียกอีกครั้งว่าอาจารย์อาชิงเฉิน
หลายวันมานี้นางไม่อยู่ค่ายตลอดเวลา เพิ่งกลับมาก็ได้ข่าวมั่วชิงเฉินเลื่อนขั้นแก่นทองแล้ว สมญานามเต๋าชิงเฉิน ยิ่งกว่านั้นยังมาที่นี่แล้ว
เพียงแต่เสียดายที่ไปหานาง กลับได้รับการบอกกล่าวว่าออกไปทำภารกิจพอดี ขณะเดียวกับที่รู้สึกเสียดายยังคิดว่าคืนนี้ค่อยไปอีกครั้งหนึ่ง ใครจะรู้จะได้มาพบหน้ากันที่โรงหมอนี่แล้ว
“ชิงเกอ เจ้ารีบดูศิษย์พี่ลั่วหยางหน่อยว่าเป็นเช่นไรแล้ว” ในเวลาเช่นนี้ มั่วชิงเฉินไม่มีเวลาคุยเรื่องเก่าๆ รีบร้อนว่า
ยามนี้ต้วนชิงเกอก็เห็นเยี่ยเทียนหยวนและหลัวเตี๋ยจวินแล้ว เดินเข้าไปใกล้ตรวจดูคราหนึ่ง สีหน้าหนักหน่วงเล็กน้อยว่า “นักพรตท่านนี้อาการบาดเจ็บแม้สาหัส ทว่ารักษาไม่ยาก อาจารย์อาลั่วหยางเขา…”
มั่วชิงเฉินใจตกไปอยู่ตะตุ่มว่า “เขาเป็นเช่นไร?”
ต้วนชิงเกอมองดูท่าทางตื่นเต้นของมั่วชิงเฉินแล้วยิ้มแผ่วเบาว่า “อาจารย์ลั่วหยางน่าจะถูกอสูรปีศาจจำแลงทำร้าย โชคดีที่ไม่ถูกจุดสำคัญ จัดการขึ้นมาแม้ยุ่งยากบ้าง ทว่าชิงเกอออกโรงล่ะก็ ก็มีความมั่นใจอยู่บ้าง…”
“เช่นนั้นก็ดี” มั่วชิงเฉินโล่งอก ยกตาเหลือบเห็นท่าทางจะยิ้มก็ไม่ยิ้มของต้วนชิงเกอถึงรู้สึกตัวขึ้นมาว่านั่นกำลังหยอกล้อนางอยู่ จึงอดเด็ดไม่ได้ว่า “ชิงเกอ เจ้า…”
“อาจารย์อาชิงเฉิน เจ้าอย่าใจร้อน ชิงเกอจะพาอาจารย์อาลั่วหยางและนักพรตท่านนี้ไปรักษาตัวเดี๋ยวนี้ แม้จะบอกว่าปัญหาไม่นับว่าร้ายแรง ทว่าก็ไม่อาจเสียเวลาแล้ว โดยเฉพาะอาจารย์อาลั่วหยางถูกอสูรปีศาจจำแลงทำร้าย ความเจ็บปวดนั้นไม่ธรรมดา” ต้วนชิงเกอพูดพลางโบกมือ ก็มีนักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานสองคนยกเยี่ยเทียนหยวนและหลัวเตี๋ยจวินขึ้นตามนางขึ้นชั้นสองแล้ว
มั่วชิงเฉินรู้ว่าทั้งสองคนต่างไม่เป็นไร ถึงวางใจลงมา และก็ไม่ใส่ใจที่ต้วนชิงเกอล้อเล่น กำชับหลิวต้าฝานสองสามประโยคแล้วหันหลังเดินไปทางจวนเจ้าเมือง
“คุณหนู” เดินอยู่ระหว่างทาง เหลียงเฉินวิ่งตรงเข้ามา
“เป็นอันใดหรือ?” มั่วชิงเฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย
เพราะว่าภารกิจฆ่าหมาป่าอเวจีค่อนข้างอันตราย นักบำเพ็ญเพียรที่ไปไม่มีสักคนที่ไม่ผ่านศึกมานับร้อย ส่วนเหลียงเฉินกลับไม่มีประสบการณ์แม้แต่น้อย มั่วชิงเฉินให้นางเข้าร่วมภารกิจของทีมอื่น
“คุณหนู เมื่อครู่มีคนไปหาท่านที่บ้านที่เราอยู่ ให้ท่านรีบไปจวนเจ้าเมืองสักคราเจ้าค่ะ” เหลียงเฉินหอบเล็กน้อย
เพราะมั่วชิงเฉินเป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ ดังนั้นได้รับจัดสรรบ้านเล็กๆ หลังหนึ่งในค่ายนี้ เหลียงเฉินอยู่ด้วยกันกับนาง
“ข้ารู้แล้ว เหลียงเฉิน นักพรตลั่วหยางและสหายเต๋าหลัวได้รับบาดเจ็บ อยู่โรงหมอข้างหน้านี่เอง เจ้าไปที่นั่นดูแลแทนข้าที หากพวกเขามีเรื่องอะไร รีบส่งสารทันที” มั่วชิงเฉินกำชับ
“เหลียงเฉินทราบแล้ว” เหลียงเฉินคำนับทีหนึ่งแล้วรุดไปโรงหมอ
มั่วชิงเฉินไม่เสียเวลาอีก รีบเร่งไปจวนเจ้าเมือง
นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดที่นั่งบัญชาการอยู่จวนเจ้าเมืองคือชิงตู้เจินจวินแห่งสำนักไท่ซวี เขาก็เป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดระยะปลายเพียงท่านเดียวในค่ายนี้ด้วย
มั่วชิงเฉินมาถึง ก็ถูกนักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานพาตรงเข้าไป
ก้าวเข้าในตำหนักแล้วสะดุ้ง ไม่คิดว่าข้างในจะมีนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดสี่ห้าท่าน ที่นั่งอยู่ตรงกลางคือชิงตู้เจินจวินนั่นเอง
บรรยากาศเงียบผิดปกติ
“ชิงเฉินกราบคารวะท่านเจินจวินทุกท่าน” มั่วชิงเฉินคารวะทีหนึ่ง ตามองไปที่หรูอวี้เจินจวินที่นั่งอยู่ด้านล่าง เห็นเพียงนางใบหน้าเย็นเยียบ คิ้วขมวดแน่น
ยามที่มั่วชิงเฉินยังอยู่ระดับสร้างรากฐาน ชิงตู้เจินจวินก็จำนางได้อย่างลึกล้ำ ไม่ใช่เพราะยามที่อยู่หุบเขาลั่วเยี่ยนนางผลงานโดดเด่นเข้าตาชิงตู้เจินจวินหรอกนะ หากแต่เพราะเรื่องที่เกิดตามมามากมายหลังจากที่ถูกอูเย่ว์ลักพาตัวไป ทำให้เขายุ่งจนปวดเศียรเวียนเกล้า
บัดนี้เห็นมั่วชิงเฉินที่เข้ามาเป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณแล้ว ในใจแม้รู้สึกประหลาดใจแวบหนึ่ง กลับมีเรื่องที่สำคัญกว่าจะถาม
ชิงตู้เจินจวินมองหรูอวี้เจินจวิน
หรูอวี้เจินจวินพยักหน้าแผ่วเบา สายตามองมาทางมั่วชิงเฉินว่า “ชิงเฉิน ฮ่าวเสวี่ยเจินจวินไยถึงประมือกับไป่หลี่เช่ว์?”
มั่วชิงเฉินใจรู้สึกไม่ดี หรูอวี้เจินจวินรีบรุดไปเกื้อหนุนชัดๆ ทว่ายามนี้กลับถามนางเช่นนี้ นี่หมายความว่าฮ่าวเสวี่ยเจินจวินไม่ก็บาดเจ็บสาหัส ไม่ก็…ดับสูญแล้ว!
ขออย่างให้เป็นอย่างหลัง การดับสูญของเจินจวินระดับก่อกำเนิดคนหนึ่งเป็นความเสียหายต่อฝ่ายนักบำเพ็ญเพียรมนุษย์เหลือเกิน
ทว่าคำพูดต่อมาของหรูอวี้เจินจวินกลับยืนยันลางสังหรณ์ไม่เป็นมงคลในใจของมั่วชิงเฉินว่า “ฮ่าวเสวี่ยเจินจวินเขา…ดับสูญแล้ว!”
มั่วชิงเฉินตัวสั่น เรื่องในโลกไม่เที่ยง ลิขิตสวรรค์ยากหยั่ง เป็นถึงนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดระยะกลาง บทจะดับสูญก็ดับสูญเสียแล้ว ราวกับเมื่อวานนี้เอง ฮ่าวเสวี่ยเจินจวินยังพูดล้อเล่นว่าจะโยงด้ายแดงให้นาง หลังจากถูกนางปฏิเสธก็ไม่โกรธ ยิ้มร่ายื่นขนหางสีฟ้ามาให้กำหนึ่ง
“ชิงเฉิน” หรูอวี้เจินจวินเห็นมั่วชิงเฉินชะงักงัน เข้าใจความตื่นตะลึงของนาง จึงเอ่ยปากเตือนสติ
มั่วชิงเฉินได้สติกลับมา สีหน้ากลับคืนความสงบอย่างรวดเร็ว เอ่ยเสียงกังวานว่า “เรียนท่านเจินจวิน เดิมทีวันนี้ศิษย์นำศิษย์ทีมหนึ่งไปฆ่าหมาป่าอเวจี ต่อมารวมตัวกับทีมของศิษย์พี่ลั่วหยางย้อนกลับมาพร้อมกัน ใครจะรู้ว่าระหว่างทางกลับมองจากไกลๆ เห็นในหุบเขาแห่งหนึ่งมีแสงวิญญาณการต่อสู้อย่างแรงกล้าส่งผ่านมา หลังจากนั้นศิษย์พี่ลั่วหยางรุดหน้าไปตรวจสอบ ศิษย์เห็นศิษย์พี่ไม่กลับมาเสียที จึงสั่งให้ศิษย์ที่เหลือกลับค่ายก่อน และก็ไปตรวจสอบเช่นกัน ถึงพบว่าศิษย์พี่ลั่วหยางกำลังสู้อยู่กับอินทรียักษ์ปีกทองตัวหนึ่ง ส่วนฮ่าวเสวี่ยเจินจวินและไป่หลี่เช่ว์กำลังสู้กันอย่างดุเดือด”
“พูดเช่นนี้ เจ้าก็ไม่รู้ว่าไยฮ่าวเสวี่ยเจินจวินถึงประมือกับไป่หลี่เช่ว์อยู่ที่นั่น?” หรูอวี้เจินจวินขมวดคิ้วแน่น
มั่วชิงเฉินพยักหน้าว่า “ศิษย์ไม่ทราบเจ้าค่ะ ยามนั้นศพเกลื่อนหุบเขา ทว่ายังมีสหายเต๋าท่านหนึ่งยังมีชีวิตอยู่”
“นางอยู่ไหน?” จูลี่เจินจวินแห่งนิกายหมิงฝูนิสัยใจร้อน พูดแทรกว่า
“สหายเต๋าหลัวได้รับบาดเจ็บ ผู้น้อยพานางไปโรงหมอแล้วเจ้าค่ะ บัดนี้กำลังรักษาอยู่” มั่วชิงเฉินเอ่ยนิ่งเรียบ
“คงฉวน เจ้าไปโรงหมอเดี๋ยวนี้เลย รอรักษาเสร็จก็พาตัวมา” ชิงตู้เจินจวินพยักหน้าให้นักพรตคงฉวนที่ยืนอยู่หน้าประตู
นักพรตคงฉวนรับคำ แล้วถอยออกไป
“ชิงเฉิน เมื่อเป็นเช่นนี้เจ้าก็ถอยลงไป ไปพักผ่อนดีๆ เถอะ” เสียงหรูอวี้เจินจวินยากจะปิดบังความเศร้าโศก
แม้ไม่ได้คบกันลึกซึ้งกับฮ่าวเสวี่ยเจินจวิน ทว่าการดับสูญของนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดท่านหนึ่ง สำหรับนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดเหล่านี้แล้วผลกระทบไม่น้อยเลย
มั่วชิงเฉินไม่ขยับเขยื้อน เอ่ยเสียงกังวานว่า “ศิษย์ยังพูดไม่จบเจ้าค่ะ ยามนั้นศิษย์ลงมือทำให้อินทรียักษ์ปีกทองตกใจถอยไป ฮ่าวเสวี่ยเจินจวินพูดกับเราประโยคหนึ่ง…”
“พูดว่าอะไร?” จูลี่เจินจวินเอ่ยเสียงรีบร้อน
มั่วชิงเฉินมองเจินจวินทุกท่านปราดหนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “เจ้าปีศาจปรากฏต่อโลก”
“อะไรนะ!” นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดไม่กี่ท่านลุกขึ้นพร้อมกัน แม้แต่ชิงตู้เจินจวินก็ไม่ยกเว้น
เจินจวินระดับก่อกำเนิดไม่กี่ท่านต่างร้อนใจ พลานุภาพแผ่ออกทันที มั่วชิงเฉินเข่าอ่อน เกือบคุกเข่าลงไป ถูกกระหน่ำจนครวญเสียงเบาออกมา
เสียงครวญเบาๆ นี้ทำให้ทุกคนได้สติกลับมา ทว่าสีหน้ายังคงดูไม่ดี
ชิงตู้เจินจวินโบกมือ ปล่อยยันต์ส่งสารแผ่นหนึ่งออกไป จากนั้นมองไปที่มั่วชิงเฉินว่า “นักพรตชิงเฉิน เจ้าลงไปก่อนเถอะ”
มั่วชิงเฉินกวาดมองหรูอวี้เจินจวินปราดหนึ่ง หรูอวี้เจินจวินพยักหน้าแผ่วเบา
“เจ้าค่ะ ผู้น้อยขอลาเจ้าค่ะ” มั่วชิงเฉินพูดจบก็หันหลังออกไป ทว่าเพิ่งเดินออกจากจวนเจ้าเมืองก็เห็นนักพรตคงฉวนพาหลัวเตี๋ยจวินรุดมาแล้ว สวนทางกันแม้แต่คำทักทายก็ไม่ทันได้เอ่ย ก็รีบเข้าไปแล้ว
มั่วชิงเฉินตกใจ ยันต์ส่งสารที่ชิงตู้เจินจวินส่งออกไปต้องให้นักพรตคงฉวนแน่นอน ดูสภาพการณ์เช่นนี้ ถึงกับรอให้หลัวเตี๋ยจวินรักษาให้เสร็จไม่ไหวก็รีบพามาแล้ว นี่เพราะอะไร?
นึกถึง ‘เจ้าปีศาจปรากฏต่อโลก’ มั่วชิงเฉินกัดริมฝีปาก เล่าลือกันว่าสี่จอมราชาปีศาจแห่งดินแดนทุรกันดารล้วนอยู่จำแลงขั้นสุดท้าย ก็เทียบเท่ากับนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดระยะปลายแล้ว
เช่นนั้นเจ้าปีศาจ..หรือว่าหลุดพ้นจากการจำกัดสิบขั้น พลังเทียบเท่ากับนักบำเพ็ญเพียรมนุษย์ในระดับถอดดวงจิต?
ก่อนหน้านี้นานมากแล้วท่านอาสิบสี่เคยบอกนางว่า ทั่วทั้งโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรยอดฝีมืออันดับหนึ่งเหอเซียวหยางอยู่ระดับถอดดวงจิตระยะกลาง เพียงแต่เขาไม่มีข่าวคราวมานับพันปีแล้ว ไม่รู้ว่ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่
นอกเหนือจากนี้ ก็ไม่ได้ยินว่ายังมีนักบำเพ็ญเพียรระดับถอดดวงจิตอีก!
มั่วชิงเฉินเดินไปทางโรงหมอด้วยความคิดเต็มอก ได้รู้ว่าเยี่ยเทียนหยวนไม่เป็นอะไรมากแล้วกำลังพักผ่อน จึงไม่ได้ไปรบกวน หากแต่ต่างคนต่างเล่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในหลายปีนี้ของตนกับต้วนชิงเกอ
“อาจารย์อาชิงเฉิน ไยเจ้ายังหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่อีก?” ต้วนชิงเกอขยิบตา
แม้ทั้งสองคนมิตรภาพลึกล้ำ ทว่าอย่างไรเสียยามนี้ก็ห่างกันหนึ่งเขตแดนใหญ่ นางย่อมไม่อาจเรียกชื่อมั่วชิงเฉินโดยตรงแล้ว
ดีที่ทั้งสองคนล้วนเป็นคนเข้าใจอะไรปรุโปร่ง รู้ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงคำเรียกเท่านั้น ไม่มีใครคิดมาก
“ชิงเกอ เจ้ารู้จักฮ่าวเสวี่ยเจินจวินหรือไม่ ท่านดับสูญแล้ว”
“หา ไม่คิดว่าจะมีเรื่องเช่นนี้?” ต้วนชิงเกอตื่นตะลึง
มั่วชิงเฉินพยักหน้าว่า “อืม ยิ่งกว่านั้นข้ามีลางสังหรณ์ การดับสูญของฮ่าวเสวี่ยเจินจวิน อาจเป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น”
เพิ่งสิ้นเสียง ก็ได้ยินเสียงระฆังทุ้มต่ำไพเราะลอยมา
ต้วนชิงเกอหน้าถอดสีทันที