ตอนที่ 411 ควรขออภัย
นางเป็นอะไรไป
เพียงแค่ยืนอยู่ด้วยกันเท่านั้นไม่ใช่หรือ ทำไมต้องรู้สึกบาดตาด้วย
อวิ๋นเซิ่นเห็นนางไม่พูดไม่จา ก็ไม่พูดอะไรอีก
ในที่สุดฉู่ป๋ายก็ได้สติ ก้าวยาวๆ เข้าไปหาอวี้อาเหรา เมื่อยืนอยู่ตรงหน้านางแล้วก็ทำทีเหมือนจะพูดเรื่องอะไรสักอย่าง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดออกมา ใบหน้าที่เคยงามสง่าอยู่เสมอ บัดนี้ซีดเผือด ดูราวกับคืนก่อนผ่านไปไม่ดีนักสำหรับเขา
รอบตาของอวี้อาเหราเป็นสีคล้ำลงอย่างชัดเจน มีวงกลมสีดำล้อมรอบ
นางไม่ได้นอนมาทั้งวันทั้งคืน ศีรษะของนางเริ่มหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ ภาพตรงหน้าของนางค่อยๆ กลายเป็นสีเข้มขึ้นเรื่อยๆ จนแทบจะรวมเป็นสีเดียวและไหลทะลักออกมา ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงแล้ว กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย
ในขณะที่พวกเขาทั้งหมดยังคงเงียบงันไม่พูดไม่จา ฉู่เกอก็กลับเข้ามาอย่างเหนื่อยล้า เมื่อเห็นฉู่ป๋ายยืนอยู่ในห้อง ก็ร้องขึ้นด้วยความตกใจ แล้วรีบวิ่งเข้ามาหา ยกเท้าขึ้นเตะไปยังร่างของเขาอย่างอารมณ์ไม่ใคร่จะสู้ดี “ท่านพี่ ท่านหายไปไหนมา ข้าตามหาท่านเสียจนทั่ว ไม่คิดว่าท่านจะกลับมาเองเช่นนี้”
“ทำให้เจ้าเป็นห่วงเสียแล้ว” ฉู่ป๋ายยอมรับลูกเตะของนาง ลูกเตะของฉู่เกอนั้น เพียงมองดูก็รู้ว่าน่าจะหนักหน่วง ทว่าเมื่อเตะมาถึงร่างของเขา นางก็รีบลดกำลังลงเหลือเพียงครึ่งเดียวแล้วหดเท้ากลับมา หากนางเตะเข้าให้จริงๆ ก็ไม่รู้ว่าควรจะขออภัยเช่นไรจึงจะดี
ฉู่เกอพ่นลมอย่างเย็นชา “พูดว่าเป็นห่วงก็แล้วไปแล้วได้หรือ ข้าไม่ได้นอนทั้งคืน ท่านดูสิ ตาข้ากลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว ท่านจะชดใช้หรือไม่ชดใช้กัน”
“ต้องชดใช้สิ” ในที่สุดฉู่ป๋ายก็ยิ้มน้อยๆ ให้กับคำพูดของนาง
อวิ๋นเซิ่นมองพวกเขาสองพี่น้อง “ถ้าอย่างนั้นข้ากลับล่ะ”
“พี่อวิ๋นจะกลับไปทำไม ยังไม่บอกข้าเลยว่าทำไมท่านกับฉู่ฉู่ของข้าถึงอยู่ด้วยกันได้” ฉู่เกออยากจะร้องเรียกนางไว้ แต่กลับถูกฉู่ป๋ายดึงตัวเอาไว้ แล้วตีหน้าขรึมอย่างไม่ยินดี
ฉู่เกอจึงค่อยเห็นสีหน้าของเขา ทันใดนั้นก็ร้องโอดโอย “ท่านจ้องข้าทำไมเล่า”
ฉู่ป๋ายไม่พูดอะไร
ฉู่เกอยิ่งร้องโอดโอย “ข้าพยายามตามหาท่านทั้งคืน แต่ไม่คิดว่าท่านจะอยู่กับพี่อวิ๋น ช่างใจร้ายนัก หากรู้แต่แรกข้าคงนอนไปนานแล้ว จะตามหาให้เปลืองแรงไปทำไม ท่านว่าอย่างนั้นไหมพี่เหราเอ๋อร์”
“ใช่แล้ว” อวี้อาเหราก้มหน้าลงเงียบงัน แล้วพูดขึ้นโดยแฝงความนัย
ฉู่เกอยังคงนึกอยากจะพูดต่อไปอย่างไม่รู้สถานการณ์ จนฉู่ป๋ายสีหน้าหม่นหมอง
“เจ้าพูดน้อยๆ ลงหน่อยคงไม่ตายหรอก”
“ทำไมข้าต้องเลิกพูดด้วย…” ฉู่เกอถูกดุว่าไปหนึ่งยก ก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เมื่อต้องการที่จะพูดต่อ ก็เห็นท่าทีนิ่งเงียบไม่พูดไม่จาของอวี้อาเหรา ทันใดนั้นนางก็เหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมา แล้วหัวเราะพร้อมลูบศีรษะอย่างเซ่อๆ “ข้าพูดมากไปจริงๆ ง่วงจังเลย อย่างนั้นท่านก็ค่อยๆ คุยกับพี่เหราเอ๋อร์แล้วกัน ข้าขอกลับไปพักผ่อนก่อนละ”
เมื่อพูดจบ นางก็วิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว ราวกับกลัวคนข้างหลังจะวิ่งตามมา
ต้องพูดว่า สายตาของนางนั้นแน่นัก ที่รู้ตัวช้าว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
เมี่ยวอวี้มองคุณหนูของตัวเองและเซิ่นซื่อจื่อด้วยความประหลาดใจ แม้ว่านางจะรู้สึกถึงบรรยากาศที่แปลกไป แต่ก็ถอยออกไปอย่างรู้งาน เพื่อให้พื้นที่แก่คนทั้งสอง
เพราะว่า การเป็นบ่าวที่ดีจะต้องรู้ว่าควรทำตัวอย่างไร ไม่ควรสอดปากเข้าไปยุ่งเรื่องที่ไม่ใช่ของตัวเอง
หลังจากที่นางปิดประตูและจากไป ฉู่ป๋ายและอวี้อาเหราที่หนึ่งคนยืนและอีกคนนั่งก็ไม่พูดไม่จา
ตอนที่ 412 สงครามเย็น
อวี้อาเหราก้มหน้า จ้องมองเปลวไฟในเตาผิงอยู่ตลอดเวลา ราวกับไม่รับรู้ว่ามีอีกคนกำลังยืนอยู่ตรงหน้า
ฉู่ป๋ายเห็นนางไม่พูด จึงเงียบงันไปชั่วครู่ จากนั้นก็หัวเราะเบาๆ เพื่อทำลายบรรยากาศที่น่าอึดอัด “เจ้ามาแต่เช้าแล้วหรือ”
อวี้อาเหราไม่สนใจเขา ยังคงก้มหน้าลงจ้องมองกองไฟ เปลวเพลิงส่องใบหน้าของนาง ทำให้งดงามเฉิดฉาย มีความงามที่ผิดไปจากยามปกติ ความงามเช่นนี้หม่นมัวไม่ชัดเจน ทำให้สายตาของฉู่ป๋ายดำดิ่งลงไปหามัน
แม้ว่าท้องฟ้าด้านนอกจะสว่างแล้ว แต่ก็ยังไม่สว่างมาก และยังไม่มีแสงมากมายลอดผ่านหน้าต่างมา ภายในห้องไม่ได้จุดโคมไฟ เพราะฉะนั้นจึงมีบรรยากาศหม่นมัว จึงไม่แปลกที่ก่อนหน้านี้เขาจะมองไม่เห็นว่าอวี้อาเหรานั่งอยู่ที่มุมห้อง
เปลวเพลิงเผาไหม้จนส่งเสียงลั่นเปรี๊ยะ ซึ่งเป็นเสียงเพียงเสียงเดียวที่คนทั้งสองคนได้ยินในช่วงเวลาอันเงียบงันนี้
คำพูดของเขาเหมือนกลืนหายเข้าไปในมหาสมุทร ผ่านไปนานก็ยังไม่ได้ยินเสียงตอบรับ หรือถ้าจะพูดอีกอย่าง ก็คือคำพูดของเขาหายไปในก้นทะเล คงจะไม่ได้ยินคำตอบไปชั่วนิรันดร์
บรรยากาศกลับเข้าสู่ความเงียบงันอีกครั้ง
“หากไม่ได้มาแต่เช้า หรือเจ้ารออยู่ทั้งคืน” ปากของฉู่ป๋ายพูด ได้ยินกระแสความประหลาดใจในน้ำเสียงของเขาเล็กน้อย ทันใดนั้นก็เดินเข้ามาด้านหน้า “เจ้านั่งอยู่ตรงนี้ทำไม ลุกขึ้นก่อนเถิด เจ้ายังป่วยอยู่เลยมิใช่หรือ”
ไม่ว่าเจะพูดอะไร อวี้อาเหราก็ไม่สนใจ
เมื่อครู่นี้เขายังพูดคุยหัวร่อต่อกระซิกกับอวิ๋นเซิ่นอยู่เลยมิใช่หรือ แล้วคำพูดเล่านั้นจะมีความหมายอะไรในตอนนี้เล่า สายตาของนางเผยให้เห็นถึงความรังเกียจ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ในช่วงเวลาเช่นนี้ นางจึงรู้สึกรำคาญใจเช่นนี้ ได้ยินทุกคำพูดของฉู่ป๋ายแล้วนางก็โกรธขึ้นมา ทั้งๆ ที่เสียงของเขาไพเราะถึงเพียงนี้
ฉู่ป๋ายชะงัก “เจ้าเป็นอะไรไปกันแน่”
นางเป็นอะไรหรือ นางไม่พอใจยังไม่รู้หรือไง อวี้อาเหราคิดอย่างโกรธๆ
ตัวนางในตอนนี้ช่างเหมือนกับเด็กตัวน้อยแสนเย็นชาที่ไม่รู้จักจัดการอารมณ์ตัวเองไม่สามารถควบคุมความไม่พอใจของตัวเองได้ แล้วพยายามที่จะแสดงความไม่พอใจของตัวเองออกมา ราวกับว่าหากอีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บจากคำพูดของนาง ตัวนางก็จะดีใจเป็นล้นพ้น
ความรู้สึกที่คล้ายคลึงกับการเอาตัวเองเป็นใหญ่เช่นนี้ค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นในใจของนาง แม้แต่นางเอกก็ยังไม่รู้ว่าทำจึงเป็นเช่นนี้
ราวกับมีเสียงเสียงหนึ่งคอยบอกนางอยู่ตลอดเวลาว่าให้ทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจ นางก็จะสบายใจเป็นล้นพ้น ดังนั้นนางจึงมองใบหน้าอึดอัดของฉู่ป๋ายอย่างพึงพอใจ ซึ่งเป็นวิธีที่ทำให้นางพึงพอใจอย่างที่สุด นางอยากเห็นเขาโกรธเคืองจนบ้าคลั่ง จนเห็นเขาเต้นไปมาด้วยความโกรธยิ่งนัก
แต่ว่า เซิ่นซื่อจื่อจะแสดงอารมณ์เช่นนั้นได้อย่างไรกัน
มิผิด เขาเป็นเซิ่นซื่อจื่อ ผู้ซึ่งไม่เคยแสดงสีหน้ายินดียินร้ายอยู่เสมอ อารมณ์เช่นนี้ไม่มีทางปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของเขาแน่
อวี้อาเหรานึกอยากจะให้เขาแสดงอารมณ์ที่แปลกไปจากคนอื่นต่อนางบ้าง ถ้าเป็นเช่นนั้นนางคงจะต้องพึงใจยิ่งนัก ที่แท้แล้ว นางเพียงต้องการความพึงพอใจเท่านั้นเอง
นางที่กำลังมีแผนการต่างๆ ในใจ ก็คงคิดไม่ถึงว่าตอนนี้ฉู่ป๋ายกำลังอยู่ในอารมณ์แบบใด
เป็นเพราะตอนนี้เขากำลังอยู่ในอาการเหม่อลอย ไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมนางเอาแต่นั่งนิ่งๆ ไม่ขยับไปไหนเลยเล่า ในใจบังเกิดความคิดขึ้นมา แต่เขาไม่กล้าที่จะยอมรับ หรือว่านางเห็นเขาอยู่กับอวิ๋นเซิ่นก็เลย…
แต่ไม่หรอก เมื่อก่อนไม่เห็นว่านางจะมีกิริยาอย่างไรเลย
แต่ทำไมตอนนี้นางถึงได้แปลกไปเช่นนี้