พลังวิญญาณในรูปของเหลวเมื่อถูกกระตุ้น ก็ไหลขึ้นมาเหมือนลำธารเล็กๆ เพียงแต่ในตันเถียนเต็มจนเบียดปราณวิญญาณเข้าไปไม่ได้อีกแม้เพียงสายเดียว เฉดเช่นน้ำในทะเลสาบอันลึกล้ำ สงบไร้คลื่น
มั่วชิงเฉินก็ไม่ร้อนรน เพียงแต่โคจรพลังวิญญาณรอบแล้วรอบเล่า หนึ่งรอบพระอาทิตย์ใหญ่ตามด้วยอีกหนึ่งรอบพระอาทิตย์ใหญ่
ไม่รู้เวลาผ่านไปนานเพียงใด นางหลับตาสนิทแท้ๆ กลับหยิบขวดหยกขึ้นใบหนึ่งได้อย่างแม่นยำ เทโอสถสีแดงเม็ดหนึ่งเข้าปาก
โอสถสีแดงไหลไปตามคอหอยตกลงท้อง และไปถึงตันเถียนภายใต้การผลักดันของพลังวิญญาณ
ที่น่าแปลกคือโอสถนี้ไม่เหมือนโอสถส่วนใหญ่ที่พอเข้าปากก็ละลายทันที ยามที่ไปถึงตันเถียนยังเป็นโอสถที่สมบูรณ์เม็ดหนึ่ง ราวกับโยนก้อนหินเล็กๆ ลองในทะเลสาบ
โยนลงไปอย่างเงียบกริบ ตันเถียนที่เหมือนบึงลึกกระเพื่อมคลื่นวิญญาณขึ้นเป็นวงๆ
ต่อติดจากนั้น แสงวิญญาณสายหนึ่งพุ่งขึ้นฟ้า ทั้งตันเถียนแกว่งไปมา เปล่งแสงเลือนรางเหมือนไฟลุก ปราณวิญญาณที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งยวดทะลวงผนังสี่ด้านของตันเถียนว่ายไปทั่วร่าง
ความเจ็บปวดเหมือนเจาะหัวใจส่งผ่านมา มั่วชิงเฉินกลับไม่แม้แต่จะขมวดคิ้วสักที
ผ่านความเจ็บปวดของดวงจิตถูกแส้เทพเฆี่ยนมาก่อน อีกทั้งถูกอูเย่ว์ทรมานเช่นนั้นมา ความเจ็บปวดเช่นนี้สำหรับนางแล้วไม่มีความหมายใดๆ
โอสถสีแดงชนิดนี้ เรียกว่าโอสถเหยียบเซียน เป็นตัวล่อในการกระตุ้นตันเถียนทะลวงแก่นปราณหลังจากระดับสร้างรากฐานโดยสมบูรณ์ เป็นหนึ่งในโอสถที่จำเป็นต้องเตรียมเช่นกัน
ปราณวิญญาณมหาศาลดุจคลื่นในทะเลทะลวงตันเถียนและชีพจรของมั่วชิงเฉินอย่างเกรี้ยวกราด
ราวกับยามที่ทะลวงสร้างรากฐานก็ไม่ปาน ชีพจรขาดสะบั้นทีละชุ่นๆ และสมานเข้าใหม่ วกไปวนมา แต่ละครั้งล้วนเจ็บปวดเหลือจะเอ่ย ราวกับมีเข็มเล็กๆ นับหมื่นนับพันเล่มทิ่มลงทั่วทุกส่วนของร่างกายทีละจังหวะ
มั่วชิงเฉินกัดฟันแน่นอดทนไว้ ไม่ต่อต้านปราณวิญญาณมหาศาลสายนั้น หากแต่ชักนำพลังวิญญาณช่อหนึ่งในกายไหลไปตามคลื่นเหมือนเรือเล็กกลางสายลม
ไม่รู้เวลาผ่านไปนานเพียงใด ในที่สุดชีพจรในกายก็ไม่เปลี่ยนแปลงอีก ปราณวิญญาณทั้งหมดที่มีไปรวมตัวกันที่ตันเถียนดุจน้ำลง
ปราณวิญญาณมากถึงเพียงนี้ไหลเข้าตันเถียนอย่างกะทันหัน ทำให้สั่นขึ้นมาอย่างรวดเร็วทันที
มั่วชิงเฉินรู้ ด่านการขยายชีพจรได้ผ่านไปแล้ว บัดนี้ที่ต้องทำก็คือรวบรวมพลังวิญญาณทั้งตัวไปที่ตันเถียน เพื่อเปลี่ยนของเหลวเป็นของแข็ง ควบเป็นแก่นทอง
นางไม่ลังเลแม้แต่น้อย หยิบโอสถชำระโลกีย์กลืนลงไปเม็ดหนึ่ง
ปราณวิญญาณพวกนั้นราวกับมีแหล่งกำเนิดกำลังช่วงสุดท้าย แม้ไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลอีก แต่กลับไหลไม่ขาดสาย
ตันเถียนในยามนี้ประหลาดมาก เหมือนถูกอะไรอุดไว้ พลังวิญญาณพวกนั้นไหลเข้ามาแล้วก็หาทางออกไม่ได้อีก ได้แต่เบียดกันอยู่ข้างในพุ่งชนไปทั่ว
พลังวิญญาณที่ไหลเข้ามาออกไปไม่ได้ ยังมีปราณวิญญาณมหาศาลเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน พลังวิญญาณเหลวพวกนี้ได้แต่ยิ่งอัดยิ่งปึก ยิ่งเบียดยิ่งแน่น
นี่คือความกดดันอย่างยิ่งยวดชนิดหนึ่งกำลังทะลวงตันเถียน เหงื่อไหลจากหน้าผากของมั่วชิงเฉินไม่หยุด เพียงแต่นางกลับไม่รู้สึกตัว
มั่วชิงเฉินปรับตัวเข้ากับความเจ็บปวดเช่นนี้แล้ว ดังนั้นนางสามารถสำรวจภายในกายตนเองอย่างใจเย็นอย่างมีสติมากขึ้น
เอาชนะด่านที่หนึ่งที่ดูความมุ่งมั่นเป็นสำคัญแล้ว บัดนี้ด่านนี้ก็ดูความเร็วในการเปลี่ยนพลังวิญญาณของตันเถียนแล้ว
ก่อนที่ฤทธิ์ยาจะซ่านหายไป ปราณวิญญาณเกิดใหม่จะพรั่งพรูออกมาไม่ขาดสาย พลังวิญญาณที่เกิดจากปราณวิญญาณแปรเปลี่ยนเป็นของเหลวเหล่านี้เบียดอัดอย่างไม่คิดชีวิตอีกครั้ง จนถึงขีดจำกัดหนึ่ง พลังวิญญาณเหลวเหล่านี้ก็จะแน่นขึ้นเรื่อยๆ เล็กลงเรื่อยๆ สุดท้ายควบเป็นแก่นทอง
ขั้นตอนนี้ แม้วิธีการจะแตกต่างกันแต่ก็ได้ผลเหมือนกันกับการหลอมโอสถอย่างคาดไม่ถึง
เพียงแต่แรงขับเคลื่อนในการค้ำจุนการหลอมโอสถอาศัยไฟโอสถ พลังขับเคลื่อนที่ค้ำจุนพลังวิญญาณในการอัดหดตันเถียนกลับเป็นกระสายยา
ส่วนจะแปรเปลี่ยนสำเร็จก่อนที่ฤทธิ์ยาจะซ่านหายไปได้หรือไม่นั้น ก็ต้องดูความเร็วในการแปรเปลี่ยนของตันเถียนแล้ว
ความเร็วในการแปรเปลี่ยนเร็ว ย่อมน้ำมาคลองเกิด[1]ความเร็วในการแปรเปลี่ยนช้า เช่นนั้นก็ได้แต่เริ่มต้นใหม่แล้ว
เป็นที่รู้กัน ความเร็วในการแปรเปลี่ยนพลังวิญญาณของตันเถียนเกี่ยวข้องกับพรสวรรค์
มั่วชิงเฉินมีรากวิญญาณเทียม ย่อมเร็วได้ไม่ถึงไหน นี่ไม่ใช่สิ่งที่โอสถจะแก้ไขได้
ดีที่นางเคยกำหราบไฟหน่อไม้หิน ไฟหน่อไม้หินแม้ไม่อาจแก้ไขรากวิญญาณให้ดีขึ้นโดยตรงได้ กลับสามารถเพิ่มความเร็วในการฟื้นฟูพลังวิญญาณของนักบำเพ็ญเพียร หรือพูดได้ว่า ก็คือยกระดับความเร็วในการเปรเปลี่ยนพลังวิญญาณของตันเถียน
พูดได้ว่า มั่วชิงเฉินที่เคยได้ไฟหน่อไม้หิน พรสวรรค์ในยามนี้ไม่ต่างอะไรกับสามรากวิญญาณธรรมดาแล้ว
พูดถึงตรงนี้สามารถพูดเช่นนี้ได้ พรสวรรค์ของนักบำเพ็ญเพียรเป็นเช่นไรต้องดูรากวิญญาณ ต่อให้เป็นสามรากวิญญาณทั้งคู่ พรสวรรค์ของนักบำเพ็ญเพียรสองคนนี้ก็มีสูงมีต่ำ
นี่ก็เกี่ยวกับคุณลักษณะของรากวิญญาณสามชนิดและสัดส่วนของแต่ละชนิดแล้ว
ยกตัวอย่างเช่นนักบำเพ็ญเพียรคนหนึ่งรากวิญญาณทองธรรมดา รากวิญญาณอีกสองรากคือน้ำ และไฟ เช่นนั้นพรสวรรค์ของเขาก็นับว่าอยู่ชั้นปลายแถวในบรรดานักบำเพ็ญเพียรที่มีสามรากวิญญาณ
ทว่าสำหรับมั่วชิงเฉินแล้ว หลังจากกำหราบไฟหน่อไม้หินแล้วสามารถไล่สามรากวิญญาณธรรมดาทัน ก็พอใจมากแล้ว
เป็นสามรากวิญญาณไม่ใช่รากวิญญาณเทียมอีกแล้วนะ!
ไม่รู้เวลาผ่านไปอีกนานเท่าไร มั่วชิงเฉินสังเกตได้อย่างชัดเจนว่าปราณวิญญาณที่เกิดใหม่อ่อนแอในเวลาต่อมา
แย่แล้ว ฤทธิ์ยาจะหมดแล้ว
ทะลวงก่อแก่นปราณไม่เหมือนทะลวงสร้างรากฐานหรอกนะ ที่จะกินโอสถชำระโลกีย์ได้เรื่อยๆ
มั่วชิงเฉินกลับหน้าไม่เปลี่ยนสี จับขวดหยกขึ้นใบหนึ่งหยิบโอสถสีน้ำออกมาเม็ดหนึ่งกลืนลงไป
ปราณวิญญาณพรั่งพรูออกมาไม่ขาดสายจากในตันเถียนอย่างเห็นได้ชัด
ผลของโอสถลับตระกูลหวัง ที่แท้ก็คือยืดเวลาฤทธิ์ยานี่เอง!
มั่วชิงเฉินเข้าใจในทันใด มิน่าถึงบอกว่าโอสถนี้สามารถเพิ่มโอกาสในการก่อแก่นปราณมากถึงเพียงนี้
เพราะมั่วชิงเฉินกินโอสถลับของตระกูลหวัง ขั้นตอนการควบแน่นเป็นแก่นทองนี้จึงยืดออกไปนานกว่านักบำเพ็ญเพียรทั่วไปครึ่งหนึ่ง
เวลาดั่งสายน้ำ ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
มั่วชิงเฉินก็จำไม่ได้แล้วว่าตกลงผ่านไปนานเพียงใดแล้ว จู่ๆ มีวันหนึ่ง ของเหลวที่อัดหดอย่างไม่หยุดหย่อนในตันเถียนในที่สุดก็ไม่อาจผลักเข้าข้างในได้อีก จึงยื้อกันเช่นนี้ขึ้นมา
นางเข้าใจ พลังวิญญาณในตันเถียนเบียดอัดจนถึงเส้นเขตแดนแล้ว อาจเป็นเค่อต่อไป หรือกระทั่งทันที ก็อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงได้
ไม่ผิดตามคาด ยื้อกันอยู่เช่นนี้ชั่วครู่ พลังวิญญาณที่เบียดอัดอยู่ด้วยกันจู่ๆ ก็สั่นขึ้นมา ต่อจากนั้นเล็กลงเรื่อยๆ เล็กลงเรื่อยๆ ด้วยความเร็วที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
ยามที่เล็กลงถึงขนาดเท่ากำปั้นเด็ก รอบๆ ถูกล้อมด้วยแสงสีขาวทันที ต่อให้เป็นมั่วชิงเฉิน ก็ไม่อาจมองเห็นสภาพภายในแล้ว
มั่วชิงเฉินไม่รีบร้อน นางรู้ว่ามาถึงก้าวนี้ ควบแน่นเป็นแก่นทองก็ถือว่าสำเร็จแล้ว สิ่งที่นางจำเป็นต้องตั้งสติรับมือคือการทดสอบของจิตมารที่ทยอยตามมา
สภาพที่แสงสีขาวห้อมล้อมดำเนินไปอีกหลายวัน หลังจากที่ค่อยๆ หายไป ผ่านการมองภายในจะเห็นแก่นทองขนาดเท่าผลซิ่งเม็ดหนึ่งอยู่ในตันเถียนอย่างเงียบๆ ได้อย่างชัดเจน
เพียงแต่แก่นทองนั้นดูแล้วประเดี๋ยวสว่างประเดี๋ยวมืด ดูเหมือนไม่เสถียร
มั่วชิงเฉินยังไม่ทันได้คิดมาก ก็เห็นแก่นทองเม็ดนั้นค่อยๆ ลอยขึ้นเหนือตันเถียน และสั่น
การสั่นนี้ ดึงให้จิตวิญญาณของนางกวัดแกว่งทันที แล้วตกเข้าไปในความมืดมิดไร้ขอบเขต
“ตื่นสิ ตื่นสิ” มั่วชิงเฉินหลับตารู้สึกว่าปวดเมื่อยไปทั้งตัว กลับรู้สึกว่ามีคนบีบจมูกตนอยู่
รู้สึกหายใจไม่ออก จึงรีบลืมตาขึ้น
คนที่เข้ามาในดวงตาทำให้นางนิ่งอึ้งเล็กน้อย
“นางหนู เป็นอะไรไป ไม่รู้จักปู่แล้วหรือ?” มั่วต้าเหนียนหนวดกระดิก ยิ้มเหมือนเด็กที่ชอบแกล้ง
มั่วชิงเฉินแสบตาอย่างไม่มีสาเหตุ
มั่วต้าเหนียนลนลานแล้ว “เป็นอะไรไป นางหนู ปู่ทำให้เจ้าเจ็บใช่หรือไม่?”
“ไม่นี่เจ้าคะ ท่านปู่ไม่ต้องกังวลส่งเดช” มั่วชิงเฉินแย้มยิ้มออกมา
มั่วชิงเฉินเผยท่าทางยิ้มระรื่นออกมาอีก เอ่ยอย่างไม่อายว่า “นางหนูเอ๊ย เจ้าดูกว่าเจ้าจะกลับมาได้ไม่ใช่ง่ายๆ เราปู่หลานมาดื่มกันสักจอกเป็นเช่นไร? คลาดโลกีย์ที่เจ้าหมัก ปู่ชอบดื่มที่สุดเลยนะ”
“คลาดโลกีย์? ไยท่านปู่ถึงรู้ว่าสุรานี่ชื่อคลาดโลกีย์ล่ะ? มั่วชิงเฉินบ่นพึมพำ รู้สึกมีบางอย่างผิดปกติ
ตนเอาคลาดโลกีย์ที่หมักแสดงความกตัญญูต่อท่านปู่บ่อยๆ ไม่ผิด ทว่าชื่อ ‘คลาดโลกีย์’ นี้ตนตั้งขึ้นมาด้วยความรื่นปาก ไม่เคยเอ่ยถึงกับท่านปู่มาก่อนนี่นา
มั่วต้าเหนียนหัวเราะฮ่าๆ ขึ้นมา มือใหญ่เหมือนพัดกกลูบศีรษะของมั่วชิงเฉินว่า “เด็กโง่คนนี้นี่ แน่นอนต้องหลานเขยของข้าบอกข้าน่ะสิ”
หลานเขย? มั่วชิงเฉินนิ่งอึ้งอีกครั้ง
มั่วต้าเหนียนถอนหายใจว่า “เฮ่อ หลานสาวโตแล้ว สตรีเข้าข้างคนนอกนะ สุราที่ตาเฒ่าชอบดื่มที่สุด ชื่อสุรายังต้องให้หลานเขยมาบอกอีก”
มั่วชิงเฉินเห็นท่าทางหดหู่ของมั่วต้าเหนียน ในใจเจ็บปวดขึ้นอย่างบอกไม่ถูก รีบว่า “ท่านปู่ ท่านพูดอะไรน่ะ ไม่ว่าเมื่อไรชิงเฉินก็เข้าข้างท่านอยู่แล้ว”
“ฮ่าๆ ต้องแบบนี้สิ จะมีสามีแล้วก็ลืมปู่ไม่ได้หรอกนะ” มั่วต้าเหนียนพยักหน้าอย่างพอใจ เต็มไปด้วยความรักเอ็นดู
ในยามนี้เองประตูผลักออกดังเอี๊ยด สาวน้องหน้าตาหมดจดคนหนึ่งเดินเข้ามา ย่อตัวแล้วว่า “นายท่านห้า คุณหนู ท่านหลานเขยมาแล้วเจ้าค่ะ”
มั่วชิงเฉินรู้สึกแปลกเหลือเกิน เหตุใดวันนี้ผู้คนที่คุ้นเคยจนไม่รู้จะคุ้นเคยอย่างไรเหล่านี้ มักรู้สึกว่าเหมือนไม่ได้พบกันมานานอย่างไรอย่างนั้น สำหรับท่านหลานเขยที่สาวน้อยที่เข้ามาพูดถึง กลับรู้สึกอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“นางหนู ดูท่าหลานเขยคนนี้ดีกับเจ้าทีเดียว นี่เพิ่งกลับบ้านมารดาได้กี่วันกัน ก็มาหาเจ้าตาปริบๆ แล้ว เจ้ารีบไปเถอะ ปู่จะไปจัดแจงกับข้าวกับปลา ถึงเวลาเราปู่หลานสามคนมาดื่มกันสักจอก” มั่วต้าเหนียนพูดพลางดันมั่วชิงเฉินออกข้างนอก
อวิ๋นจือหัวเราะคิกคักพยุงมั่วชิงเฉินไว้ พานางออกไป
ในลานบ้านปลูกต้นไผ่สูงไว้กอหนึ่ง ชายหนุ่มชุดเทาผู้นั้นก็ยืนอยู่ข้างต้นไผ่สูง รูปร่างสูงสง่า บุคลิกอ่อนโยน ดูแล้วสง่างามกว่าต้นไผ่เสียอีก
“อาจารย์” มั่วชิงเฉินเดินใกล้เข้าไปก้าวหนึ่ง หลุดปากออกมา
ชายหนุ่มชะงักงัน โคนหูแดงเรื่อ กลับเดินเข้ามากุมมือมั่วชิงเฉินไว้
มั่วชิงเฉินตัวแข็งทื่อ หน้าแดงขึ้นทันที ในตาฉายแววตื่นตะลึงแวบหนึ่ง
ชายหนุ่มก้มหน้าลง เสียงกังวานดังขึ้นที่ข้างหูนางว่า “เด็กโง่ เจ้าเรียกข้าว่าอะไร?”
“อาจารย์น่ะสิ” มั่วชิงเฉินพูดพลาง ไม่ค่อยแน่ใจขึ้นมาอีกแล้ว
ชายหนุ่มจึงหัวเราะเบาๆ ขึ้นมา ไพเราะเหมือนสายน้ำใสสะอาดไหลผ่าน นัยน์ตาใสกระจ่างคู่นั้นเต็มไปด้วยเสน่หาว่า “เด็กโง่ อย่าเรียกข้าว่าอาจารย์ ข้าเป็นสามีของเจ้า”
มั่วชิงเฉินชะงักงัน ในใจไม่ใช่ความปิติ หากแต่เป็นความรู้สึกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก ทว่าตกลงแปลกที่ตรงไหน กลับคิดไม่เข้าใจ
“หากเจ้าไม่กล้าเรียก เรียกข้าว่าพี่กู้ก็ได้” เสียงนั่นดังมาจากข้างบน
มั่วชิงเฉินเงยหน้าขึ้นทันที เกือบชนถูกคางชายหนุ่ม ในใจกลับราวกับมีดอกไม้บานสะพรั่งขึ้นในพริบตา เต็มไปด้วยความปลาบปลื้ม
หลังจากนั้นไม่นานมั่วต้าเหนียนก็อุ้มไหสุรามา สามคนดื่มอย่างสะใจรอบหนึ่ง มั่วต้าเหนียนและกู้หลียิ่งคุยยิ่งถูกชะตากัน มั่วชิงเฉินดูอยู่ข้างๆ หน้าตาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
ดื่มกินจนอิ่มหนำสำราญดีแล้ว มั่วต้าเหนียนก็เร่งพวกเขากลับไปด้วยกัน
กลับถึงสำนัก สามีภรรยาสองคนไม่ก็บำเพ็ญเพียรพร้อมกัน ไม่ก็ออกจากสำนักฝึกตนพร้อมกัน เวลาว่างก็จะกลับจวนมั่วที่อยู่ในเมือง ดื่มสุราเป็นเพื่อนมั่วต้าเหนียน ใช้ชีวิตอย่างสุขสงบ
เวลาผ่านไปทีละปีๆ มั่วชิงเฉินมีตบะระดับก่อแก่นปราณโดยสมบูรณ์แล้ว กำลังจะทะลวงก่อกำเนิดแล้ว ในใจกลับกังวลขึ้นมา
“ชิงเฉิน ไยใจเจ้าถึงกังวล?” สายตาของกู้หลีตกลงบนใบหน้านาง ราวกับจะมองให้ถึงก้นบึ้งของหัวใจนาง
——
[1] น้ำมาคลองเกิด หมายถึง เมื่อเงื่อนไขต่างๆ สุกงอม เรื่องต่างๆ ก็จะบรรลุผลสำเร็จ