กู้หลีมองมั่วชิงเฉินด้วยสีหน้าอ่อนโยน เทียบกับความซูบผอมเมื่อสิบกว่าปีก่อน นางสมบูรณ์ขึ้นสักหน่อย กลับเหมือนลักษณะยามที่เพิ่งกราบเข้าสำนักมากกว่า เพียงแต่แววตาไม่กระจ่างใสเหมือนยามนั้น หากแต่ล้ำลึกสงบนิ่ง ดูความตื้นลึกไม่ออก ลักยิ้มข้างริมฝีปากกลับทำให้รอยยิ้มดูสะอาดบริสุทธิ์
“ชิงเฉิน กลับมาก็ดีแล้ว” กู้หลีไม่ถอนสายตาจากใบหน้าของมั่วชิงเฉิน เผยให้เห็นรอยยิ้มจางๆ
จากกันสิบกว่าปี ศิษย์อาจารย์สองคนชั่วขณะหนึ่งไม่รู้จะพูดอะไร
หลิวซางเจินจวินทำลายความเงียบขึ้นว่า “เหอกวง อาจารย์จะพานางหนูชิงเฉินกลับเหยากวงแล้ว เจ้าอยู่ทางนี้รับมือวิกฤตอสูร ต้องรู้จักหนักเบา”
ได้ยินหลิวซางเจินจวินและมั่วชิงเฉินจะกลับเหยากวง กู้หลีชะงักแผ่วเบา จากนั้นเอ่ยนิ่งเรียบว่า “ศิษย์ทราบแล้ว ซือจุน ชิงเฉินก็ขอรบกวนท่านแล้วขอรับ”
กู้หลีในใจกระจ่าง จะนึกไม่ได้ว่าครานี้มั่วชิงเฉินกลับไปก็เพื่อเตรียมตัวก่อแก่นปราณได้เช่นไรกัน ทว่าบัดนี้ทางนี้ปลีกตัวไปไม่ได้ ความหมายของอาจารย์ ยิ่งไม่อยากให้เขาไป
“เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็ไปก่อนแล้ว” หลิวซางเจินจวินสีหน้านิ่งเรียบ เห็นชัดว่าไม่พอใจที่เมื่อครู่กู้หลีปกป้องปีศาจจิ้งจอก
เขาก็คิดเข้าใจแล้ว ขวางไม่สู้ชักนำ[1]แทนที่จะให้กู้หลีหลบกลับสำนัก ไม่สู้ให้อยู่ที่นี่เผชิญหน้ากับวิกฤตอสูรและนางปีศาจนั่น นางปีศาจนั่นไม่ตาย สำหรับกู้หลีแล้วก็ใช่ว่าไม่ใช่เรื่องดี
ไม่ตาย เช่นนั้นก็ไม่ใช่ปมที่แก้ไม่ออก
เห็นหลิวซางเจินจวินพยักหน้าแผ่วเบากำลังจะจากไป กู้หลีเอ่ยปากว่า “ซือจุน ศิษย์มีคำพูดอยากกำชับชิงเฉินสักหน่อยขอรับ”
หลิวซางเจินจวินมองมั่วชิงเฉินปราดหนึ่งว่า “เช่นนั้นได้ นางหนูชิงเฉิน ข้าและนางหนูหลัวก็รอเจ้าอยู่ข้างหน้า”
มองดูหลิวซางเจินจวินพาหลัวเตี๋ยจวินเหยียบเมฆออกไปไกล ทั้งสองคนเบือนสายตากลับมามองไปที่อีกฝ่าย
มั่วชิงเฉินแอบกำหมัดแน่น กลับไม่ได้ก้มหน้าลง มองกู้หลีแล้วเผยรอยยิ้มหวานออกมา
รอยยิ้มนั้นหวานและบริสุทธิ์แท้ๆ กลับราวกับหนามเล็กๆ เล่มหนึ่ง แทงเข้าใจกู้หลี
เขากดความผิดปกติในใจลง ยิ้มนิ่งเรียบว่า “ชิงเฉิน บัดนี้เจ้าดูมีชีวิตชีวาสดใส ลมหายใจสงบ สิบกว่าปีมานี้บำเพ็ญเพียรฝึกตนได้ไม่เลว ครั้งนี้กลับสำนัก เพื่อเตรียมตัวก่อแก่นปราณสินะ”
มั่วชิงเฉินพยักหน้าว่า “อืม ชิงเฉินกลับไปครั้งนี้ วางแผนจะทะลวงแก่นทอง ฟังซุนจือกล่าวเช่นนี้ ในใจยิ่งมั่นใจแล้ว” พูดพลางขยิบตาอย่างซุกซน
พฤติกรรมนี้ ความรู้สึกในอดีตระหว่างศิษย์อาจารย์เช่นนั้นดูเหมือนกลับมาอีกแล้ว ทว่าก็มีความแตกต่างสายเล็กๆ อีก
“ชิงเฉิน เจ้าก่อแก่นปราณเดิมทีอาจารย์ควรดูแลอยู่ข้างๆ ทว่าบัดนี้อาจารย์กลับไม่อาจกลับไปได้ ดังนั้นเจ้าต้องทำอย่างรอบคอบ มีอะไรไม่เข้าใจก็ไม่ต้องมิดเมี้ยน จงไปถามอาจารย์ปู่” กู้หลีกำชับ
มั่วชิงเฉินก้มหน้าลงว่า “ซือจุน ชิงเฉินทราบแล้วเจ้าค่ะ”
เสียงของกู้หลีดังมาจากด้านบน ทุ้มต่ำกังวาน ดั่งสายน้ำใสเย็นชุ่มฉ่ำว่า “ก่อแก่นปราณมีสองด่านใหญ่ ด่านที่หนึ่งก็เหมือนยามสร้างรากฐาน ชีพจรขาดสบั้นแล้วสมานขึ้นใหม่ ขยายตันเถียน สุดท้ายควบแน่นเป็นแก่นทอง ด่านที่สองกลับเป็นการทดสอบจิตมารที่ไม่มีเมื่อยามสร้างรากฐาน ถ้าผ่านไปได้ก็จะก้าวเข้าระดับก่อแก่นปราณ ผ่านไม่ได้แก่นทองที่ควบแน่นก็จะแตกละเอียดอีกครั้ง การทดสอบจิตมารมีใจกระจ่าง เห็นนิสัย ถามรัก ในสามสิ่งนี้ในแยกมีรวม ในรวมมีแยก กลับต้องผจญทั้งหมดนี้หนึ่งครั้ง ชิงเฉินเจ้าจงจำไว้ จิตใสใจย่อมกระจ่าง สรรพสิ่งไม่อาจยึดติดเกินไป ต่อให้ผ่านด่านทดสอบจิตมารไม่ได้ แก่นทองแตกละเอียดก็เพียงแค่กลับมาที่ตบะระดับสร้างรากฐานโดยสมบูรณ์เท่านั้น วันหลังยังเอาใหม่ได้”
ศิษย์ของเขาเขาเข้าใจ ด่านที่หนึ่งในการก่อแก่นปราณย่อมไม่เป็นปัญหาแน่นอน ด่านการทดสอบจิตมารนั้น ใจกระจ่างเห็นนิสัยไม่ต้องกังวล ทว่าถามรัก…
เมื่อนึกถึงสองคำนี้ กู้หลีก็ใจเต้นตึกตัก
เขาไม่ได้ไม่เข้าใจความคิดของนาง ทว่าจะให้เขาตอบสนองได้เช่นไรกัน
หลายปีมานี้นางไม่ได้แสดงความรู้สึกที่ผิดปกติออกมา ทว่าในใจนาง ตกลงปล่อยวางได้แล้วหรือไม่นะ?
ด้วยความเข้าใจที่เขามีต่อศิษย์ สำหรับเรื่องและของที่นางไล่ตาม คือยึดติดหนักแน่น ขณะเดียวกันก็อิสระใจกว้าง
เมื่อเกี่ยวพันถึงคำว่ารัก เขากลับไม่กล้าแน่ใจแล้ว
ทันใดนั้นเสียงเบาๆ เสียงหนึ่งถามกู้หลีเงียบๆ จากส่วนที่ลึกที่สุดในหัวใจว่า “กู้หลี เช่นนั้นตกลงเจ้าอยากให้นางปล่อยวาง หรือวางไม่ลง?”
กู้หลีตัวสั่น เสียงนั้นราวกับคำสาป ยิ่งพูดยิ่งดัง “เจ้าอยากให้นางปล่อยวาง หรือวางไม่ลง?”
มั่วชิงเฉินฟังการกำชับด้วยความเป็นห่วงของกู้หลีพลาง น้ำตาเอ่อล้นขึ้นมา จึงรีบก้มหน้าต่ำลงอีก ทว่าผ่านไปเนิ่นนานกลับไม่ได้ยินเสียงของกู้หลี
นางเงยหน้าด้วยความสงสัยเล็กน้อย กลับเห็นกู้หลียืนไม่ขยับเขยื้อน แขนเสื้อโบกพลิ้วโดยปราศจากลม สีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาไม่อาจคาดเดาได้ เหงื่อเย็นซึมออกจากหน้าผากไม่หยุด อาบลงตามแก้มที่ซูมผอม จนเปียกปอยผมสีเงินที่ถูกลมพัดไปบนแก้ม
แย่แล้ว นี่อาจารย์ธาตุไฟเข้าแทรกแล้ว!
มั่วชิงเฉินใจเต้นตึกตักทีหนึ่ง หน้าถอดสีทันที
เป็นไปได้เช่นไร อาจารย์กำลังกำชับตนถึงข้อพึงระวังในการก่อแก่นปราณชัดๆ อยู่ดีๆ ไยถึงธาตุไฟเข้าแทรกแล้วล่ะ?
หรือว่าเพราะการกระทำของหญิงสาวชุดขาวในป่าผู้นั้น ทำให้อาจารย์จิตใจปั่นป่วนตลอดเวลา ถึงถูกจิตมารฉวยโอกาสเข้าแทรก?
มั่วชิงเฉินมองดูสีหน้าทรมานของกู้หลีแล้วร้อนรนจนเหงื่อทั่วศีรษะ คิดจะทำอะไรบ้าง ทว่าตบะของทั้งสองคนห่างกันเกินไป นางกลัวว่าช่วยคนไม่สำเร็จกลับจะเป็นการทำร้ายอาจารย์
ใช่แล้ว อาจารย์ปู่!
มั่วชิงเฉินนึกถึงหลิวซางเจินจวินขึ้นมา รู้สึกปิติ กลับไม่กล้าจากไป หากแต่ส่งยันต์ส่งสารไปใบหนึ่ง
เพียงชั่วครู่หลิวซางเจินจวินก็เร่งมาถึงแล้ว เห็นสภาพของกู้หลีแล้วสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย
“ท่านอาจารย์ปู่…” มั่วชิงเฉินเดินขึ้นหน้าก้าวหนึ่ง
หลิวซางเจินจวินกลับส่ายศีรษะว่า “รอเขาได้สติขึ้นมาเอง”
นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณไม่บอบบางเหมือนักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน ที่จิตมารจะทำลายใจเต๋าได้อย่างง่ายดาย ด้วยเหตุนี้จึงมีเหตุการณ์เช่นนี้ ทางที่ดีที่สุดคือรอให้เขาต่อต้านจิตมารได้ด้วยตนเองก็จะได้สติขึ้นมาเอง
เพราะหากมีผู้อื่นช่วยเหลือแม้ได้สติเร็ว กลับไม่เป็นผลดีต่อการเจริญเติบโตของจิตใจ และหลังจากได้สติขึ้นมาด้วยตนเองสภาพจิตใจก็จะสูงขึ้นขั้นหนึ่ง
ว่าไปแล้ว นี่ก็เป็นโอกาสการขัดเกลาจิตใจที่หายากเช่นกัน
เพราะนักบำเพ็ญเพียรตบะยิ่งสูง สภาพจิตใจก็ยิ่งยากที่จะปั่นป่วน โอกาสในการฝึกฝนขัดเกลาจิตใจเช่นนั้นก็ยิ่งน้อย
แน่นอนสิ่งที่คนนอกจะทำ ก็คือคุ้มกันให้เขา ไม่ให้สิ่งนอกกายรบกวน มิเช่นนั้นก็ไม่มีทางที่จะฟื้นตลอดไปจริงๆ แล้ว
มั่วชิงเฉินฟังคำพูดของหลิวซางเจินจวินแล้ว แอบโล่งใจ ยังดีที่ตนไม่ได้ลงมือโดยพลการ
แม้มีหลิวซางเจินจวินคอยดูอยู่ข้างๆ ทว่าเห็นท่าทางเหงื่อเย็นโทรมกายของกู้หลีแล้วยังคงใจตุ๊มๆ ต่อมๆ กัดริมฝีปากตามองไม่กะพริบ
“เจ้าอยากให้นางปล่องวาง หรือวางไม่ลง?” เสียงนั้นยิ่งพูดยิ่งดัง ราวกับสามารถบุกออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจพุ่งตรงขึ้นชั้นเมฆได้ตลอดเวลา
ทันใดนั้นแสงสีเขียวแวววาม ลำแสงส่องทะลุชั้นเมฆที่หนาทึบ หยาดน้ำค้างใสเย็นตกลงกลางใจ
กู้หลีตัวสั่น สติสัมปชัญญะค่อยๆ กระจ่าง
เสียงที่อ่อนโยนสงบเสียงหนึ่งปลอบประโลมเสียงที่บีบคั้นนั้นอย่างเงียบๆ ว่า “ข้าหวังว่านางจะปล่อยวาง ข้าเป็นอาจารย์ของนาง ชักนำนางสู่ทางแห่งการบำเพ็ญเพียร หวังว่าจะได้เห็นนางยิ่งเดินยิ่งไกล ไม่ใช่กลายเป็นหินขัดขา[2]นางระหว่างทาง”
เสียงนั้นค่อยๆ เบาลง กลับถามอย่างไม่ยอมว่า “เช่นนั้นเจ้าล่ะ เจ้าจะทำเช่นไร?”
เสียงอีกเสียงหนึ่งยิ่งอ่อนโยนขึ้นว่า “ข้ายังคงเป็นอาจารย์ของนาง”
ในที่สุดเสียงนั้นก็หลบหายไป ราวกับไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน กู้หลีลืมตาขึ้นช้าๆ
เห็นหลิวซางเจินจวินแล้วสะดุ้งว่า “ซือจุน”
สีหน้าของหลิวซางเจินจวินกลับดำเหมือนก้นหม้อ นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าศิษย์คนเล็กที่แต่ไหนแต่ไรมามีชื่อในด้านเย็นชาสงบเงียบของเขา จะจิตใจสับสนเพราะการปรากฏตัวของนางปีศาจนั่นอย่างง่ายดายถึงเพียงนี้
แม้จะพูดว่าหลังการทดสอบของจิตมารสภาพจิตใจจะสูงขึ้นขั้นหนึ่ง ทว่านี่ก็พอที่จะอธิบายว่านางปีศาจนั่นมีผลกระทบต่อเหอกวงมากเพียงใด
“เหอกวาง เจ้ากำชับเสร็จหรือยัง?” หลิวซางเจินจวินหนังหน้าไม่แม้แต่จะขยับ
เห็นมั่วชิงเฉินเบิกตาดอกท้อกลมโตมองตนอยู่ ความห่วงใยในดวงตาปิดก็ปิดไม่มิด กู้หลีสีหน้าแดงเล็กน้อย เป็นอาจารย์สั่งสอนลูกศิษย์ พูดไปพูดไปตนกลับธาตุไฟเข้าแทรก นี่ก็เป็นเรื่องอัศจรรย์เรื่องหนึ่งแล้ว
“ซือจุน ศิษย์กำชับเสร็จแล้วขอรับ ชิงเฉิน เจ้าก็ตามอาจารย์ปู่ไปเถอะ” กูหลีพูดอย่างสงบ โคนหูกลับแดงขึ้นมาเล็กน้อย
มั่วชิงเฉินรู้ว่าเรื่องนี้สำหรับกู้หลีแล้วออกจะกระดากเล็กน้อยจริงๆ เมื่อนึกถึงว่าเป็นเพราะจิ้งจอกหิมะนั่น ในใจก็รู้สึกระทมเล็กน้อย กลับไม่กล้าแสดงออกแม้แต่น้อย ยิ้มหวานว่า “ซือจุน ท่านรักษาตัวด้วย ชิงเฉินไปแล้วเจ้าค่ะ”
พูดพลางโบกมือให้กู้หลี แล้วตามหลิวซางเจินจวินกลายเป็นลำแสงสายหนึ่งจากไปไกล
กู้หลียืนอยู่บนฟ้า ลมพัดชุดสีเทาและเส้มผมสีเงินสองสามปอยที่มุมจอนขึ้น ผ่านไปครู่หนึ่งจึงหันหลังกลับไป
หลิวซางเจินจวินพามั่วชิงเฉินบินได้ชั่วครู่ ก็พาหลัวเตี๋ยจวินที่รออยู่ข้างๆ ไปด้วย สามคนเร่งรุดไปเทือกเขาฟางจูที่พรรคเหยากวางตั้งอยู่ด้วยความเร็วยิ่ง ระหว่างทางไม่ได้หยุดพักใดๆ ทั้งสิ้น เพียงไม่กี่วันก็เห็นเทือกเขาฟางจูที่ทอดยาวสูงตระหง่าน
มองดูภูเขาสายน้ำที่คุ้นเคย มั่วชิงเฉินรู้สึกเหมือนผ่านไปอีกยุคหนึ่ง นักบำเพ็ญเพียร วันเวลาช่างผ่านไปอย่างง่ายดายจริงๆ พริบตาเดียวก็ไม่ได้กลับมาสิบกว่าปีแล้ว
อาจเพราะศึกเต๋ามารและวิกฤตอสูร ศิษย์ระดับสร้างรากฐานขึ้นไปถูกส่งไปร่วมรบไม่น้อย ที่เหลืออยู่ในสำนักนอกจากส่วนหนึ่งที่อยู่คุ้มกันสำนักโดยเฉพาะ ก็คือศิษย์ที่กลับจากสนามรบมารักษาอาการบาดเจ็บพักรบ
ทอดสายตามองไปเหยากวงแม้ยังคงครึกครื้นดังเดิม ศิษย์ที่ไปมาขวักไขว่ไม่ขาดสาย กลับแทบจะเป็นศิษย์ระดับหลอมลมปราณทั้งหมดแล้ว
ไม่เหมือนในอดีต ไม่ว่ามองไปทางไหนก็จะเห็นศิษย์ระดับสร้างรากฐานเดินอย่างเร่งรีบ
เห็นสามคนที่ค่อยๆ ร่อนลงจากฟ้า ไม่คิดว่าผู้นำจะเป็นหลิวซางเจินจวิน ศิษย์พวกนั้นกราบคารวะลงไปเป็นการใหญ่ “ขอกราบคารวะท่านหลิวซางเจินจวิน”
ศิษย์เขาชิงมู่บางส่วนยิ่งรู้สึกมีหน้ามีตา หลิวซางเจินจวินเป็นเจ้าหุบเขาของเขาชิงมู่เชียวนะ แม้มีท่านผู้เฒ่าไท่ซ่างอันดับหนึ่งอยู่ แต่ไม่ได้ปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนหลายปีแล้ว ใครๆ ก็รู้ว่าหลิวซางเจินจวินก็คือผู้กุมอำนาจที่แท้จริงของพรรคเหยากวงในภายภาคหน้า
หลิวซางเจินจวินพยักหน้าแผ่วเบา สั่งพวกมั่วชิงเฉินสองคนกลับเขาป่าไผ่ก่อน ส่วนตนมุ่งตรงไปยังตำหนักใหญ่เขาโฮ่วเต๋อ
มั่วชิงเฉินกวาดมองศิษย์ทั้งหลายปราดหนึ่ง เผยรอยยิ้มนิ่งเรียบ แล้วอัญเชิญเรือเมฆาออกมาพาหลัวเตี๋ยจวินบินไปยังเขาป่าไผ่ ทิ้งเสียงวิจารณ์เซ็งแซ่ของศิษย์พวกนั้นไว้ข้างหลังจนหมด
ค่อยๆ ร่อนลงที่เขาป่าไผ่ มั่วชิงเฉินยิ้มว่า “สหายเต๋ามั่ว นี่ก็คือที่พำนักของอาจารย์ข้า”
มองดูไผ่เขียวพลิ้วไหว ทุ่งหญ้าหอมหวน เงาหลังบอบบางสองเงากำลังก้มตัวยุ่งกับงานในสวนยา หลัวเตี๋ยจวินชมว่า “ช่างเป็นสวรรค์บนดินจริงๆ เพียงยืนอยูที่นี่ ใจก็รู้สึกสงบ”
หญิงสาวสองคนที่ได้ยินเสียงหมุนตัวมาด้วยความระแวง เมื่อสายตาตกลงบนตัวมั่วชิงเฉินสีหน้ากลับปิติขึ้นมา โยนจอบยาตะกร้ายาในมือทิ้งแล้ววิ่งเข้ามา
“คุณหนู ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว”
——
[1] ขวางไม่สู้ชักนำ หมายถึง การจัดการกับปัญหา เนื่องจากยังไม่รู้ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นว่าจะร้ายหรือดีอย่างไร แทนที่จะใช้ไม้แข็งขัดขวาง ควรใช้วิธีชักนำให้ดำเนินไปในทางที่ถูกที่ควรดีกว่า
[2] หินขัดขา หมายถึง ตัวถ่วง