บทที่ 200 – ฤดูกาลที่สอง (3)
[ผ้าคลุมลาวาเฟลิกซ์ (ตำนาน)
ความทนทาน – 500/500 (ซ่อมแซมอัตโนมัติ)
ป้องกัน – 2000
ความต้องการอุปกรณ์ – คังชิน
ผลเสตตัส – ความคล่องแคล่ว +40 พลังเวทย์ +40 เสน่ห์ +40 ต้านทานการซุ่มโจมตีทุกชนิด ดูดเพลิงจะถูกใช้งานตลอดเวลา
ดูดเพลิง – ดูดเปลวเพลิงทั้งทั้งหมดไปจนถึงระดับ SSS และเปลื่ยนให้เป็นพลังเวทย์และความทนทาน เพลิงระดับสูงกว่าสามารถทำให้มันไร้ผลได้ แต่เพลิงระดับ EX ไม่สามารถทำอะไรได้]
แม้ว่าฉันจะมีคำถามอีกมาก แต่ฉันก็ได้ถามคำถามที่สำคัญที่สุดก่อน
“อะไรคือเพลิงระดับ EX หรอหลิน?”
“ลองนึกภายลมหายใจเพลิงของมังกรที่มังกรที่มีอายุกว่า 10,000 ปีได้เตรียมมันไว้ในคอสิ นั่นมันก็คือระดับ EX หรือไม่ก็จินตการถึงเดม่อนลอร์ดจากทวีปรูก้ายอมสละแขนเพื่อสร้างเพลิงระดับ EX นั่น มันเป็นการยากสำหรับดันเจี้ยนที่จะประเมินค่าอะไรที่สูงขนาดนั้น ดังนั้นคิดแค่ว่าพวกมันทั้งหมดคือระดับ EX นั่นแหละ
“ถ้างั้นมันก็คือเพลิงที่มีระดับยิ่งใหญ่ที่สุดที่สามารถจะทำลายได้แม้แต่ผู้ใช้สินะ ฉันไม่สงสัยเลยถ้าหากเดม่อนลอร์ดจะยอมเสี่ยงเพื่อใช้อะไรแบบนั้น ถ้างั้นฉันคิดว่าฉันจะต้องมีปัญหาแน่ๆถ้าฉันคิดว่าฉันป้องกันเพลิงทั้งหมดได้…”
“นั่นแหละ นายก็คิดได้นี่”
หลินได้หยักหน้าอย่างพอใจ จากนั้นเขาก็หันมาหาฉันและพูดต่อมา
“คังชินระวังเรื่องเกราะเอาไว้ แม้ว่าฉันจะทำมันขึ้นมาแต่มันก็พยศเกินไป ฉันได้เพิ่มความก้าวร้าวในธรรมชาติของมันทำให้มีโอกาสตีติดคริติคอลเพิ่มขึ้น แต่ว่าความก้าวร้าวนี่มันก็เพิ่มโอกาสโดนโจมตีติดคริคอลเหมื่อนกัน มันจะมีปัญหามากทีเดียว แล้วก็โดยเฉพาะผลข้างเคียงทักษะกลืนกิน”
“นายหมายถึงการกลายพันธ์งั้นหรอ?”
“ใช่นั่นแหละ ฉันเห็นคนจำนวนมากที่ทำเป็นเล่นกับมัน แต่ว่าสุดท้ายก็จบด้วยมัน สิ่งที่ฉันอยากจะพูดก็คืออย่าใช้ทักษะกลืนกินมากไปเข้าใจนะ? ถ้าหากนายกลายพันธ์เนื่องจากว่ามีเดม่อนลอร์ดเป็นส่วนประกอบ… พี่สาวได้ฆ่าฉันแน่”
หลินได้จ้องไปที่สร้อยข้อมือสีดำบนมือของฉันด้วยท่าทางที่เหมือนกับว่า ‘ฉันควรเอามันคืนมาดีไหม?’ ฉันได้หยักหน้าอย่างจริงจังและตอบกลับไป
“ฉันมีภูมิต้านทานการกลายพันธ์ ดังนั้นมันไม่มีปัญหา”
“ใช่แล้ว เพราะนายมีภูมิต้านทานการกลายพันธ์ นายก็ควรจะไม่ใช่…. ต้านทานการกลายพันธ์!?”
“ใช่แล้ว มันไม่ใช่ว่าการต้านทานการกลายพันธ์มันเป็นพื้นฐานของนักสำรวจทั้งหมดหรอ มีนักสำรวจที่ไม่มีการต้านทานการกลายพันธ์ด้วยหรอ นั่นก็คงไม่มีใช่ไหมล่ะ?”
“อึก กึกกก…. ฉันอยากจะ… ต่อยแกจริงๆ….!”
ฉันได้ขอบคุณหลินอีกครั้งและออกมาจากส่วนแฟรี่ ด้วยเหตุผลบางอย่างท่าทางของหลินดูจะไม่ค่อยมีความสุขในตอนฉันขอบคุณเขา
[Name: Kang Shin Race: Human Sex: Male
Class: Elementalist (Sub – Skill Mixer, Tamer) Title: Savior Hero Rank: Gold 7
Level: 60
HP – 55,860/55,860 MP – 60,960/60,960
Strength – 275(+124) Dexterity – 250(+127) Constitution – 250(+79)
Intelligence – 40(+82) Magic – 320(+157) Charm – 87(+147) Luck – 39(+72)
Normal Skills – High-rank Martial Arts (Lv 7), Peruta – Mad Typhoon (Lv 2), High-rank Crossbow Marksmanship (Lv 1), Wing King’s Rage (Lv 3), High-rank Heroic Strike (Lv 3), High-rank Provoke (Lv 7), Divine Speed (Master), Return (Master), Peruta Circuit (Lv 9), Dimensional Travel (Lv 5), Overwhelm (Lv 3), Absolute Soul (Lv 3), Deific Manifestation, Riding
Class Skills – High-rank Spirit Mastery (Lv 4), High-rank Spirit Aura (Lv 3), High-rank Elemental Control (Lv 3), High-rank Elemental Contract (Lv 3), Lightning Spear Storm (Lv 2), Mid-rank Elemental Blade (Lv 9), Mid-rank Elemental Tempest (Lv 9)
Subclass Skill – Endow Skill, Taming (Lv 4), Spirit of the Collector, Spirit of the Mixer, Spirit of the Tamer (Lv 4)]
ก่อนที่ฉันจะท้าทายชั้นที่ 60 ฉันได้ตรวจสอบสเตตัสของฉันอีกครั้งเพื่อที่จะฉลองกับการได้รับอุปกรณ์ไหม ในเวลาเดียวกันฉันก็ได้ใช้โบนัสสเตตัสทั้งหมดที่ฉันยังไม่ได้ใช้มาใช้ในตอนนี้ ฉันพึ่งจะรู้ตัวว่าฉันกลายเป็นนักสำรวจระดับทองแร้ง 7 แล้ว และแต้มสเตตัสของฉันมันก็ยังพัฒนามาสูงจนไม่น่าเชื่อ ความแข็งแกร่ง ความคล่องแคล่ว และความอดทนมันไม่จำเป็นจะอธิบายอะไรมากนัก ในขณะที่สติปัญญาของฉันมันมีอยู่แค่ 40 เท่านั้น แต่ว่ามันก็ได้โบนัส 32 แต้มซึ่งเทียบได้กับแต้มสเตตัส 2 เท่า แม้แต่โชคของฉันมันก็มีมากถึง 111
สำหรับพลังเวทย์ซึ่งเป็นสเตตัสที่สูงที่สุดของฉันฉันไม่รู้ว่าจะพูดอะไรกับมันมี มันเป็นสเตตัสที่ไม่สามารถจะเพิ่มได้เหมือนทักษะอื่นๆ มันจะเพิ่มขึ้นเองตามธรรมชาติในตอนที่ฉันใช้งานวงจรเพรูต้า
ในแง่ของสเตตัสแล้วฉันแทบจะเป็นคนหนึ่งที่มีสเตตัสที่สูงมาก แม้ว่ามันจะถูกเพิ่มด้วยไอเทมสวมใส่ระดับตำนานสองชิ้น ฉันก็ยังแปลกใจมาทีเดียวกับสเตตัสเหล่านี้
แน่นอนว่าฉันยังคงรู้สึกว่าฉันแข็งแกร่งขึ้นในทุกๆครั้งที่สเตตัสเพิ่มขึ้น แต่ว่าด้วยการที่มีการเพิ่มขึ้นของสเตตัสอย่างรวดเร็วทำให้ร่างกายของฉันยังไม่ได้ถูกปรับตัวให้เข้ากับการเปลื่ยนแปลงและยังต้องรอกระบวนการอีพเดทอีกด้วย ด้วยแต้มสเตตัสทั้งหมดนี้ทำให้ฉันได้เข้าใกล้การทะลวงชั้นที่ 100 มากยิ่งขึ้นไปอีก
ยังไงก็ฉันก็ยังไม่มั่นใจนัก มีหลายๆอย่างที่ฉันได้ไปเรียนรู้มาจากทวีปพาแนน กับดัก การโจมตีแบบพิเศษ ความห่างชั้นของระดับพลัง ด้วยสิ่งท้งหมดนี้มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมามีความสุขกับการแค่เพิ่มแต้มสเตตัสเพียง 10 หรือ 20 ไม่ได้ กลับกันฉันได้รู้ตัวว่าฉันจะต้องเน้นไปที่การฝึกทักษะซึ่งมันเป็นพลังเฉพาะตัว
เพราะอย่างนั้นการที่ทักษะทั้งหมดเพิ่มขึ้นหลังจากได้เอาชนะศัตรูของโลกก็คือประโยชน์ที่มหาศาล แม้ว่าทักษะจะต้องใช้การอัพเดตเหมือนสเตตัสด้วยก็ตามที
“นั่นมันหมายความว่าบียอนก็ยิ่งสำคัญ”
การเคลียร์บียอนไม่เพียงแต่เพิ่มพลังชีวิตและมานาเท่านั้น แต่มันยังเพิ่มค่าประสบการณ์ให้กับทักษะที่ชั้นใช้ในตอนเคลียร์ชั้นอีกด้วย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าบียอนจะช่วยฉันในการฝึกทักษะ ตัวฉันในปัจจุบันยังขาดพลังอยู่เพื่อที่จะเอาชนะเดม่อนลอร์ดที่ฉันเจอในทวีปลูก้า นอกจากนี้ฉันต้องคำนึงถึงศัตรูของโลกอื่นที่ยังไม่ปรากฏตัวอีกด้วย ฉันยังไม่สามารถพอใจกับเพียงแค่นี้ได้ ฉันจะต้องแข็งแกร่งมากกว่านี้
แม้ว่ามันยังผ่านไปไม่ถึงเดือนนับตั้งแต่ที่โรเล็ตต้าได้บอกฉันว่ามีเวลาสูงสุดแค่สองปี ฉันก็ยังคงรู้สึกกระวนกระวาย บางทีมันอาจจะเป็นเพราะว่ามีหลายๆอย่างเกิดขึ้นในเดือนนี้ ไม่ว่ายังไงฉันก็ทำอะไรกับมันไม่ได้ การที่รู้ว่าอาจจะต้องตายในสองปีและโลกล่มสลายไปมันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะนิ่งเฉยกับมันได้ สิ่งที่สำคัญไปกว่านั้นคือฉันรู้ว่าจะต้องทำยังไงกับมัน
เพื่อที่จะจัดการกับความกังวลนี้ฉันจึงตัดสินใจที่จะจัดการกับชั้นที่ 60 ก่อน ในทุกๆครั้งที่ฉันเจออะไรที่ซับซ้อนหรือในตอนที่ฉันเหนื่อยกับความเครียดในชีวิตการปีนดันเจี้ยนคือสิ่งที่ดีที่สุด
…แม้ว่าฉันจะรู้สึกว่าลืมอะไรไป แต่ฉันก็ตัดสินใจที่จะไม่สนมัน
เหมือนกับเมื่อก่อนเมื่อฉันใส่มานาลงไปในสร้อยข้อมือเกราะก็จะออกมา ชุดเกราะชุดนี้ไม่เหมือนกับชุดเกราะเกล็ดมังกรสีชาด มันมีสีดำตลอดทั้งร่างกายเหมือนกับชื่อของมัน นอกจากนี้เกราะสีดำยังมีรูปแกะสลักที่ดูแปลกและซับซ้อนเหมือนกับเวทมนตร์
รอยแกะสลักสีดำเหล่านี้ยังคงส่องประกายสีดำและดึงดูดความสนใจของฉัน มันเรืองแสงจางๆซึ่งดูเหมือนจะดูดฉันเข้าไปในตอนที่มองมัน โดยรวมแล้วเกราะนี้มันเท่จนกระตุ้นความต้องการในช่วงวัยรุ่นของฉัน
ด้วยความช่วยเหลือของเกราะใหม่นี้ฉันได้ทะลวงผ่านชั้นที่ 60 ในเวลา 3 ชม.และมาถึงหน้าห้องบอส ถัดไปจากฉันคือล็อทเต้ที่อยู่ในร่างของมนุษย์ ในอดีตเธอไม่สามารถจะกางปีกในทางเดินแคบๆนี้ได้ทำให้เธอเข้ามาไม่ได้ แต่ในตอนนี้เธอได้รับร่างมนุษย์มาแล้วดังนั้นเธอจึงเป็นผู้ช่วยฉันที่ยอดเยี่ยมซึ่งมีทั้งพลังและความรวดเร็ว
“ฟู่ววว เมื่อคำนวนจากจำนวนของโกเลมที่เพิ่มขึ้นตามแต่ละชั้นที่เราขึ้นมาแล้วบอสก็น่าจะเป็นโกเลมเหมือนกันนะ….”
“โกเลมมันน่ารำคาญเพราะว่าเล็บของฉันเจาะพวกมันไม่ได้มากนัก ยังไงก็เถอะเรามาจบเรื่องนี้และไปพักกันเถอะฮีโร่”
ล็อทเต้และฉันได้ทำลายพวกมันด้วยการใช้ออร่าในการโจมตีหรือไม่ก็ลมหายใจเพลิง
ยังไงก็ตามเพราะดันเจี้ยนนี้ชอบแกล้งนักสำรวจมันจึงเป็นไปได้ที่บอสอาจจะเป็นมิมิค ฉันได้จับปลายหอกแน่นและเตะประตู
“มาสู้กัน”
[ก๊าซซซซซซซซซซซซ]
เสียงคำรามที่ดังและแปลกประหลาดได้ดังออกมาทักทางเรา ฝ่าเบดานที่สูงกว่าปกติและยักษ์โลหะขนาดมหึมาที่มองลงมาที่พวกเรา มันมีลักษณะที่คล้ายกับมนุษย์สูง 12 เมตรที่หุ้มได้ด้วยเหล็ก ฉันรู้สึกตื่นเต้นอย่างมากกำสิ่งที่ฉันไม่ได้พบเจอมาเป็นเวลานาน
“ล็อทเต้ที่นี่เธอบินได้”
“ฉันกำลังรอคำนั้นอยู่เลยฮีโร่”
ล็อทเต้ได้เปลื่ยนเป็นร่างไวเวิร์นของเธอในทันที ฉันได้กระโดดไปบนหลังของเธอและยกหอกขึ้น มันเป็นโอกาสที่สมบูรณ์แบบที่จะทดสอบพลังของเกราะไหม หนามแห่งปรารถนาและกลืนกันทั้งสองทักษะนี้เป็นทักษะที่มีคำอธิบายตรงๆ แต่ว่าทักษะสังเวยมันค่อนข้างจะคลุมเครือ
[สังเวย – ใช้ได้กับทุกๆการโจมตี รับความเสียหายครึ่งหนึ่งจากความเสียหายทักษะแต่จะเพิ่มผลของทักษะเป้นสองเท่า ความเสียหายที่ได้รับจากสังเวยจะไม่สามารถลดพลังชีวิตของคุณจนต่ำกว่า 10%]
เหมือนกับชือของมันมันเป็นการตัดเนื้อตัวเองเพื่อเฉือนกระดูกศัตรู แม้ว่าทักษะนี้มันจะไม่ได้ฆ่าฉัน แต่มันก็อาจจะทำให้ฉันเกือบตายได้เช่นกัน ดังนั้นฉันต้องใช้มันอย่างระวัง
ส่วนที่น่าสงสัยก็คือจะได้รับความเสียหายครึ่งหนึ่งของทักษะ มันจะเป็นความเสียหายจากการคูณสองเท่าของทักษะหรือว่าจะเป็นความเสียหายจากทักษะแบบปกติกันแน่ ดังนั้นฉันจึงพยายามที่จะเรียนรู้มัน
ฉันได้เตรียมใช้การสังเวบและเล็งหอกไปทางศัตรูในทันที
[ก๊าซซซซซซซซซ]
โกเลมยักษ์ได้ยกหมัดของมันขึ้นและแยปตรงมาที่ฉัน เจ้านี้มันเป็นมวยนี่! แม้ว่าล็อทเต้จะดูประหลาดใจกับหมัดที่รวดเร็ว แต่เธอก็ได้บินหลบไปข้างหลังอย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกันฉันก็ได้รวบรวมพลังอยู่ภายในหอกของฉันอย่างช้าๆ สังเวยไม่ใช่ทักษะที่สามารถใช้ได้เพียงวันละครั้ง ดังนั้นมันไม่จำเป็นจะต้องเก็บทักษะเอานี้ไว้เลย หากไม่มีอะไรที่ผิดพลาดฉันจะใช้มันในตอนนี้
“ใบมีดธาตุ”
หอกของฉันได้มีใบมีดยืดยาวออกมากว่า 10 เมตรในทันที หลังจากนั้นฉันก็ใช้สังเวบและให้ล็อทเต้เร่งความเร็วขึ้นเข้าไปแทงที่ไหล่ของโกเลมยักษ์
[ติดคริติคอล]
[ก๊าซซซซซซซซซซซ]
“อุหว่า เจ็บแหะ”
ความเจ็บปวดมันมากพอทำให้ฉันร้องออกมา ในทันทีที่ฉันตัดแขนของโกเลม ฉันได้ตรวจสอบพลังชีวิตหลังจากรู้สึกถึงความเจ็บทันที น่าทึ่งที่พลังชีวิตของฉันลดลงไปถึง 35% ฉันไม่สามารถใช้ทักษะนี้ได้อย่างระมัดระวังแน่ๆ ฉันได้กัดฟันแน่นและดื่มมานาโพชั่นลงไป ในตอนนั้นล็อทเต้ก็เรียกฉัน
[ฮีโร่]
“ว่าไงมีอะไรหรอ?”
[เจ้านั่นดูจะอ่อนแอมาก]
“….อะไรนะ”
ฉันได้มองไปอย่างสับสน โกเลมที่เสียแขนไปได้คำรามออกมาและพุ่งเข้ามาหาฉัน แน่นอนว่ามันดูน่าสงสารมาก เดี๋ยวก่อนนะ ใบมีดธาตุนั้นทรงพลังแต่ว่ามันพอที่จะตัดแขนในทันทีเลยหรอ?
“ความเสียหาย 50% ที่ฉันได้รับมา….”
มันเจ็บมากเพราะมันติดคริติคอลงั้นหรอ? แต่ว่าถึงแม้จะติดคริติคอลมันก็เพิ่มแค่ 2 เท่า นั่นมันหมายความว่าใบมีดธาตุที่มีทักษะสังเวยด้วยได้เพิ่มความเสียหายจากปกติ 4 เท่า อืมม ฉันไม่เข้าใจเลยว่ามันทำงานได้ดีแค่ไหน บางทีอาจจะเป็นเพราะว่ามันมีกระดูกและทำให้ผลของนักทำลายกระโหลกทำงาน…อ๊าาาา
[ฉันจะฆ่าแก เจ้ามนุษย์!!!!!!!]
เจ้านี่มันจะมีกระดูกแน่หรอ?