บทที่ 206 – คุณสมบัติของนักสำรวจ (3)
ในชั้นที่ 61 มอนสเตอร์ประเภทค้างคาวได้เริ่มปรากฏออกมา แม้ว่าดันเจี้ยนจะไม่สามารถใช้เหตุผลในแง่ของมอนสเตอณ์ที่ปรากฏออกมาได้ก็ตาม แต่ว่าค้างคาวนี้คือมอนสเตอร์ที่มันอยู่นอกเหนือไปจากความคิดของฉันโดยสมบูรณ์ ฉันไม่สามารถจะตำหนิความคิดนี้ของฉันได้เพราะพวกมันอ่อนแอกันจนเกินไป
แน่นอนว่าพวกมันไม่ใช่ค้างคาวตัวเล็กๆที่เราเจอกันบนโลก พวกมันเป็นค้างคาวยักษ์ที่มีกรงเล็บเหมือนใบมีดและปีกที่คมกริมซึ่งยิงออร่าออกมาได้ พวกมันมีความเร็วที่สูงและมีพลังโจมตีที่ทำให้พวกมันดูยากกว่าที่ฉันคิดเอาไว้
ในชั้นที่ 63 ก็มีพวกค้างคาวดูดเลือกโผล่ออกมา พวกมันจะพยายามฝังเขี้ยวระหว่างเกราะของฉันอยู่เสมอ ฉันยิ่งรู้สึกรำคาญมันมากขึ้น ถ้าหากว่าฉันหันไปสบตากับพวกมั ฉันก็มั่นใจเลยว่าฉันสามารถจะทำให้พวกมันกลายมาเป็นหินได้ แต่โชคร้ายว่าหากฉันไม่ใช้ความเร็วศักดิ์สิทธิ์ฉันก็ไม่สามารถหันหน้าไปตามความเร็วของพวกมันทัน
ในสถานนี้ส่วนใหญ่ฉันจะใช้แค่พลังของชาราน่าและตัดพวกตัวที่อยู่ในเส้นทางที่อยู่ข้างหน้าของฉัน อย่างที่ฉันได้บอกไปในตอนที่มันยิงออร่าดาบออกมาหรือไม่ก็พยายามจะกัดคอฉัน ฉันก็ต้องหยุดลงเล็กน้อย แม้ว่าฉันจะดูถูกพวกมันเอาไว้และคิดว่าดันเจี้ยนจะไม่นำมันมาเป็นมอนสเตอร์ แต่นั้นมันไม่ใช่เลย ในความจริงแล้วมันยากยิ่งกว่าในชั้นที่ 59 ซึ่งมีทั้งโกเลมและมิมิคซะอีก
ไม่ว่ายังไงก็ตามดันเจี้ยนที่หนึ่งไม่ใช่สถานที่ๆจะทำให้ฉันต้องเสียเวลากับมันหลายชั่วโมง ในตอนนี้ฉันได้ตระหนักว่าฉันได้ผ่านมาตราฐานของดันเจี้ยนที่หนึ่งไปนานแล้ว แม้ว่ามันจะไม่ใช่เหมือนกับการเดินเล่นในสวน แต่ว่ามันก็ยังคงลื่นไหล
ส่วนในบียอนชั้นที่ 11 นั้นแตกต่างไปจากค้างคาวโดยสิ้นเชิง กูลยักษ์นั้นทั้งทรงพลังและตายยาก แม้ว่ามันจะช้าอย่างมากก็ตามที สิ่งนี้เป็นผลให้ฉันต้องจบลงด้วยการต่อสู้นกับมอนสเตอร์ที่ว่องไวในดันเจี้ยนที่หนึ่งและมาต่อสู้กับมอนสเตอร์ที่ช้าและตายยากในบียอน ด้วยทักษะของกูลยักษ์ที่มันจะใช้ทักษะไม่ยอมตายในตอนที่พลังชีวิตเหลือน้อยฉันได้เรียนรู้ที่จะประเมินในพลังชีววิตของศัตรูที่เหลืออยู่และใช้วิธีการโจมตีสุดท้ายที่ฆ่ามันในทันทีก่อนที่มันจะได้ใช้ทักษะไม่ยอมตาย
ยังไงก็ตามเมื่อฉันฉันได้มาถึงบียอนชั้นที่ 13 หลังจากผ่านชั้นก่อนหน้านี้มาอย่างเอื่อยๆ ในที่สุดแล้วฉันก็ได้มาเจอกับสถานการณ์ทีมีปัญหา มันมีอัศวินโครงกระดูกจำนวนนับไม่ถ้วนที่ปรากฏตัวขึ้นมาบนม้าโครงกระดูก ในชั้นที่ 30 ของดันเจี้ยนที่หนึ่งพวกมันจะควบคุมแค่ทหารโครงกระดูกแทนที่จะแสดงพลังของตัวเอง แต่ว่ายังไงก็ตามในบียอนพวกมันแตกต่างออกไปอย่างชัดเจน ในตอนนั้นมันจะมีเพียงอัศวินเพียงคนเดียวที่นำทัพของมันราวกับเป็นหัวหน้า แต่ว่าในตอนนี้มันมีแต่ฝูงอัศวินที่เต็มไปด้วยพลังทำลายล้างเป็นกองกำลังหลัก
[ฆ่ามนุษย์ที่มีชีวิตอยู่]
[ทำลายสมองและระเบิดหัวใจมัน]
[ก๊าซซซซซ]
[เข้าไปเลย เข้าไป พามันไปสู่ความตาย]
กองทัพอัศวินโครงกระดูกได้แห่กันเข้ามาหาฉันด้วยใบหน้าน่ากลัว ในตอนที่พวกมันได้ใช้อันเดตคำรามซึ่งลดความเร็วสิ่งมีชีวิตทั้งหมดจนเหลือ 5% ฉันก็ไม่สามารถทำอะไรกับมันได้ โชคยังดีที่ว่าอันเดตคำรามมันไม่ได้เก็บสะสมสแตคเหมือนกับอันเดตคำราม ฉันไม่อยากจะจินตนาการเลยว่าหากมันเป็นแบบนั้นความเร็วของฉันจะช้าขนาดไหน
[มนุษย์ ส่งหัวเจ้ามา]
“ให้ก็บ้าล่ะ ความเร็วศักดิ์สิทธิ์”
ตอนที่ฉันโดนอันเดตคำรามเข้าไปมีเพียงแค่สามอย่างที่ฉันจะทำได้ อย่างแรกคือฉันสามารถใช้ความเร็วศักดิ์สิทธิ์เพื่อฟื่้นความเร็วกลับมาได้ครึ่งหนึ่งและจากนั้นก็หลบพวกมันที่พุ่งเข้ามา สองคือฉันใช้ผิวมังกรและทนการโจมตีของมันไว้จนหมดระยะเวลาของอันเดตคำราม สามคือใช้เสียงคำรามเยือกแข็งเพื่อลบผลสถานะด้านลบทุกอย่าง
เมื่อฉันได้ใช้พวกนี้ไปแล้ว ฉันก็ได้รู้วิธียิงลูกศรที่บรรจุพลังเวทย์ระเบิดเอาไว้เพื่อป้องกันพวกมันไม่ให้ร้องออกมา ชาราน่า ริยูและไพก้าก็ยังช่วยฉันในการปิดปากพวกมันอีกด้วย หากไม่มีอันเดตคำราม อัศวินโครงกระดูกพวกนี้ก็ไม่ได้ดูน่ากลัวเลยสักนิด
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือพื้นที่พิเศษของบียอนชั้นที่ 13 ในตอนที่ฉันหลบการพุ่งของอัศวินโครงกระดูก พวกมันก็จะวิ่งไปจนสุดทางจนกว่าจะชนกับกำแพง ยังไงก็ตามในวินาที่ที่พวกมันชนกับกำแพงพวกมันก็จะแยกออกมาเป็นสองตัว หรือก็คือในตอนที่พวกมันพุ่งเข้ามาหาฉัน ฉันจะต้องเผชิญหน้ากับพวกมันต้องๆไม่เช่นนั้นก้จะมีเพียงแต่ทำให้พวกมันเพิ่มจำนวนขึ้น ด้วยความสงสัยฉันได้พยายามชนกำแพงเหมือนกัน แต่ก็คามที่คิดเอาไว้ฉันไม่ได้แยกออกมาและมีเพียงแค่ความเจ็บที่อยู่ตรงจมูกของฉันเท่านั้น
อย่างที่ฉันได้พูดไปในก่อนหน้านี้ฉันสามารถจะผ่านบียอนชั้นที่ 13 นี้ด้วยเวลาเพียง 4 วัน แม้ว่าฉันจะเกือบตายไปหลายครั้ง แต่เนื่องจากว่าฉันได้ผ่านสถานการณ์แบบนี้มาหลายครั้งแล้ว ฉันไม่ได้ตกใจกับมันเลย
แต่เมื่อฉันนำกลับมาคิดอย่างจริงจังว่าการตายในบียอนมันหมายความว่าฉันจะเสียเวลาไปถึงหนึ่งเดือนมันทำให้อดที่จะตัวสั่นออกมาไม่ได้เมื่อคิดถึงมัน ยิ่งโลกก็เข้าใกล้การล่มสลายขึ้นทุกวันอยู่แล้วด้วย
ด้วยสิ่งที่ฉันเจอในชั้นที่ 13 ทำให้ฉันกังวลว่าฉันจะเจอกันรวมกันระหว่างกูลยักษ์กับอัศวินโครงกระดูกในชั้นที่ 14 แน่นอนว่าก่อนหน้านั้นฉันจะต้องผ่านชั้นที่ 64 ของดันเจี้ยนที่หนึ่งก่อน
โรเล็ตต้าได้ย้ำเตือนฉันซ้ำๆให้ระวังตัวให้มากในชั้นที่ 64 แต่ฉันก็รู้ว่าเธอเป็นห่วงเรื่องฉันมากเกินไปในช่วงนี้ มันดูเหมือนว่าเธอจะยังคงไม่สามารถเข้าใจในพลังของฉันได้อย่างเต็มที่
ด้วยความมั่นใจที่ฉันมีฉันมั่นใจว่าฉันสามารถจะตัดค้างคาวได้เหมือนกับในชั้นที่ 63 ฉันได้ขจัดความกังวลออกไปและขึ้นไปในชั้นที่ 64 ทันที
สิ่งที่เกิดขึ้นในครั้งล่าสุดทำให้ฉันวางแผนจะผ่านชั้นที่ 64 ในวันนี้พร้อมๆกับล็อทเต้
“ฟูวว มาสอบค้างคาวด้วยกันและไปทักทายสมาชิกใหม่…. เอ๊ะ?”
ชั้นที่ 64 มีบรรยากาศที่แตกต่างไปจากชั้นที่ 63 อย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางเดินได้แคบลงและแม้แต่สีก็ดูต่างไป มันดูเหมือนกับบรรยากาศแห่งความตายที่ทำให้ใจเต้นแรง
“ฉันสงบใจไม่ได้เลย”
ล็อทเต้ที่อยู่ในร่างของมนุษย์ได้พูดออกมาอย่างไม่สบายใจ ฉันได้ตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มที่ขม
“มันดูเหมือนว่าสถานที่แห่งนี้จะมีผลต่อจิตใจนะ ฉันคิดว่ามันคงไม่แปลกเกินไปหรอก ยังไงมันก็เป็นดันเจี้ยนที่หนึ่งนี่”
“ฮีโร่ ฉันไม่สามารถอยู่ในที่แบบนี้ได้นานนัก”
แม้ว่าฉันจะคิดว่าล็อทเต้าสามารถทนต่อความรู้สึกอึดอัดนี้ได้ แต่ล็อทเต้นั้นมีปฏิกิริยาตอบกลับที่รุนแรง แก้มของเธอได้แดงขึ้น
“มีอะไรหรอล็อทเต้ เธอโอเคนะ”
“ฮีโร่อย่าเข้ามาใกล้ฉัน รีบๆพาฉันไปที่พื้นที่พักอาศัยที ไม่สิพาฉันไปที่พักเดี๋ยวนี้”
“ดะ ได้ เข้าใจแล้ว”
“เร็วเข้า ถ้าหากฉันยังอยู่ที่นี่นานกว่านี้ มันจะจบด้วยการที่ฉันพุ่งเข้าใส่ฮีโร่”
“อะไรนะ มันเป็นเวทย์ที่ทำให้เกิดความคิดเป็นศัตรูกับพรรคพวกหรอ ให้ตายสินี่มันเป็นกับดักสำหรับปาตี้ รีบกลับเร็ซเข้า”
ฉันได้จับแขนล็อทเต้เอาไว้เพื่อพาเธอกลับไปพื้นที่พักอาศัย ยังไงก็ตามในวินาทีต่อมาเธอได้จับแขนของฉันเอาไว้ ฉันได้เงยหน้าขึ้นไปด้วยความรู้สึกไม่สบายใจ ดวงตาของล็อทเต้ดูจะลอยไปเล็กน้อย
“ฉันไม่สามารถทนได้อีกแล้วฮีโร่ อภัยให้ฉันด้วย”
“อภัยอะไร…”
“ไวเวิร์นเพศหญิงจะแข็งแกร่งขึ้นเป็นสามเท่าในตอนที่พวกเราจะผสมพันธ์… ระวังให้ดีเพื่อที่กระดูกจะไม่ถูกทำลาย”
“ผสมพันธ์!?”
ในวินาทีที่ฉันได้ยินคำนี้ ฉันได้ขยับตัวอย่างรวดเร็ว ฉันได้ใช้ความเร็วศักดิ์สิทธิ์แล้วคว้าล็อทเต้พาเธอวิ่งไปที่พื้นที่พักอาศัยในทันที หลังจากนั้นเผื่อหากว่าผลของสถานะยังคงหลงเหลืออยู่ ฉันได้วางเธอลงกับพื้นและรักษาระยะห่างเอาไว้ ทั้งหมดนี้ใช้เวลาเพียงแค่ 3 วินาทีเท่านั้น
“หือ ฮีโร่”
“ล็อทเต้ เธอโอเคนะ”
ล็อทเต้ได้มองไปรอบๆอย่างงุนงงราวกับว่าเธอเพิ่งจะตื่นขึ้นมา เมื่อเห็นว่าเธอโอเคแล้วฉันได้เริ่มเดินเข้าไปหาเธอ เมื่อล็อทเต้ได้มองเห็นฉันเธอได้หยักหน้าอย่างโล่งอกและพูดออกมา
“ฉันสบายดี รีบกลับไปที่ดันเจี้ยนกันฮีโร่”
“เธอไม่ได้สบายดีเลยสักนิด”
ฉันได้หยุดตัวเองในทันทีและถอยหลังไปประมาณร้อยก้าว ล็อทเต้ได้เม้มปากของเธอราวกับว่ามันเป็นความอัปยศ
“ถ้าหากว่าฉันไม่ได้กลัวมอนสเตอร์จะโจมตีเราในตอนที่เราเผลอ ฉันจะทำมันให้เสร็จที่นั่นแล้ว”
“ฉันเป็นมนุษญ์และเธอคือไวเวิร์นนะ”
“ฮีโร่กำลังพูดอะไรงั้นหรอ ไม่ว่าจะเป็นเมล็ดพันธ์อะไรที่ฉันยอมรับ ฉันก็สามารถที่จะให้กำเนิดไวเวิร์นได้ดังนั้นไม่ต้องห่วง”
“นั่นมันยิ่งทำให้ฉันกังวลนะ”
“แต่ฉันได้เลือกฮีโร่และละทิ้งไวเวิร์นทั้งหมด ดังนั้นฮีโร่ต้องรับผิดชอบและรับประกันกับฉันว่าฉันจะต้องมีลูกหลานต่อไป”
“งั้นไว้คุยเรื่องนี้กันทีหลังนะ โอเคไหม”
ดูเหมือนว่าฉันจำเป็นจะต้องหาไวเวิร์นเพศชายที่แข็งแกร่งที่เจ๋งมาซะแล้ว ฉันได้ทิ้งล็อทเต้ไว้ในบ้านพักและกลับเข้าไปในดันเจี้ยนอย่างรวดเร็ซ แน่นอนว่าฉันไม่ลืมที่จะกลับไปที่ร้านขายของชั้นที่ 63 และดีดหน้าผากโรเล็ตต้า
“เธอควรจะบอกฉันนะว่ามันมีกับดักแบบนี้”
โรเล็ตต้าได้ถูกหน้าผากของเธอและโต้กลับออกมาราวกับว่าเธอถูกทำร้าย
“แต่ว่าตามปกติแล้วมันเป็นข้อหามสำหรับเราที่จะบอกเรื่องชั้นถัดไป มันเป็นความรับผิดชอบของลูกค้าเองที่จะต้องเช็คไอเทมในร้านขายของและเตรียมที่จะไปชั้นต่อไปด้วยตัวเอง เพราะชั้นชื่นชอบชินเมื่อไม่นานมานี้ กิลด์ผู้ดูแลคนอื่นๆได้จับตามองฉันอยู่…. มันไม่ใช่ว่าฉันต้องการให้พรหมจรรย์ของชินมีความเสี่ยงนะ”
โรเล็ตต้ากำลังจะร้องให้ออกมา เรื่องที่เธอพูดออกมาในตอนนี้มันคือสิ่งที่ถูกต้อง มันเป็นเพียงเพราะว่าฉันเคยชินกับการที่ให้โรเล็ตต้าดูแลฉันมากเกินไป ฉันได้ลืมสิ่งที่นักสำรวจควรจะทำไป
มันเป็นความผิดของฉันเอง ฉันได้ก้มหัวลง
“ขอโทษนะ ทั้งหมดมันเป็นความผิดของฉันแค่ ฉันให้โรเล็ตต้าช่วยมากเกินไป ทีหลังฉันจะไม่ลืมตรวจสอบไอเทมแล้ว แล้วก็ถามโรเล็ตต้าอยากจะได้รางวัลสำหรับปัญหาที่ฉันสร้าง…”
โรเล็ตต้าได้ยินนมาในทันที ในขณะนั้นเธอได้ปัดผมออกไปเบาๆและยื่นแก้มของเธอมาหาฉัน หูที่ยาวของเธอขยับไปมาอ่างยินดีราวกับว่ากำลังจะกระโดดยาง โรเล็ตต้าดูน่ารักมาก
หลังจากที่ให้รางวัลเธอแล้ว ฉันได้กลับไปที่ชั้นที่ 64 หลังจากได้รับข้อมูลสำคัญมาแล้ว เมื่อซัคคิวบิได้ปรากฏออกมา ฉันได้นึกถึงซัคคิวบัสโลหิตที่ทำให้ฉันเกือบจะตายในทันที
ในวินาทีที่ฉันเข้ามาในชั้นที่ 64 มีเวทย์สเน่ห์ที่พยายามจะดึงดูดฉัน ในทันทีหลังจากนั้นก็ได้มีซัคคิวบิเข้ามาใช้เวทย์เสน่ในขณะที่แสดงที่โชว์ร่างกายที่มีเสน่ห์ออกมา มันดูเหมือนว่าล็อทเต้กับฉันได้หนีกันออกไปก่อนที่พวกมันจะมาถึง
“มนุษย์หล่อเหลา”
“มาหาฉันสิ”
“มานาที่สุกใสแบบนี้ เป็นมนุษย์ที่น่ารักมาก”
แน่นอนว่าด้วยวิญญาณสัมบูรณ์ ทั้งเวทย์เสน่ห์ของชั้นนี้หรือเวทย์เสน่ห์ของซัคคิวบิไม่ได้ทำอะไรฉันได้เลย ถ้ามันจะได้ผลก็แค่ดึงดูดให้มันดูน่าสนใจเล็กน้อยเท่านั้น หรือก็คือฉันไม่จำเป็นต้องมีไอเทมป้องกันเสน่ห์อะไรเลยสักนิด ฉันไม่มีความจำเป็นที่จะต้องพาล็อทเต้มาที่นี่เลยด้วยซ้ำ
ซัคคิวบิในชั้นที่ 64 นี้ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าซัคคิวบัสโลหิตเลย ในตอนที่พวกเธอได้รู้ว่าเวทย์เสน่ห์ไม่มีผผลกับฉัน พวกเธอได้เข้ามาโจมตีฉันในรูปแบบต่างๆ พวกเธอสามารถจะใช้เวทย์สถานะที่แข็งแกร่งได้และมีทักษะติดตัวด้วยมานาและพลังชีวิตจากฝ่ายตรงข้าม พวกเธอยังมีเวทย์ธาตุอีกด้วย และยังสามารถใช้การโจมตีทางกายภาพด้วยกรงเล็บที่ยาว
“เสน่ห์ไม่ได้หผล”
“งั้นก็เอาเขามาด้วยกำลัง”
“เหมือนว่าฉันจะยอมล่ะ”
ในอดีตฉันมักจะมีปัญหากับพวกกลุ่มศัตรูที่มีสติปัญญาที่สูงโจมตี ไม่ว่าเกราะหรืออาวุธของฉันจะดีแค่ไหน แต่ฉันก็ไม่สามารถจะจัดการกับพวกมันนับสิบได้โดยที่ไม่บาดเจ็บ
ยังไงก็ตามนั้นมันเป็นเรื่องของอดีต
“มองมาที่ตาฉันสิ”
“กรี๊ด ตาเขา…”
“ดวงตามาร….”
ซัคคิวบิทั้งหมดได้เปลื่ยนกลายเป็นหิน ดวงตามารของฉันในที่สุดแล้วก็ได้แแสดงพลังออกมา มอนสเตอร์ในชั้นที่ 56 – 60 นั้นไม่ได้มีตาดังนั้นฉันจึงไม่ได้ใช้งานดวงตามารเลยซักนิด ในบียอนดวงตามารก็ทำได้เพียงแค่ลดความเร็วของกูลยักษ์และอัศวินโครงกระดูกเท่านั้น ฉันรู้สึกมีความสุขมากที่ในที่สุดก็ได้ใช้งานดวงตามารได้
แม้ว่าฉันจะต้องใส่มานาลงไปในดวงตามารเผื่อให้ทะลวงการป้องกันของซัคคิวได้ แต่ว่านั่นก็ไม่ใช่ปัญหาเลยซักนิด ในตอนที่พวกเธอได้กลายเป็นหินฉันก็สามารถจะจัดการได้ง่ายๆด้วยการยิงลูกศรเพียงนัดเดียวเท่านั้น
ฉันได้พุ่งผ่านชั้นที่ 64 ไปเหมือนกับตัวชนพร้อมกับเปลื่ยนซัคคิวบิให้กลายเป็นหินและทำลายพวกเธอ ไม่ว่าพวกเธอจะพยายามทำอะไรมันก็ไร้ประโยชน์
“เข้ามาเลยน้องสาว”
“กรี๊ดดดดดดดดด”
“ทุกคนวิ่ง! ชายคนนี้เป็นภัยพิบัติสำหรับพวกเรา”
“เข้ามานี่”
[คุณได้ใช้ทักษะยั่วยุ ศัตรูทั้งหมดจะเข้ามาโจมตีคุณอย่างไม่เต็มใจ]
“ระ ร่างกายของฉันมันขยับไปเอง”
“ไม่นะ”
ซัคคิวบิได้กรีดร้องมากยิ่งขึ้นโดยที่ไม่สามารถต้านทานฉันได้ ฉันเริ่มที่จะรู้สึกแปลกๆ มันแทบจะราวกับว่าฉันเป็นคนเลว
“เอาเถอะ ฉันก็แค่คิดไปเอง”
เพราะแบบนี้ฉันจึงได้ผ่านชั้นที่ 64 ในเวลา 40 นาที เมื่อฉันได้ไปถามพ่อในทีหวสัง พ่อได้บอกว่าพ่อใช้การท่องบทสวดมนต์ตลอดเวลาการต่อสู้และใช้เวลาผ่านมันถึง 4 วัน