สาวใช้ที่ชื่อลั่วเหวยคนนั้นบอกว่า ที่นี่อยู่ในขอบเขตอำนาจของสำนักของฮวาเชียนซู่ เช่นนั้น ก็น่าจะเป็นนิกายมารแดงสิ?
หนึ่งในสี่พรรคมารใหญ่นิกายมารแดง ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานคนหนึ่งคิดจะจากไปอย่างราบรื่นเกรงว่าจะยากกว่าขึ้นสวรรค์
มั่วชิงเฉินนั่งขึ้นมา กระจกทองแดงบานหนึ่งปรากฏขึ้นในมือ แล้วเพ่งพิศใบหน้าตนอย่างพิถีพิถัน
ท่าทางเช่นนี้ นางไม่เชื่อว่าฮวาเชียนซู่จะจำได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าปีนั้นทั้งสองคนไม่ค่อยได้เสวนากันสักเท่าไร ตนเป็นเพียงเด็กน้อยเท่านั้น
เช่นนั้นเขาพาตนมาที่นี่มีจุดประสงค์อะไรนะ?
มั่วชิงเฉินรู้สึกเพียงว่าตนหล่นเข้าไปในหมอกมายาหนาทึบ และสิ่งที่ทำให้นางกังวลใจที่สุดกลับเป็นที่อยู่ของอาจารย์ ทั้งสองคนแยกจากกัน เช่นนั้นหมายความว่าเขาต้องพบอันตรายใหญ่หลวงเป็นแน่
อาจารย์ ท่านอย่าเป็นอะไรไปเด็ดขาดเชียวนะเจ้าคะ
มั่วชิงเฉินบ่นพึมพำ คิดๆ แล้ว นอนลงไปอีก
เมื่อครู่ยามที่สาวใช้สองคนเช็ดตัวให้นาง ไม่คิดว่าในกายจะเกิดกระแสความร้อนขึ้นสายหนึ่ง ทุกตารางนิ้วของผิวหนังที่กระแสความร้อนไหลผ่าน ตรงนั้นก็จะสบายขึ้นเล็กน้อย รอเช็ดเสร็จทั้งตัว ไม่รู้ใช่คิดไปเองหรือไม่ นางรู้สึกว่าร่างกายจะดีขึ้นกว่าเก่า
หรือว่าที่ร่างกายตนดีขึ้น ก็เพราะความดีความชอบของน้ำยาสีน้ำเงินนั่น?
มั่วชิงเฉินตัดสินใจแน่วแน่ ในเมื่อยากจะหนีออกจากที่นี่ได้ ยังไม่สู้แกล้งหมดสติต่อ รอสภาพร่างกายดีขึ้นสักหน่อยค่อยว่ากัน และจะได้ฉวยโอกาสทำความเข้าใจสถานการณ์มากขึ้นอีกสักหน่อยด้วย
พริบตาเดียวครึ่งเดือนผ่านไป มั่วชิงเฉินรู้สึกว่าร่างกายดีขึ้นอีกหลายส่วนอย่างเห็นได้ชัด และจากการคุยกันของสาวใช้สองคน ค่อยๆ ต่อภาพในยามนี้ของตระกูลฮวาขึ้น
ตระกูลฮวาน่าจะย้ายออกจากเมืองลั่วหยางตั้งแต่แรกๆ ที่ศึกเต๋ามารปะทุขึ้น และปักหลักอยู่ในเมืองที่อยู่ในขอบเขตอำนาจของนิกายมารแดง และบัดนี้คนที่เป็นเสาหลักของตระกูลฮวา ก็คือฮวาเชียนซู่
นิ้วมือมั่วชิงเฉินเคาะโต๊ะอย่างไม่รู้สึกตัว จำได้ว่าปีนั้นหัวหน้าตระกูลฮวาก็อยู่เพียงแค่ระดับสร้างรากฐาน หากบัดนี้หัวหน้าตระกูลที่แท้จริงคือฮวาเชียนซู่ละก็ เช่นนั้นตระกูลฮวาในยามนี้ น่าจะไม่มีคนตบะสูงเกินกว่านางกระมัง?
ฮวาเชียนซู่ไม่กลัวตนตื่นมาแล้วหนีไปหรือ?
กำลังคิดอยู่ จู่ๆ รู้สึกว่าข้างนอกมีความเคลื่อนไหว มั่วชิงเฉินพลิกตัว นอนลงบนเตียงอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง
ประตูเปิดออกดังเอี๊ยด
“คุณชาย คุณหนูท่านนั้นยังไม่ฟื้นเจ้าค่ะ” เป็นเสียงของลวี่เอ้อร์
“รู้แล้ว พวกเจ้าถอยไปให้หมดเถอะ” เสียงที่อ่อนโยนกลับแฝงด้วยความห่างเหินรางๆ เสียงหนึ่งดังขึ้น
มั่วชิงเฉินตื่นเต้นขึ้นทันที ถูกต้อง เป็นเสียงของฮวาเชียนซู่ เสียงนี้ต่อให้ชั่วชีวิตนางก็ลืมไม่ลง!
จากนั้นคือเสียงปิดประตู
มั่วชิงเฉินหลับตา รู้สึกว่าคนผู้หนึ่งเดินเข้ามาใกล้หัวเตียงนาง
ในห้องเงียบงันจนทำให้คนหายใจไม่ออก
“คุณหนู เจ้าตื่นแล้วสินะ?” ผ่านไปครู่ใหญ่ ฮวาเชียนซู่ถามขึ้นอย่างเอื่อยเฉื่อย
มั่วชิงเฉินรู้สึกหดหู่ ดูท่าฮวาเชียนซู่ต้องมีวิธีการอะไร ที่สามารถล่วงรู้สถานการณ์ของตนเป็นแน่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แกล้งหมดสติอีกก็เป็นเรื่องตลกแล้ว นึกถึงตรงนี้ลืมตาขึ้น แล้วลุกขึ้นนั่งช้าๆ
คนที่สะท้อนเข้ามาในตาคือคุณชายรูปงามในยุคอันวุ่นวายในความทรงจำจริงๆ หากเปลี่ยนเป็นหญิงสาวคนอื่น มองเข้าปราดหนึ่งในสถานการณ์เช่นนี้ ไม่แน่ก็แอบมอบใจให้แล้ว ทว่าในสายตามั่วชิงเฉิน คนคนนี้ก็คือภูตผีปีศาจที่ห่มหนังคนเท่านั้น
ความเย็นชาในสายตามั่วชิงเฉินทำให้ฮวาเชียนซู่กระดกมุมปากขึ้น อมยิ้มว่า “เห็นเช่นนี้แล้ว น้ำค้างวิญญาณสีฟ้าของข้านั่นยังนับว่าได้ผล ร่างกายของคุณหนูดีขึ้นมากจริงๆ”
น้ำค้างวิญญาณสีฟ้า? หรือว่าก็คือของเหลวที่เช็ดตัวให้ตนทุกวัน?
ในใจมั่วชิงเฉินรู้สึกตกใจสงสัยเล็กน้อย ฮวาเชียนซู่คนนี้แสร้งทำท่าทางเป็นคุณชายผู้อ่อนโยน มีจุดประสงค์อะไรกันแน่ นางไม่เชื่อหรอกนะว่าเขาจะไม่รู้ว่าตนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรเต๋า!
แม้คิดเช่นนี้ ปากลับเอ่ยว่า “ที่แท้คือคุณชายที่ช่วยข้าไว้ ขอบคุณคุณชายที่ช่วยชีวิต”
จู่ๆ ฮวาเชียนซู่ก็ยิ้มขึ้น เหมือนดอกไม้แรกแย้มในฤดูใบไม้ผลิ ทำให้คนหวั่นไหว “คุณหนูเกรงใจไปแล้ว มีวาสนาได้พบเจอ เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น”
มั่วชิงเฉินเม้มปาก นางไม่อยากแสร้งทำเป็นคล้อยตามคนผู้นี้แล้วจริงๆ เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็แกล้งทำเป็นพูดไม่เก่งแล้วกัน
“หากคุณหนูรู้สึกว่าร่างกายยังไหว ไม่สู้ให้ข้าน้อยออกไปเดินเล่นเป็นเพื่อน?” ฮวาเชียนซู่เห็นมั่วชิงเฉินเม้มปากไม่พูด จู่ๆ ก็เสนอขึ้นมาว่า
ข้อเสนอนี้ถูกใจมั่วเชิงเฉินพอดี จึงรีบพยักหน้าว่า “ขอบคุณคุณชาย”
ออกจากห้อง ก็คือสวนดอกไม้ด้านหลังที่วิวทิวทัศน์ดั่งภาพวาด เสาแกะสลักจิตรกรรมฝาผนัง ภูเขาจำลองสายน้ำ ทุกที่เต็มไปด้วยบุปผาที่บานสะพรั่ง สีสันแพรวพรายดุจตระกูลฮวาในปีนั้น
ในชั่วขณะหนึ่งมั่วชิงเฉิน ไม่รู้ว่าวันนี้ปีไหนขึ้นมา ราวกับนางเพิ่งมาถึงตระกูลฮวาพร้อมคนตระกูลมั่ว ทำการประลองกับตระกูลเฉิง ส่วนชายหนุ่มตรงหน้า มัดใจของหญิงสาวสวยวิจิตรคนหนึ่งไว้อย่างแน่นหนา
พริบตาเดียวก็กลายเป็นฉากที่ถูกฆ่าล้างตระกูลฉากนั้น ชุดแต่งงานสีแดงสดตกลงบนพื้น ปนอยู่กับเลือดที่ไหลนอง หญิงสาวที่สวยวิจิตรคนนั้นกลายเป็นศพที่เย็นเยียบ ส่วนชายหนุ่มอ่อนโยนดุจหยกงามมือถือขลุ่ยมรกต เดินผ่านข้างศพนางอย่างเย็นชา
“คุณหนู เจ้าไม่เป็นไรนะ?” ฮวาเชียนซู่ถามด้วยความเป็นห่วง
มั่วชิงเฉินได้สติกลับมา ส่ายศีรษะว่า “ไม่เป็นไร น่าจะเพราะไม่ได้ออกจากห้องนานเกินไป ยังปรับตัวไม่ค่อยได้”
ในใจกลับตกใจสงสัย ฮวาเชียนซู่คนนี้วางแผนอะไรอยู่กันแน่?
ตลอดทาง มั่วชิงเฉินแอบจำเส้นทางไว้ ฮวาเชียนซู่กลับราวกับไม่รู้ตัวโดยสิ้นเชิง เพียงแต่อยู่เคียงข้างเหมือนคุณชายที่อ่อนโยน
คนรับใช้ที่ไปๆ มาๆ เห็นฉากเช่นนี้ ล้วนตกใจตาโตพูดไม่ออก สายตาตัดพ้อของสาวใช้บางคนทำให้มั่วชิงเฉินอดขนลุกซู่ไม่ได้
ที่ทำให้นางนึกไม่ถึงก็คือ นับจากวันนี้ ไม่คิดว่าฮวาเชียนซู่จะมาทุกวัน ไม่ก็เดินเล่นเป็นเพื่อนนาง ไม่ก็พูดคุยกันตามอำเภอใจ เมื่อนึกสนุกขึ้นมา กระทั่งยังบรรเลงเพลงเพื่อนางในสวนดอกไม้
มั่วชิงเฉินไม่อาจไม่ยอมรับว่าฮวาเชียนซู่เป่าขลุ่ยได้ดีมาก ราวกับสามารถปลุกปั่นความรู้สึกในส่วนลึกที่สุดในใจของคนคนหนึ่งขึ้นได้ ส่วนชายหนุ่มเช่นเขาอยู่เคียงข้างทุกวัน กลับประพฤติตนเหมาะสม เป็นสุภาพบุรุษ บวกกับบุญคุณที่ช่วยชีวิต เกรงว่าเปลี่ยนเป็นคนอื่นคงหลงรักไปนานแล้วกระมัง
นึกถึงตรงนี้มั่วชิงเฉินตกตะลึง นางเข้าใจแล้ว การกระทำหลายวันนี้ของฮวาเชียนซู่ ก็คือการตามขอความรักตนอยู่!
นี่เป็นไปได้เช่นไร คนอื่นไม่รู้ นางกลับรู้อย่างชัดเจนว่าภายใต้เปลือกนอกที่เหมือนเซียนของชายผู้นี้ ซ่อนหัวใจที่เย็นชาปานใดไว้
อย่าว่าแต่บัดนี้ตนผอมเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกหน้าตาอิดโรย ต่อให้เปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมา เขาก็ไม่มีทางใจหวั่นไหวเพราะเปลือกนอกเด็ดขาด
“แม่นางกู้ดูสิ เมืองไป๋ซิงนี้แม้ไม่นับเป็นเมืองใหญ่ กลับเต๋ามารอยู่ร่วมกัน เทียบกับเมืองอื่น ตามสบายกว่าหลายส่วน” เดินอยู่บนถนน ฮวาเชียนซู่ชี้ฝูงชนที่เดินไปเดินมาว่า
“เต๋ามารอยู่ร่วมกัน?” มั่วชิงเฉินเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ ไม่รู้ว่าฮวาเชียนซู่จู่ๆ พูดเช่นนี้หมายความว่าเช่นไร
ฮวาเชียนซู่ยิ้มว่า “ใช่ เมืองไป๋ซิงนี้เป็นเมืองเล็กๆ ที่ขอบทางด้านตะวันออกของแดนไท่เป๋า ผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักของทางเต๋าบางคนก็ปักหลักอยู่ที่นี่
มั่วชิงเฉินค่อยๆ เข้าใจขึ้นมา ตระกูลฮวาในบัดนี้แปลกประหลาดมาก รุ่นเก่าก่อนล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรเต๋า ตั้งแต่ฮวาเชียนซู่เป็นต้นไป ก็มีทั้งผู้บำเพ็ญเพียรเต๋า ผู้บำเพ็ญเพียรมารแล้ว พูดไปแล้วก็กระอักกระอ่วนอยู่บ้างจริงๆ มิน่าถึงเลือกปักหลักที่เมืองเช่นนี้
“คิดไม่ถึงว่าศึกเต๋ามารสู้กันมานานหลายปีเพียงนี้ กลับยังมีเมืองที่เต๋ามารอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ไม่รบกวนกันและกันเช่นนี้อีก” มั่วชิงเฉินเอ่ยอย่างหยั่งเชิง นางคงจะเสียเวลาเป็นเพื่อนเขาเช่นนี้ตลอดไปไม่ได้
ฮวาเชียนซู่กลับดูเหมือนไม่รู้ตัว อมยิ้มว่า “คุณหนูก็เป็นคนฉลาดเช่นกัน ที่จริงศึกเต๋ามารว่าถึงที่สุดแล้วก็เป็นเพียงการแย่งชิงผลประโยชน์เท่านั้น ต่อให้เป็นสำนักผู้บำเพ็ญเพียรเต๋าเหมือนกันหรือผู้บำเพ็ญเพียรมารเหมือนกัน เพื่อผลประโยชน์บางอย่างแล้วฆ่าล้างสำนักอื่นก็มีไม่น้อย บัดนี้ใช้ข้ออ้างของศึกเต๋ามาร ก็เพียงเพื่อให้ภายนอกดูแล้วมีเหตุมีผลขึ้นเท่านั้น”
“เอ่อ ที่แท้คุณชายฮวาคิดเช่นนี้” มั่วชิงเฉินยิ้มนิ่งเรียบว่า
สายตาแฝงรอยยิ้มของฮวาเชียนซู่ตกลงบนใบหน้ามั่วชิงเฉินว่า “หรือว่าแม่นางกู้ไม่ได้คิดเช่นนี้?”
มั่วชิงเฉินยิ้มแผ่วเบา ไม่พูด ฮวาเชียนซู่ช่างเป็นยอดฝีมือในเรื่องชายหญิงจริงๆ เขาแสดงทัศนคติอย่างไม่ตั้งใจเช่นนี้ ก็เพื่อทำลายความกังวลเรื่องความแตกต่างระหว่างเต๋ามารของตน หากเปลี่ยนเป็นหญิงคนอื่น ได้ฟังคำพูดนี้แล้วดีไม่ดีความลังเลหยดสุดท้ายก็มลายหายไปเป็นหมอกควันแล้ว
เขาใช้ทุกวิถีทางเพื่อให้บรรลุเป้าหมายเช่นนี้ ตกลงประสงค์สิ่งใดจากตนกันแน่?
ระหว่างที่รีบใช้ความคิด กลับได้ยินเสียงหญิงสาวคนหนึ่งลอยมา “ศิษย์น้องเล็ก…”
เงยหน้ามองไป ก็เห็นหญิงสาวผมดกดำชุดงามดุจเซียนคนหนึ่งเดินเร็วๆ เข้ามา จ้องนางด้วยสีหน้าเย็นชา จากนั้นมองไปหาฮวาเชียนซู่ว่า “ศิษย์น้องเล็ก เจ้าบอกว่าหญิงผู้นี้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรเต๋ามิใช่หรือ!”
ฮวาเชียนซู่พยักหน้าว่า “ศิษย์พี่สาม ไยเจ้าถึงมาได้ล่ะ?”
ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงกัดริมฝีปาก ตัดพ้อว่า “ศิษย์น้องเล็ก เจ้ายังถามข้าอีกว่าไยถึงมาได้ หลายวันมานี้ เจ้ามาเมืองไป๋ซิงบ่อยๆ ก็เพื่อนางใช่หรือไม่!” พูดพลางยื่นนิ้วมือชี้มั่วชิงเฉิน
มั่วชิงเฉินหลุบตายืนอยู่ข้างๆ ถือเสียว่าตนดูเรื่องตลกอยู่ ในใจกลับทุกข์ใจรางๆ ตนสร้างบาปอะไรไว้ เหตุใดมักตอแยเรื่องยุ่งยากเช่นนี้เข้า
เห็นฮวาเชียนซู่ไม่พูด ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงยิ่งแน่ใจการคาดเดาของตน สายตาที่มองไปที่มั่วชิงเฉินสามารถพ่นไฟออกมาได้แล้ว ทันใดนั้นไม้เท้าหงิกงออันหนึ่งปรากฏขึ้นในมือ ปลายยอดไม้เท้า ไม่คิดว่าจะเป็นหัวกะโหลกอันหนึ่ง!
“เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะฆ่าปีศาจจิ้งจอกนี่เสีย เจ้าจะได้เลิกคิด!” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงยกไม้เท้าขึ้นสูง หัวกะโหลกที่ปลายยอดปล่อยแสงสีดำสายหนึ่งออกมาทันที
มั่วชิงเฉินยืนอยู่ข้างๆ เงียบๆ ไม่ขยับเขยื้อน ช่างน่าขันจริงๆ ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงผู้นี้มีตบะเพียงระดับสร้างรากฐานระยะปลาย นึกว่าตนน่ารังแกจริงๆ หรือ?
ขลุ่ยมรกตของฮวาเชียนซู่บินออกขวางแสงสีดำไว้ ตะโกนว่า “ศิษย์พี่สาม!”
ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชะงัก หน้าซีดว่า “ศิษย์น้องเล็ก เจ้า ไม่คิดว่าเจ้าจะปกป้องนาง?”
“ศิษย์พี่สาม เจ้าอย่าทำเช่นนี้ กลับไปเถอะ” ฮวาเชียนซู่เอ่ยอย่างนุ่มนวล
“ข้าไม่ไป ศิษย์น้องเล็ก เจ้าพูดให้รู้เรื่อง เจ้าจะปกป้องนางได้อย่างไร เจ้าอย่าลืมนะว่านางเป็นผู้บำเพ็ญเพียรเต๋า อีกทั้งยังปรากฏตัวขึ้นที่แดนไท่เป๋าอย่างประหลาด ใครจะรู้ว่ามีจุดประสงค์อะไร!” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงกระทืบเท้า
ฮวาเชียนซู่นิ่งเงียบครู่หนึ่ง จู่ๆ มองมั่วชิงเฉินปราดหนึ่ง จากนั้นบอกกับผู้บำเพ็ญเพียรหญิงว่า “ศิษย์พี่สาม เมื่อเป็นเช่นนี้เชียนซู่ก็จะบอกเจ้าว่าเพราะอะไร เชียนซู่พึงใจนางตั้งแต่แรกเห็น จะไม่ยอมให้คนอื่นทำร้ายนางแม้แต่น้อยเด็ดขาด!”
มั่วชิงเฉินมุมปากกระตุก พึงใจตั้งแต่แรกเห็น? ฮวาเชียนซู่ เจ้าพูดออกมาเช่นนี้ ไม่กลัวฟ้าผ่าหรือ?
ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงนั่นกลับเหมือนถูกฟ้าผ่าจริงๆ ก็ไม่ปาน สีหน้าเดี๋ยวซีดเดี๋ยวเขียว ตัวเซไปมา จากนั้นถลึงตาใส่มั่วชิงเฉินอย่างดุดันปราดหนึ่งแล้วหันหน้าวิ่งหนีไป เสียงทางจิตสายหนึ่งดังขึ้นในสมองมั่วชิงเฉิน “นางปีศาจจิ้งจอก เจ้าคอยดูเถอะ ข้าไม่ปล่อยเจ้าไปเด็ดขาด!”
“แม่นางกู้” ฮวาเชียนซู่มองมา สายตาอ่อนโยนดุจสายน้ำ
มั่วชิงเฉินริมฝีปากสั่นแผ่วเบา จึงกัดไว้แน่แล้วท่องเงียบๆ ว่า ‘จะอาเจียนออกมาไม่ได้ จะอาเจียนออกมาไม่ได้’
ฮวาเชียนซู่กลับนึกว่ามั่วชิงเฉินประหลาดใจ จึงยิ้มอย่างอ่อนโยนว่า “แม่นางกู้ เจ้าเต็มใจเป็นคู่บำเพ็ญเพียรคู่ของเชียนซู่หรือไม่?”