คางคก? คางคก? ไยเยี่ยเทียนหยวนถึงกลายเป็นคางคกแล้วล่ะ? หรือว่ายายแก่บ้านั่นสาปไว้?
จู่ๆ ก็นึกถึงเทพนิยายเรื่องเจ้าชายกบ ความคิดประหลาดพุ่งขึ้นใจมั่วชิงเฉินทันที หรือว่า หรือว่าต้องให้หญิงสาวจุมพิตเขาสักที?
เห็นลูกศิษย์เหลอหลา จู่ๆ หน้าก็แดงขึ้น กู้หลีประหลาดใจเล็กน้อยว่า “ชิงเฉิน เจ้าเป็นอันใดหรือ?”
มั่วชิงเฉินได้สติกลับมาทันที มองดูแววตาเป็นห่วงของอาจารย์แล้วกระอักกระอ่วนเป็นอย่างมาก รีบเอ่ยว่า “ไม่มีอะไร อาจารย์เจ้าคะ ไยอาจารย์อาเยี่ยถึงกลายเป็นคางคกแล้วล่ะ เพราะยายแก่บ้านั่นใช้ประเภทเวทมนตร์หรือคำสาปใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
กู้หลีกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ ทนไม่ไหวตบศีรษะนางว่า “ชิงเฉิน ไยเจ้าถึงเลอะเลือนขึ้นมาแล้ว ตรงกันข้ามกันต่างหาก น่าจะเพราะนางเสกคาถาบังตาทำให้คางคกกลายเป็นลั่วหยาง…”
พูดถึงตรงนี้กลับชะงักทีหนึ่ง เป็นห่วงจึงรน ชิงเฉินนางใจเย็นควบคุมอารมณ์ตนเองได้เสมอมา บัดนี้กลับจิตใจร้อนรนเพื่อศิษย์น้องลั่วหยาง คงไม่ใช่…
มั่วชิงเฉินได้ยินคำพูดนี้แล้วหน้าร้อนผ่าว ตนคิดมากไปแล้วจริงๆ ทว่าต่อจากนั้นใจกลับหนักอึ้งขึ้นมา เมื่อเป็นเช่นนี้ เยี่ยเทียนหยวนยังคงเป็นตายเท่ากันสิ? นึกถึงตรงนี้ สีหน้าดูไม่ดีขึ้นมา เงยหน้ามองกู้หลีว่า “อาจารย์ อาจารย์อาเยี่ยเขา…เขาได้ย้อนกลับสำนักลั่วสยาหรือไม่?”
กู้หลีส่ายศีรษะ
มั่วชิงเฉินสีหน้าขาวซีดขึ้นมา
“ตะเกียงเจ้าชะตาของลั่วหยางยังติดอยู่” เสียงของกู้หลีเรียบอย่างประหลาด
มั่วชิงเฉินกลับแย้มยิ้มขึ้นมา ลักยิ้มข้างปากปรากฏขึ้นรางๆ ว่า “จริงหรือเจ้าคะ เช่นนั้นก็ดีเหลือเกิน…”
พูดถึงหลังสุดเสียงสะอื้นขึ้นมา ฝืนทนไว้ไม่ให้น้ำตาร่วงลงมา ใครจะรู้ว่าวันเวลาช่วงนี้ การที่ต้องคอยกังวลความเป็นตายของเยี่ยเทียนหยวน ตนต้องทนรับแรงกดดันและความรู้สึกผิดมากถึงเพียงไหน
หากเขาเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นมา ตนก็จะหันหน้าเข้าหาเต๋า ไม่ยุ่งเกี่ยวกับความรักตลอดกาล
กู้หลีหลุบตาลง เอ่ยอย่างสงบว่า “เจ้าวางใจ ลั่วหยางไม่ใช่บุตรผู้ได้รับความโปรดปรานจากฟ้าที่ถูกกอบไว้ในฝ่ามือ หลายปีมานี้เวลาส่วนใหญ่ฝึกตนอยู่ข้างนอก ไม่มีทางเกิดเรื่องง่ายๆ เช่นนั้นหรอก”
มั่วชิงเฉินเพ่งพิศสีหน้าสงบของกู้หลี จู่ๆ ก็หัวเราะขึ้นมา
กู้หลีมองลูกศิษย์ที่ประเดี๋ยวเศร้าประเดี๋ยวดีใจอย่างสงสัย กลับได้ยินมั่วชิงเฉินว่า “อาจารย์ ท่านคงไม่ได้…กำลังหึงหรอกกระมัง?”
กู้หลีมือสั่น สีหน้าบึ้งตึงลง “ชิงเฉิน เจ้าอย่าเหลวไหล!”
เสียงอันเข้มงวดทำให้มั่วชิงเฉินตกใจ หลายปีมานี้ ยังไม่เคยเห็นเขาพูดด้วยน้ำเสียงและสีหน้าเข้มงวดเช่นนี้มาก่อน
“อาจารย์ ท่านโกรธแล้วหรือเจ้าคะ?” มั่วชิงเฉินกัดริมฝีปาก
กลับเห็นกู้หลีลุกขึ้นยืน แล้วเอ่ยนิ่งเรียบว่า “ชิงเฉิน บัดนี้ดวงจิตและร่างกายเจ้าล้วนอ่อนแอเหลือคณา เราต้องอยู่ที่นี่สักระยะหนึ่ง เจ้าพักผ่อนให้ดีก่อนเถอะ” พูดจบก้าวเท้าเดินไปทางห้องศิลาอีกห้องหนึ่ง
มั่วชิงเฉินเจ็บปวดในใจ ไม่พบกันหลายปี เหตุใดเขาถึงห่างเหินถึงเพียงนี้แล้วนะ? นึกถึงตรงนี้หลุดปากออกมาว่า “อาจารย์ สักวันหนึ่ง ชิงเฉินต้องก่อแก่นปราณ และยังต้องก่อกำเนิด”
กู้หลีหลับตาครู่หนึ่ง สีริมฝีปากจางจนซีดแล้ว จู่ๆ ก็หันหลังไป มองมั่วชิงเฉินแล้วพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ชิงเฉิน เจ้าจำไว้ ไม่ว่าเมื่อไร ข้าก็เป็นอาจารย์ของเจ้า” พูดถึงตรงนี้แล้วเดินเข้าไปในห้องศิลาอีกห้องหนึ่งโดยที่ไม่หันกลับมามอง แล้วปิดประตูศิลาลง
มั่วชิงเฉินรู้สึกเพียงว่ามีค้อนอันหนึ่งทุบลงที่หัวใจอย่างหนัก รู้สึกเค็มที่คอหอยรางๆ จึงแข็งใจฝืนทนไว้กลับควบคุมไม่อยู่อีกแล้ว อ้าปากกระอักเลือดออกมา
คำว่ารักทำร้ายคน ยิ่งทำร้ายใจ บัดนี้ได้ประสบอย่างลึกซึ้งแล้ว
หากใจตรงกัน นั่นคือบุพเพ หากรักข้างเดียว กลับคือเคราะห์รักแล้ว
ท่านปู่ ท่านว่าเคราะห์รักของชิงเฉินถึงแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ? ชิงเฉินจะหนีพ้นหรือไม่?
มั่วชิงเฉินยิ้มอย่างสลด แล้วหลับตาลง
กู้หลีเก็บจิตตระหนักกลับมา สีหน้าซีดเซียวจนน่าตกใจ เหม่อมองพื้นอย่างเงียบๆ ครู่หนึ่ง แล้วถอนใจเสียงเบาแทบไม่ได้ยิน ขัดขานั่งสมาธิขึ้นมา
การชิงเปลือก ไม่ว่าจะคนที่ชิงเปลือกหรือคนที่ถูกชิง ไม่ว่าฝ่ายไหนสำเร็จ ฝ่ายที่ล้มเหลวย่อมดวงจิตแตกดับวิญญาณสลาย ฝ่ายที่สำเร็จก็กลับกำลังวังชาถดถอยอย่างใหญ่หลวงเช่นกัน
หากเจ้านึกว่าหลังจากกลืนดวงจิตของอีกฝ่ายแล้วดวงจิตของตนจะแข็งแกร่ง กระทั่งยังสามารถดูดประสบการณ์และความทรงจำของอีกฝ่าย เช่นนั้นก็ผิดอย่างมหันต์แล้ว
ดวงจิตของผู้บำเพ็ญเพียรเดิมก็เป็นของที่บอบบางล้ำค่าที่สุด จะยอมให้ของแปลกปลอมเข้ามาได้เช่นไร
ดวงจิตของมั่วชิงเฉินถูกดวงจิตของอูเย่ว์กลืนไปครึ่งหนึ่ง ยามนี้อิดโรยสุดจะทนมานานแล้ว นี่ก็เป็นสาเหตุที่นางหมดสติบ่อยๆ
บวกกับร่างกายของนางถูกทรมานจนอ่อนแอสุดที่จะทนได้อีก ไม่ว่าการควบคุมตนเองหรือภูมิต้านทานล้วนตกลงอย่างมาก วันนั้นถูกคำพูดของกู้หลีทำร้าย เกิดเป็นปมในใจ จึงตัวร้อนขึ้นมาอย่างคาดไม่ถึง
“ชิงเฉิน เจ้าลืมตาหน่อย กินยา” กู้หลีโอบครึ่งตัวบนของมั่วชิงเฉินไว้ ป้อนโอสถเม็ดหนึ่งเข้าปากนาง ป้อนน้ำไปสองสามอึก ใช้พลังวิญญาณของตนชักนำส่งลงไป แต่คิ้วกลับขมวดแน่นขึ้น
โรคภัยไข้เจ็บมาดั่งภูเขาถล่ม[1] คำพูดนี้สำหรับคนธรรมแล้วเป็นเช่นนี้ สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรแล้วสาหัสยิ่งกว่า
เพราะในยามปกติ ผู้บำเพ็ญเพียรไม่มีโอกาสเจ็บไข้ได้ป่วยเอาเสียเลย สิ่งที่พวกเขาต้องการคือโอสถฤทธิ์ต่างๆ กัน กลับไม่ใช่ยาที่ใช้รักษาโรคภัยไข้เจ็บ และเมื่อไรที่ผู้บำเพ็ญเพียรป่วยละก็ โอสถกลับรักษาไม่ได้
มองดูใบหน้าซีดเซียวของมั่วชิงเฉิน ในใจกู้หลีวาบความสำนึกผิดขึ้นสายหนึ่ง ตนคิดเพียงแต่จะตัดความคิดที่นางไม่ควรมีให้สะบั้น จะได้ไม่ก่อให้เกิดเหตุการณ์ที่กู่ไม่กลับในอนาคต ทว่าไยถึงลืมไปว่าสภาพในยามนี้ของนางย่ำแย่เพียงใด!
“แค่กๆ” มั่วชิงเฉินไอขึ้นมากะทันหัน โอสถที่เพิ่งกินลงไปอาเจียนออกมาหมด
“ชิงเฉิน” กู้หลีตกใจ ผ้าเช็ดหน้าสีขาวผืนหนึ่งปรากฏขึ้นในมือ เช็ดมุมปากให้นางเบาๆ
“อาจารย์…” มั่วชิงเฉินจับมือของกู้หลีไว้แน่น นิ้วมือที่เหมือนกิ่งไม้ดูแล้วทำให้คนเศร้าใจ “อาจารย์ ท่านอย่าไปได้หรือไม่?”
“ชิงเฉิน อาจารย์ไม่ไป เจ้าวางใจได้” กู้หลีกุมมือของมั่วชิงเฉินกลับ มืออีกข้างหนึ่งเช็ดเหงื่อเย็นบนหน้าผากนางเบาๆ
มั่วชิงเฉินเหมือนจับที่พึ่งสุดท้ายได้ กอดแขนของกู้หลีไว้แน่น แล้วพึมพำว่า “อาจารย์ ข้าหนาว…” พูดพลางกอดเอวของกู้หลีไว้อย่างไม่รู้ตัว
กู้หลีตัวแข็งทื่อ ไม่กล้าขยับเขยื้อนอีก กลับสามารถรับรู้ได้ว่าคนในอ้อมกอดตัวสั่นไม่หยุด เหงื่อเย็นไหลออกมาไม่หยุด
“อาจารย์ ชิงเฉิน…อยากให้ท่านยังคงเป็นท่านพี่กู้จังเลย…” มั่วชิงเฉินเอ่ยอย่างเลอะเลือนพลาง เขยิบตัวทีหนึ่งว่า “พี่กู้…จะชอบชิงเฉินหรือไม่?”
พูดถึงข้างหลังเสียงค่อยๆ เบาลงจนไม่ได้ยิน ทว่ากลับถูกกู้หลีได้ยินอย่างชัดเจนทุกคำ
กู้หลีเม้มริมฝีปากแน่น ไม่พูดอะไรทั้งนั้น ผ่านไปเนิ่นนาน ถึงยิ้มระทมทีหนึ่ง แล้วก้มตัวลงประทับริมฝีปากไปที่ริมฝีปากที่ไม่มีสีเลือดสักนิดของมั่วชิงเฉิน
ปราณความเป็นหยางที่จริงแท้บริสุทธิ์สายหนึ่งพุ่งออกจากปากกู้หลี เข้าสู่ปากมั่วชิงเฉิน สีหน้าของมั่วชิงเฉินค่อยๆ ดูดีขึ้นเล็กน้อย ไม่ละเมออีก แล้วหลับสนิท
สีหน้าของกู้หลีกลับยังคงดูไม่ดี ปราณความเป็นหยางมีเฉพาะในผู้บำเพ็ญเพียรที่รักษากายพรหมจรรย์ไว้ มีประโยชน์ในการทำให้รากฐานของร่างกายที่อ่อนแอถึงขีดสุดมั่นคง ทว่าอย่างไรเสียก็ไม่ใช่แผนในระยะยาว สภาพในตอนนี้ของมั่วชิงเฉิน จำเป็นต้องย้อนกลับสำนักลั่วสยาให้ผู้บำเพ็ญเพียรสายเยียวยาเฉพาะทางรักษา
นึกถึงตรงนี้ กู้หลีพลิกมือโอสถสีชมพูอ่อนขนาดเท่าลำไยเม็ดหนึ่งปรากฏขึ้น หากมั่วชิงเฉินเห็น ต้องจำได้แน่นอน นี่ก็คือโอสถคงสภาพอันเลื่องชื่อ!
โอสถคงสภาพแม้สามารถคงสภาพอาการบาดเจ็บให้เสถียร ทว่าที่มั่วชิงเฉินบาดเจ็บกลับเป็นดวงจิต ร่างกายของนางไม่ได้บาดเจ็บจริง หากแต่ถูกทรมานซ้ำไปซ้ำมาจนสุดที่จะทนได้ กินโอสถคงสภาพลงไปอย่างมากก็แค่ช่วยชะลอเล็กน้อยเท่านั้น ผลจริงๆ ยังสู้ปราณความเป็นหยางไม่ได้
เพียงแต่ในเวลาสำคัญเช่นนี้ มีประโยชน์เพียงเล็กน้อยก็ยังดี
กู้หลีให้มั่วชิงเฉินกินโอสถคงสภาพลงไป แล้วอุ้มนางออกจากถ้ำภูเขา ก้าวขึ้นขลุ่ยไผ่บินไปทางทิศตะวันออก
ปราณมารของแดนไท่เป๋าเข้มข้นกว่าดินแดนเทียนหยวนมาก กู้หลีบุกมาตลอดทางอาการบาดเจ็บยังไม่หายดีทั้งหมด บัดนี้อุ้มมั่วชิงเฉินเร่งเดินทาง ต้องคอยระวังความเคลื่อนไหวรอบด้านตลอดเวลาอีก ตลอดทางมานี้ พูดได้ว่าลำบากแสนสาหัสทุกย่างก้าว
ไม่พูดถึงอย่างอื่น เฉพาะอสูรปีศาจที่อาศัยอยู่ในแดนไท่เป๋า ก็โหดเ**้ยมกว่าที่ดินแดนเทียนหยวนมาก
อสูรปีศาจของดินแดนเทียนหยวน ปกติต้องบุกเข้าถิ่นของมันถึงจะจู่โจมคน ส่วนอสูรปีศาจของที่นี่ ได้กลิ่นคาวเลือดสายหนึ่งก็แทบจะโถมเข้าใส่แล้ว หากไม่เพราะอสูรปีศาจส่วนใหญ่ระดับชั้นไม่สูง ถูกพลานุภาพของกู้หลีกดไว้ ยังไม่รู้ต้องสู้กันสักกี่รอบ
กู้หลีไม่กล้าบินสูงเกินไป ลำแสงของผู้บำเพ็ญเพียรเต๋าต่างจากของผู้บำเพ็ญเพียรมารมาก เขาบุกแดนไท่เป๋าโดยลำพัง หนึ่งปีมานี้ตอแยผู้บำเพ็ญเพียรมารมานับไม่ถ้วน บินอยู่บนฟ้าสูงไม่ต่างอะไรกับเป้าที่เคลื่อนไหวได้
ทว่าบินต่ำเกินไป กลับยากจะหลบการเข่นฆ่าของอสูรปีศาจระดับสูงบางชนิดอีก
แต่สำหรับกู้หลีแล้ว เขายอมสู้กับอสูรปีศาจ ก็ยังดีกว่าต้องยุ่งเกี่ยวกับผู้บำเพ็ญเพียรมาร
จัดการอสูรปีศาจขั้นห้าไปตัวหนึ่ง กู้หลีอุ้มมั่วชิงเฉินกำลังจะก้าวขึ้นขลุ่ยไผ่ กลับจู่ๆ หยุดลงมา เก็บงำกลิ่นอายแล้วเดินไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ทีละก้าวๆ
ปัดกิ่งไม้ใบไม้ที่หนาทึบออก ความปีติวาบผ่านใบหน้ากู้หลี แล้วก็เห็นบนพื้นหญ้า ม้าขาวดุจหิมะไม่กี่ตัวกำลังเยื้องย่างอย่างเอ้อระเหย ก้มหน้ากินหญ้าเขียวสองสามคำเป็นระยะๆ ที่ประหลาดที่สุดคือ ที่หน้าผากของม้าพวกนี้มีเขาสีทองอันหนึ่ง
ไม่คิดว่าจะเป็นอสูรเขาเดียว!
อสูรเขาเดียวเป็นอสูรปีศาจขั้นห้า ระดับชั้นนับว่าไม่สูง กลับมีที่ที่ล้ำค่า พวกมันนิสัยอ่อนโยน รอบๆ ตัวปกคลุมด้วยกลิ่นอายของความเป็นสิริมงคล และกลิ่นอายอัศจรรย์ชนิดนี้ก็ทำให้พวกมันสามารถอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขกับอสูรปีศาจส่วนใหญ่ ว่ากันตามปกติ อสูรปีศาจที่จะทำร้ายพวกมันมีน้อยมาก
เล่าลือกันว่า เขาของอสูรเขาเดียวมีฤทธิ์ในการแก้พิษ นี่ก็เป็นสาเหตุที่สรรพสัตว์ไม่ยอมทำร้ายพวกมัน
กู้หลีบังคับขลุ่ยไผ่บินต่ำๆ มาตลอด พบอสูรปีศาจมานับไม่ถ้วน เหนื่อยหน่ายที่จะรับมือมาตั้งนานแล้ว หากสามารถจับอสูรเขาเดียวได้สักตัว สองคนขี่อสูรเขาเดียวเดินทางก็จะดีกว่ามาก
“ชิงเฉิน จับข้าไว้ให้ดี” กู้หลีส่งเสียงทางจิตว่า ในแดนไท่เป๋า เขาไม่กล้าปล่อยมั่วชิงเฉินที่ไม่มีความสามารถในการป้องกันตนเองลงไม่แต่วินาทีเดียว
มั่วชิงเฉินบางทีมีสติบางทีหมดสติ ยามนี้กำลังมีสติ ได้ยินเสียงทางจิตของกู้หลี จึงพยักหน้าเบาๆ ใบหน้ากลับไม่มีความกลัวแม้แต่น้อย หมอบอยู่บนหลังกู้หลีเงียบๆ กลับรู้สึกอุ่นใจอย่างที่สุด
กู้หลีหยิบขลุ่ยไผ่ขึ้น วางไว้ข้างริมฝีปากเป่าเบาๆ ขึ้นมา เสียงขลุ่ยอันไพเราะล่องลอยออกมา บทเพลงทุ้มต่ำและไพเราะวนเวียนอยู่ในป่า
อสูรเขาเดียวพวกนั้นหยุดกินหญ้า เงยหน้าขึ้นมาเพ่งพิศอย่างอยากรู้อยากเห็น
มั่วชิงเฉินไม่รู้ว่าตัวเองตาฝาดหรือเปล่า นางราวกับเห็นตัวดนตรีสีทองเป็นพวงๆ ลอยออกมาจากรูของขลุ่ยไผ่ ลอยตามลมไปทางอสูรเขาเดียวอย่างเชื่องช้า
เสียงขลุ่ยยิ่งเป่ายิ่งว่างเปล่า สีหน้าของอสูรเขาเดียวพวกนั้นก็ยิ่งนานยิ่งหลงใหลเคลิบเคลิ้ม มีอสูรเขาเดียวที่ตัวค่อนข้างเล็กตัวหนึ่งในที่สุดก็ทนไม่ไหว เยื้องย่างเข้ามาทางที่กู้หลีอยู่อย่างช้าๆ
กู้หลีอมยิ้มที่มุมปาก เป่าอย่างไม่รีบร้อน รอถึงยามอสูรเขาเดียวตัวนั้นมาใกล้ๆ ดูเหมือนระแวงขึ้นมาไม่เดินหน้าอีก เสียงขลุ่ยสูงขึ้นโดยพลัน ฉวยโอกาสที่อสูรเขาเดียวงงงันจับขนแผงคอของมันไว้แล้วพลิกตัวขึ้นไป
อสูรเขาเดียวนิสัยอ่อนโยนตามธรรมชาติ ทว่าหลังกลับเป็นเกล็ดย้อนของมัน สำหรับพวกมันแล้วนั่นคือที่ที่รุกล้ำไม่ได้
กู้หลีเพิ่งนั่งนิ่ง อสูรเขาเดียวก็ได้สติขึ้นมา สะบัดขาทั้งสี่อย่างแรง ตัวสั่นด้วยความคลุ้มคลั่ง
กู้หลีจับขนแผงคอของอสูรเขาเดียวไว้แน่น อีกมือหนึ่งตบที่สะโพกอสูรเขาเดียวทีหนึ่ง ส่งเสียงทางจิตว่า “ชิงเฉิน เจ้าต้องจับข้าไว้ให้แน่นนะ”
“อาจารย์ วางใจได้ ข้าไม่ปล่อยมือหรอก” มั่วชิงเฉินตอบ การส่ายอย่างรุนแรงกลับทำให้สีหน้านางซีดเซียวยิ่งขึ้น
อสูรเขาเดียวแบกทั้งสองคนวิ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ขาหน้ากระโจนขึ้นเป็นระยะๆ คิดจะสะบัดกู้หลีลงไป
กู้หลีกัดฟันไว้แน่น กดตัวต่ำลงไม่ขยับเขยื้อน ไม่ว่ามันจะสะบัดอย่างไรก็สะบัดไม่หลุด
อสูรเขาเดียวยิ่งวิ่งยิ่งเร็ว เสียงลมข้างหูหวีดหวิว อัดจนเจ็บหู
“แค่กๆ” มั่วชิงเฉินทนไม่ไหวไอออกมา
กู้หลีกังวลขึ้นมา “ชิงเฉิน เจ้าไม่เป็นไรนะ?”
อสูรเขาเดียวเป็นสัตว์มีจิตวิญญาณ สัมผัสได้ว่าชายบนร่างเสียสมาธิ สี่ขากระทืบพื้นโดยพลัน ตัวส่ายขึ้นมาอย่างรุนแรง
กู้หลีหลุดมือทันที ร่วงลงไปทั้งตัว
มั่วชิงเฉินร้องเบาๆ เสียงหนึ่ง กลับพบว่าขาสองข้างของกู้หลีหนีบช่วงท้องของอสูรเขาเดียวไว้แน่น จากนั้นออกแรง พลิกตัวขึ้นไปอีก
อสูรเขาเดียวโกรธมาก ความหวาดหวั่นที่แม้แต่ตนก็ไม่เข้าใจโผล่ขึ้นรางๆ ในใจ ยิ่งพุ่งไปข้างหน้าอย่างไม่คิดชีวิต
“แย่แล้ว เหวลึก!” แววตากู้หลีมืดลง
อสูรเขาเดียวที่สูญเสียสติสัมปชัญญะแล้วไม่สนใจพวกนี้แล้ว พุ่งตรงไปยังเหวลึก หลังจากถึงใกล้ๆ แล้วขาหลังออกแรง ตัวลอยขึ้นกลางอากาศพุ่งไปข้างหน้า
ภายใต้แรงเหวี่ยงมหาศาลนี้ มั่วชิงเฉินจับกู้หลีไว้ไม่อยู่อีก ร่างกายบินพุ่งไปข้างหน้า
เร็วเหมือนสายฟ้าแลบ กู้หลีกระโดดตัวลงจากหลังอสูรเขาเดียว จับข้อเท้าของมั่วชิงเฉินไว้แล้วออกแรงดึงนางเข้ามาในอ้อมกอด จากนั้นเอาหลังลงพื้นรองไว้ใต้ตัวมั่วชิงเฉิน
“ฮี้…” อสูรเขาเดียวร้องขึ้น ขาหน้าสองข้างเกาะขอบเหวลึกไว้แน่น ตัวทั้งตัวกลับห้อยอยู่กลางอากาศ กำลังจะตกลงไปแล้ว
กู้หลียื่นมือออก เชือกเส้นหนึ่งบินออกจากแขนเสื้อ พันขาหน้าของอสูรเขาเดียวไว้ลากมันขึ้นมา
อสูรเขาเดียวนอนอยู่บนพื้นหญ้า เหนื่อยจนหอบแฮ่กๆ ไม่ลุกขึ้นมายืนอีกเลย
“ชิงเฉิน ชิงเฉิน” กู้หลีมองมั่วชิงเฉินที่หลับตาสนิทสีหน้าซีดไร้สีเลือด แล้วเรียกอย่างร้อนรน
มั่วชิงเฉินกลับไม่ขยับเขยื้อน
กู้หลีถอนใจเบาๆ ก้มหน้าประทับริมฝีปากลงไป
ตลอดทางมานี้ทุกครั้งที่มั่วชิงเฉินประคับประคองไม่ไหว เขาก็ได้แต่ใช้วิธีนี้ส่งปราณความเป็นหยางให้นาง ทว่าความทรมานในใจกลับยากจะเอ่ยต่อคนนอกแล้ว
จู่ๆ มั่วชิงเฉินก็ลืมตาขึ้น มองกู้หลีอย่างงงงัน
กู้หลีสังเกตถึงความผิดปกติ ลืมตาขึ้น ความรู้สึกผิดในดวงตาทำให้มั่วชิงเฉินใจแป้ว
ในชั่วขณะหนึ่ง ทั้งสองคนไม่มีใครพูดอะไร
ผ่านไปเนิ่นนาน กู้หลีถึงเปิดปากอย่างยากลำบากว่า “ชิงเฉิน ข้า…” คำพูดต่อมากลับพูดไม่ออกแล้ว
มั่วชิงเฉินหลุบตาลง ยิ้มอย่างเศร้าใจ รับคำว่า “ชิงเฉินทราบเจ้าค่ะ อาจารย์ทำเพื่อช่วยข้า ขอบคุณอาจารย์…”
เห็นความรู้สึกที่แท้จริงในตากู้หลีโดยไม่ตั้งใจ นางเข้าใจความหมายในคำพูดของต้วนชิงเกอในปีนั้นขึ้นมาทันที
“ชิงเฉิน หากเป็นเจ้ากับท่านนักพรต สามารถทำได้เช่นนี้หรือไม่? อีกอย่าง ความในใจของนักพรตตกลงเป็นเช่นไรอีกล่ะ?”
ตลอดมา ตนมักคิดว่าขอเพียงเขาเต็มใจ แม้ต้องถูกคนทั่วหล้าดูถูกตนก็เต็มใจ ทว่าเหตุใดถึงลืมความลำบากใจที่ความรู้สึกของตนสร้างให้เขานะ?
ความรู้สึกผิด บัดนี้เขารู้สึกต่อตนเอง ไม่คิดว่าจะเป็นความรู้สึกเช่นนี้ มั่วชิงเฉินเอ๋ยมั่วชิงเฉิน นี่ก็คือสิ่งที่เจ้าอยากให้คนในดวงใจตนเองต้องแบกรับเช่นนั้นหรือ?
“เจ้าเข้าใจก็ดี” กู้หลีเอ่ยอย่างเย็นชา ลุกขึ้นยืนเดินไปที่อสูรเขาเดียว มั่วชิงเฉินที่หลุบตายิ้มอย่างขมขื่นกลับมองไม่เห็นสองหมัดที่กำแน่นของเขา
——
[1] โรคภัยไข้เจ็บมาดั่งภูเขาถล่ม ประโยคเต็มคือ โรคภัยไข้เจ็บมาดั่งภูเขาถล่ม ไปเหมือนสาวใยไหม หมายถึง เวลาไม่สบายเกิดขึ้นเร็วเหมือนภูเขาถล่ม แต่รักษายาก หายช้า เปรียบเหมือนสาวใยไหมจากรังไหมทีละเส้น