“ข้าจะรู้ได้เช่นไร ข้าเป็นเพียงแค่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานตัวเล็กๆ เท่านั้น!” มั่วชิงเฉินหัวเราะว่า
“เจ้าไม่รู้?” ยายแก่ถามชัดถ้อยชัดคำ ต่อจากนั้นหัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์เสียงหนึ่ง แล้วหยิบยันต์สีชมพูออกมาแผ่นหนึ่ง
ยันต์ถามใจ!
มั่วชิงเฉินสีหน้าเปลี่ยนทันที ยันต์ถามใจแผ่นนั้นก็ตีไปไว้บนหลังนางแล้ว
“ยัยเด็กบ้า ท่าทางเจ้ารู้ว่านั่นคือยันต์อะไร เช่นนั้นก็ไม่ต้องให้ข้าพูดมากแล้ว บอกมา เพราะเหตุใดเจ้าถูกปราณวิญญาณมารทำร้ายแล้วยังมีชีวิตอยู่?” ยายแก่ถามเสียงแหลม
มั่วชิงเฉินสีหน้าสงบ เอ่ยนิ่งเรียบว่า “ข้าไม่รู้ ข้าเป็นเพียงแค่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานตัวเล็กๆ เท่านั้น!”
ยายแก่บ้าหากถามอะไรออกมาได้จริงก็ผีหลอกแล้ว ตัวนางเองยังไม่รู้เลยว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่
ยายแก่โกรธจนหนังหน้าสั่น โบกมือทีหนึ่งลมวิญญาณสายหนึ่งตบไปบนตัวมั่วชิงเฉินอีก ทว่ายันต์ถามใจไม่ระเบิดแสดงว่านางหนูนี่ไม่ได้โกหก จึงได้แต่ถามอีกว่า “เช่นนั้นเจ้าซึ่งมีรากวิญญาณเทียม ความเร็วในการบำเพ็ญเพียรไยเทียบได้กับผู้บำเพ็ญเพียรรากวิญญาณฟ้า?”
คำถามนี้ก็ถามกว้างแล้ว ยันต์ถามใจใช้ขึ้นมามีข้อจำกัดมากมาย คนที่ถูกแปะยันต์ถามใจคำถามที่กลัวถูกถามที่สุดก็คือคำถาม ‘ใช่’ หรือ ‘ไม่ใช่’ ส่วนคำถามประเภทนี้ตอบขึ้นมากลับสามารถเลี่ยงหนักให้เป็นเบาได้ ขอเพียงสิ่งที่พูดเป็นความจริงก็สามารถหลบการผูกมัดจากยันต์ถามใจได้
มั่วชิงเฉินยิ้มเบาๆ ว่า “ย่อมเพราะข้าขยันบำเพ็ญเพียร โอกาสวาสนามาก ยังมีอาจารย์ดีคนหนึ่ง”
ยายแก่ชะงักทีหนึ่ง โบกมือฉีกยันต์ถามใจออก ก้าวขึ้นไปก้าวหนึ่งว่า “ยัยเด็กผี เจ้าไม่กลัวข้าฆ่าเจ้าหรือเช่นไร? จิ๊ๆ ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะปลายอายุสี่สิบสามปีเอ๋ยก็ต้องมาตายเช่นนี้เสียแล้ว เจ้าไม่รู้สึกเสียดายหรือไร?”
มั่วชิงเฉินเม้มปากไม่พูด นางถูกยายแก่นี่จับมา ก็ไม่ได้คิดว่ายังสามารถกลับออกไปได้อย่างมีชีวิต โดยเฉพาะได้ยินว่าเยี่ยเทียนหยวนถูกยายแก่นี่ฆ่าแล้ว ยิ่งเกิดความรู้สึกท้อแท้ การพูดการจา ย่อมไม่กลัวยายแก่บ้านี่โกรธแล้ว หากนางยอมลงมือเด็ดขาดกลับดีหน่อย แต่หากยังมีความคิดชิงเปลือก เมื่อนึกถึงว่าวันหลังนางสวมผิวหนังชุดนี้ปรากฏขึ้นต่อหน้าผู้คนก็รู้สึกกลัวจนตัวสั่น
เห็นมั่วชิงเฉินเม้มปากไม่พูด จู่ๆ ยายแก่ก็ยื่นมือลูบใบหน้านางทีหนึ่ง แล้วหัวเราะว่า “นางหนู ยายไม่ฆ่าเจ้าหรอก ยายยังรอให้เจ้าก่อแก่นปราณอยู่เลยนะ!” พูดจบแสยะปากยิ้ม แล้วหันหลังเดินไปแล้ว
ก่อแก่นปราณ? มั่วชิงเฉินมองยายแก่ที่ไปไกลแล้วตาดอกท้อโค้งๆ นี่หมายความว่าเช่นไร หรือว่ายังมีความคิดจะชิงเปลือกอยู่?
เมื่อคิดอีกทีหนึ่งก็เข้าใจความหมายของยายแก่ขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว นางดันทุรังจับตนมา ที่สำคัญที่สุดก็เพราะหน้าตาของตน บอกกับอายุน้อยๆ ก็มีตบะระดับสร้างรากฐานระยะปลาย
และเมื่อยามที่พบว่าตนมีคุณสมบัติของรากวิญญาณเทียมกลับผิดหวังถึงขีดสุด ทว่าต่อมาก็พบร่างกายตนมีความประหลาดอยู่ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว นางย่อมลังเลตัดสินใจไม่ได้เป็นแน่
ชิงเปลือกยามนี้ นางก็จะตกจากผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณโดยสมบูรณ์ลงมาเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานทันที ความแตกต่างในนี้ ต่างกันราวฟ้าดิน
ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ ด้วยคุณสมบัติรากวิญญาณเทียมของร่างนี้หากไม่อาจก่อแก่ปราณได้อีกก็ยุ่งแล้ว
หรือว่า นางจะรอถึงตนถึงระดับก่อแก่นปราณแล้วค่อยชิงเปลือก?
มั่วชิงเฉินรู้สึกไม่อยากเชื่อเล็กน้อย แม้นางเข้าใจความคิดของยายแก่ รอตนยามก่อแก่นปราณแย่งเปลือก นางก็ยังเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ อีกอย่างตนยังอายุน้อยถึงเพียงนี้ ต่อให้ไม่เลื่อนขั้นอีกก็ไม่ถือว่าเสียเปรียบมากนัก
ทว่าตนเพิ่งก้าวเข้าระดับสร้างรากฐานระยะปลายไม่กี่ปี คิดจะก่อแก่นปราณอย่างไรก็ต้องสิบกว่าปีกระทั่งยี่สิบปีให้หลังแล้ว นางรอไหวจริงหรือ? ยิ่งกว่านั้นสามารถก่อแก่นปราณได้สำเร็จหรือไม่ก็ยังไม่รู้
ไม่ว่าจะพูดเช่นไร ในเมื่อยายแก่นั่นยังไม่คิดทำอะไรนางเป็นการชั่วคราว อย่างไรก็เป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่ง จะให้ตนนั่งรอความตายคงไม่ได้ รักษาสภาพที่ดีที่สุดไว้ ไม่แน่ยามไหนก็สามารถหาโอกาสหนีเอาตัวรอดได้แล้ว
มั่วชิงเฉินคิดถึงตรงนี้ ความรู้สึกท้อแท้ในตอนแรกก็หายไป แล้วนั่งขัดสมาธิลงเริ่มลองรักษาอาการบาดเจ็บ
ในห้องลับห้องหนึ่ง ยายแก่สองมือละเอียดอ่อนช้อยพลิกคัมภีร์หยก พลิกอยู่เช่นนี้ครึ่งวันเต็มๆ ในที่สุดก็พลิกม้วนคัมภีร์หยกที่มีจนหมด สุดท้ายตบโต๊ะ โกรธว่า “ไม่คิดว่าจะหาไม่เจอ! เป็นไปไม่ได้ ร่างกายนางหนูนั่นต้องมีอะไรประหลาดแน่ นางบอกไม่รู้ อาจเพราะตัวนางเองยังไม่เข้าใจ ไม่ได้ เรื่องนี้จำเป็นต้องสืบให้ชัดเจน ไม่มีเวลามากเพียงนั้นแล้ว”
ยายแก่พูดพลางเดินออกจากห้องลับ ขี่แมงป่องสีแดงเพลิงหายลับไป
มั่วชิงเฉินประหลาดใจเล็กน้อย หลายวันนี้ไม่คิดว่ายายแก่นั่นจะไม่มาหานาง หรือว่า นางยอมแพ้ในตนเองไปหาเป้าหมายใหม่แล้ว?
นั่นก็ไม่ถูก ด้วยนิสัยของยายแก่บ้านั่น หากรู้สึกว่าตนไร้ประโยชน์ ต้องฆ่าทิ้งให้รู้แล้วรู้รอดไปแน่ ไม่มีทางปล่อยให้ตนอยู่อย่างสบายเด็ดขาด
มั่วชิงเฉินรู้สึกถึงความสิ้นหวังที่มาจากความแตกต่างของตบะอีกครั้ง นางพยายามอย่างสุดความสามารถแล้ว ทว่าศัตรูที่พบกลับนับวันยิ่งแข็งแกร่ง
พูดถึงที่สุด ตราบใดที่ยังไม่ได้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูง ก็ต้องเดินอย่างยากลำบากบนหนทางแห่งการบำเพ็ญเพียร
พริบตาเดียวผ่านไปครึ่งค่อนปี ร่างกายมั่วชิงเฉินที่ถูกปราณวิญญาณมารทำร้ายในที่สุดก็หายดีอย่างช้าๆ แล้ว ยายแก่นั่นไม่เคยมาถ้ำนี้อีก นางก็ไม่มีปัญญาหนีออกไป ได้แต่สงบใจลงมาบำเพ็ญเพียรแต่โดยดี กลับไม่รู้ว่าข้างนอกได้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่พลิกฟ้าพลิกแผ่นดินขึ้นแล้ว
ผู้ดูแลสำนักลั่วสยานักพรตไป๋จั๋วนำพาผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงทั้งหมดกลับถึงสำนัก ก็ได้รู้ข่าวนักพรตลั่วหยางและมั่วชิงเฉินเป็นตายเท่ากัน ข่าวนี้ก่อให้เกิดความปั่นป่วนโกลาหลขึ้นทันที
ยามนั้นหรูอวี้เจินจวินก็ว่ากล่าวนักพรตชิวโฉวอย่างแรงยกหนึ่ง จนกระทั่งชิงตู้เจินจวินแห่งสำนักไท่ซวีออกหน้า ถึงยอมรามือ แล้วเขียนจดหมายฉบับหนึ่งให้นกพิราบวิญญาณส่งกลับพรรคเหยากวงทันที
กู้หลีรู้ถึงเรื่องนี้กลับไม่ได้ไปหาเรื่องนักพรตชิวโฉว หากแต่มุ่งหน้าไปหุบเขาลั่วสยาเริ่มการเข่นฆ่า ตั้งแต่ระดับสร้างรากฐานถึงก่อแก่นปราณ ขอเพียงเจอผู้บำเพ็ญเพียรมารเป็นไม่ละเว้น เวลาสั้นๆ ไม่กี่วันก็ชื่อเสียงกระฉ่อน กลายเป็นบุคคลที่ผู้บำเพ็ญเพียรมารได้ยินแล้วขวัญหนีดีฝ่อ
ที่จริงเต๋ามารปะทะกัน ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดของทั้งสองฝ่ายเพียงแต่นั่งบัญชา ไม่มีการประมือกันโดยตรง
ไม่ว่าผู้บำเพ็ญเพียรเต๋าหรือผู้บำเพ็ญเพียรมาร กว่าจะบำเพ็ญเพียรถึงระดับก่อกำเนิดต้องลำบากแสนสาหัส ไม่ว่าใครก็ไม่เต็มใจลงมืออย่างง่ายดายแล้วเกิดเรื่องไม่คาดคิด
เกิดสงคราม ประโยชน์ที่สำคัญของพวกเขาก็คือการข่มขวัญ รอทั้งสองฝ่ายสู้กันจนเห็นผลแพ้ชนะแล้วค่อยปักปันเขตแดน ผลประโยชน์และกฎเกณฑ์
ทว่ากู้หลีฆ่าต่อไปเช่นนี้ แม้แต่หมัวจวินระดับก่อกำเนิดที่หุบเขาลั่วสยาก็นั่งไม่อยู่แล้ว ส่งข่าวให้ชิงตู้เจินจวินที่บัญชาอยู่ที่หุบเขาลั่วสยาเป็นการส่วนตัว บอกเป็นนัยว่าหากยังไม่บันยะบันยังละก็ เขาก็จะลงมือจัดการเองแล้ว
ชิงตู้เจินจวินตอบกลับไป เล่าที่มาที่ไปของเรื่องราวรอบหนึ่ง อธิบายว่าเรื่องนี้เขายากจะตัดสินใจได้ หากอีกฝ่ายทำร้ายกู้หลีจริงละก็ เกรงว่าเจินจวินระดับก่อกำเนิดทั้งห้าท่านของพรรคเหยากวงจะออกมาทั้งหมด ถึงเวลาสถานการณ์ก็ยิ่งจัดการยากแล้ว
จดหมายฉบับนี้ของชิงตู้เจินจวินเพิ่งถึงมือหมัวจวินระดับก่อกำเนิด เสวียนหั่วเจินจวินก็รุดมาจากพรรคเหยากาวถึงหุบเขาลั่วสยาโดยตรง ไม่พูดพร่ำทำเพลงบุกเข้าไปแล้ว
หมัวจวินระดับก่อกำเนิดผู้นั้นก็งงงัน นี่มือยังถือจดหมายอยู่เลย ดูคำพูดในจดหมาย อีกฝ่ายยังนับว่าเป็นคนมีเหตุผล เหตุใดเพียงครู่เดียวก็มาหาถึงหน้าประตูแล้ว?
รอเขาออกไปถึงพบว่าผู้ที่มาคือเสวียนหั่วเจินจวิน สีหน้าทุกข์ตรมขึ้นมาทันที
ทั่วทั้งดินแดนเทียนหยวนสำนักต่างๆ มากดุจดวงดาว ยิ่งไม่ต้องนับตระกูลบำเพ็ญเพียรที่ใหญ่บ้างเล็กบ้างพวกนั้นแล้ว ทว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดรวมกันขึ้นมาก็ไม่เกินสองร้อยกว่าคน จำนวนหมัวจวินระดับก่อกำเนิดทางด้านแดนไท่ไป๋นี่ยังน้อยกว่าสักหน่อย
ดังนั้นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดพวกนี้ส่วนใหญ่รู้จักกัน หรือว่าอย่างน้อยก็เคยได้ยินสมญานามเต๋ามาก่อน เช่นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดที่ทำอะไรไม่ค่อยเหมือนชาวบ้านอีกทั้งยังอยู่ในสำนักใหญ่เช่นเสวียนหั่วเจินจวินนี้ชื่อเสียงยิ่งเป็นที่รู้จักดี
หมัวจวินระดับก่อกำเนิดเมื่อเห็นเขา ก็รู้ว่าปัญหามาแล้ว
เป็นไปตามคาดเสวียนหั่วเจินจวินพอเห็นอีกฝ่ายโผล่หน้ามา ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็สู้กันขึ้นมา
ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดประมือกัน นั่นเรียกได้ว่าแผ่นดินสะเทือนภูผาสะท้าน สะเทือนฟ้าสะเทือนดิน
สามวันสามคืนเต็มๆ ผู้บำเพ็ญเพียรทั้งสองฝ่ายไม่มีใครกล้าก้าวออกจากประตูห้องแม้ครึ่งก้าว
ทั้งสองคนตีกันตลอดทางจนถึงเนินเขา ถึงหยุดมือ
“เสวียนหั่วเจินจวิน เจ้าไม่ได้ดั่งใจก็ตื๊อไม่เลิกเช่นนี้มันเรื่องอะไรกัน? หากสู้กันจนบาดเจ็บทั้งสองฝ่ายจริง เช่นนั้นจะมีประโยชน์อันใดต่อเจ้าอีก? หมัวจวินระดับก่อกำเนิดถามขึ้น
เสวียนหั่วเจินจวินโบกพัดกกขาดๆ ด่ากราดว่า “ไม่ได้ดั่งใจก็ตื๊อไม่เลิก? เจ้าหนูเฮยหมิง ทายาทสายตรงของข้าถูกพวกเจ้าทำร้าย ใช่แล้ว ยังมีภรรยาของเขาอีก บัดนี้ทั้งสองคนเป็นตายเท่ากัน เจ้ายังมีหน้าบอกว่าข้าไม่ได้ดั่งใจก็ตื๊อไม่เลิกอีกหรือ?”
เฮยหมิงหมัวจวินกระตุกมุมปาก “เสวียนหั่วเจินจวิน สองฝ่ายปะทะกัน มีบาดเจ็บสูญเสียเป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้ ยามประมือ หรือว่ายังต้องดูว่าใครเป็นทายาทของเจินจินระดับก่อกำเนิด ใครเป็นศิษย์ของหมัวจวินระดับก่อกำเนิดหรือไร?”
“ถุย เจ้าหนูเฮยหมิง อย่ามาพูดเหตุผลพวกนี้กับข้า หากเป็นการสู้กันอย่างสง่าผ่าเผย ทายาทข้าคนนั้นหากดับสูญข้าจะไม่พูดอะไรสักคำ ทว่าพวกเจ้าละเมิดกฎเกณฑ์อยู่ก่อน ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณโดยสมบูรณ์ผู้ยิ่งใหญ่จับนางหนูน้อยระดับสร้างรากฐานคนหนึ่ง น่าสงสารทายาทข้าคนนั้นเพื่อภรรยาเขาแล้วเอาไข่กระทบหิน ถึงได้มีจุดจบเช่นนี้ หรือว่าข้าก็ต้องทำตัวเป็นเต่าหดหัวหรือเช่นไร?” เสวียนหั่วเจินจวินใช้พัดกกชี้เฮยหมิงหมัวจวิน ศีรษะล้านเป็นสีแดงรางๆ เพราะอารมณ์ตื่นเต้นเกินไป
เฮยหมิงหมัวจวินแอบเบ้ปาก แม้บอกว่าเพื่อสืบต่อเชื้อสาย กฎเกณฑ์การต่อสู้แต่ไหนแต่ไรมาก็คือผู้บำเพ็ญเพียรระดับเดียวกันแลกกัน ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณจะไม่ลงมือกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานตามอำเภอใจ ทว่าหากสู้ขึ้นมาจริงๆ จะมีสักกี่คนที่ทำตามกฎอีก ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณของฝ่ายไหนที่เห็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานอยู่คนเดียวแล้วไม่ติดมือเก็บไปด้วยล่ะ
“เสวียนหั่วเจินจวิน นักพรตเหอกวงของพรรคท่านระยะนี้ก็ฆ่าอย่างไม่ลืมหูลืมตาที่หุบเขาลั่วสยานะ ให้ข้าว่า เรื่องนี้ก็จบลงที่ตรงนี้เถอะ” เฮยหมิงเจินจวินเตือนสติว่า
เสวียนหั่วเจินจวินฮึเสียงเย็นว่า “ฮึ คนพวกนั้นที่เหอกวงฆ่ารวมกันก็เทียบทายาทของข้าคนนั้นและภรรยาของเขาไม่ได้ อยากให้รามือได้ มอบผู้บำเพ็ญเพียรมารระดับก่อแก่นปราณที่ฆ่าพวกเขาออกมา มิเช่นนั้นเรื่องนี้ไม่จบ!”
เฮยหมิงหมัวจวินรู้ว่าเสวียนหั่วเจินจวินผู้นี้จัดเป็นประเภทรับมือยาก ไม่ว่าทำอะไรเทียบกับพวกเขาผู้บำเพ็ญเพียรมารแล้วยังประหลาดกว่าอีก จึงอดปวดศีรษะไม่ได้ว่า “รอข้ากลับไปสืบดูว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณโดยสมบูรณ์ผู้นั้นเป็นใครพวกเราค่อยมาถกเรื่องนี้กันเจ้าว่าเป็นเช่นไร?”
เสวียนหั่วเจินจวินถึงฝืนพยักหน้า แล้วบินหายไป
เฮยหมิงหมัวจวินโล่งอก กลับที่พักส่งข่าว แล้วเริ่มสืบขึ้นมา
มองดูข่าวที่ลูกน้องยื่นมา เฮยหมิงหมัวจวินสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย เอ่ยเสียงหลงว่า “คิดไม่ถึงว่าจะเป็นนาง!”
ที่แท้ยายแก่คนนั้นชื่ออูเย่ว์ เป็นภรรยาของเจ้าสำนักสำนักมารฟ้า
เดิมนางเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด หลายปีก่อนเพราะช่วยสามีจึงบาดเจ็บสาหัส ไม่เพียงตบะตกลงไปถึงระดับก่อแก่นปราณ รูปโฉมงามดุจบุปผาหยกงามในทีแรงก็เปลี่ยนไปจนทนดูไม่ได้
สำหรับการนี้เจ้าสำนักสำนักมารฟ้าซาบซึ้งใจมาก ทว่านานวันเข้าสุดท้ายความรู้สึกฉันสามีภรรยาก็จืดจางลงจนได้
ด้วยเหตุนี้อูเย่ว์นิสัยเปลี่ยนไปมาก ออกจากสำนักมารฟ้าไปอยู่เพียงลำพัง ส่วนอยู่ที่ไหนกลับไม่ค่อยมีคนรู้แล้ว
ยิ่งเพราะฐานะที่พิเศษของนางนี้ แม้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณที่แดนไท่เป๋ากลับไม่ว่าใครก็ต้องยอมให้หลายส่วน ต้องรู้ว่าสำนักมารฟ้าเป็นผู้นำแห่งสี่พรรคมารใหญ่เชียวนะ!
อีกด้านหนึ่ง นักพรตจื่อซีที่ตามเสวียนหั่วเจินจวินมาพร้อมกันจากพรรคเหยากวงจนถึงหุบเขาลั่วเยี่ยนมาถึงหน้าห้องกู้หลี ยื่นมือเคาะประตู