ตอนที่ 279 เดินทางยามค่ำคืน
“คุณหนูเจ้าคะ” เจาเอ๋อร์หยิบเสบียงอาหารส่งให้นาง
อวี้อาเหรายื่นมือออกไปรับ แล้วแบ่งให้เหล่าองครักษ์ด้วยตัวเอง พวกเขาต่างยกมือทั้งสองขึ้นรับเอาไว้ด้วยความแตกตื่น นางจึงพูดขึ้นอย่างจนใจว่า “ออกมานอกจวนแล้วไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรมากนักหรอก”
“ข้าน้อยรับบัญชาขอรับ” เหล่าองครักษ์ไหนเลยจะกล้าบิดพลิ้ว รีบก้มหน้าลงรับคำสั่งอย่างรวดเร็ว
หลังจากแบ่งสันจนเรียบร้อยแล้ว อวี้อาเหราก็คืนส่วนที่เหลือให้กับเจาเอ๋อร์ไป นางเอาเสบียงอาหารแห้งมามากมายนัก แต่ก่อนหน้านี้เป็นเพราะไม่คิดว่าพวกต้าเว่ยจะติดตามมาด้วย ทำให้ผ่านไปเพียงชั่วพริบตาเสบียงอาหารก็แทบจะหมดเกลี้ยงแล้ว นางมองเห็นว่าหนทางที่ไปยังทิศตะวันตกของเมืองเฟิ่งเฉิงยังเหลืออยู่อีกระยะหนึ่ง หากพวกนางยังไม่อาจหาโรงเตี๊ยมเพื่อพักแรมได้เช่นนี้ อย่างนั้นคงจะพากันอดตายอยู่ในป่ารกร้างแห่งนี้เป็นแน่
ผ่านไปไม่นาน พวกต้าเว่ยที่ออกไปเก็บฟืนก็กลับมา ลมกลางคืนพัดโหมแรงยิ่งนัก โดยเฉพาะภายในป่ารกแห่งนี้ด้วยแล้ว เมื่อจุดไฟเผาฟืนแล้วก็อบอุ่นขึ้นไม่น้อยเลย
ยามราตรีเงียบสงบ ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจของพวกเดียวกันเอง
อวี้อาเหราไม่อาจพักผ่อนได้ จึงหันกลับไปหาพวกต้าเว่ย “พวกเจ้าติดตามเสด็จพ่อของข้ามานานเพียงใดแล้ว”
“ตั้งแต่เล็กขอรับ” ต้าเว่ยตอบ
“อ้อ?” อวี้อาเหราชะงัก
“พวกเราเป็นเด็กไร้บ้านและไร้ครอบครัว โชคดีที่ครั้งนั้นท่านอ๋องทรงช่วยชีวิตเอาไว้ ยังให้ที่อยู่ที่กินและฝึกวรยุทธ์ให้ หากไม่มีท่านอ๋องที่ช่วยชีวิต พวกเราก็คงต้องอดตายกลายเป็นกระดูกไปเสียแล้ว บุญคุณของท่านอ๋องและคุณหนูรองนั้นทั้งชีวิตของพวกเรานี้ก็ไม่อาจทดแทนได้หมด” ต้าเว่ยและองครักษ์คนอื่นๆ มองสบตากัน แล้วกลืนก้อนสะอึกลงลำคอ
“ใช่แล้ว!” ชิงอวิ๋นกล่าวต่อไปว่า “ตอนนั้นหากไม่ใช่ท่านอ๋อง พวกเราไหนเลยจะมีชีวิตที่สุขสบายเช่นทุกวันนี้”
มิน่าเล่าพวกเขาถึงได้ซื่อสัตย์ต่อหลิงอ๋องถึงเพียงนี้ แม้เพียงเรื่องเล็กน้อยก็จะต้องตอบแทนบุญคุณอย่างเต็มที่ ดูท่าแล้วหลิงอ๋องคงเป็นคนที่มีจิตใจน่าเลื่อมใสกว่าที่นางคิด ดังนั้นจึงได้รับเลี้ยงเด็กกำพร้าเอาไว้มากถึงเพียงนี้ ไม่เพียงแต่ให้ที่อยู่ที่กิน อีกทั้งยังสอนวรยุทธ์ให้เพื่อไม่ให้น้อยหน้าผู้ใด
อวี้อาเหรามองไปยังคนเหล่านี้ด้วยสายตาเปี่ยมความหมาย
พวกต้าเว่ยที่ถูกนางมองด้วยสายตาเช่นนี้แล้วก็รู้สึกขนลุกชันขึ้นมา รีบก้มหน้าลงไปในทันที
พวกนางนั่งพิงกองไฟเช่นนั้น ยามค่ำคืนท้องฟ้าก็ยิ่งมืดมิดมากขึ้น คนทั้งหมดต่างเหนื่อยล้ามาทั้งวันแล้ว ในยามนี้ต่างก็อดไม่ได้ที่จะนั่งสัปหงกบนพื้น เหลือเพียงต้าเว่ยที่ยังคงถ่างตาเฝ้ายาม ในป่าลึกเช่นนี้ด้านนอกมักจะมีสัตว์ร้าย แน่นอนว่าจะต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก
ในยามที่พวกเขากำลังอยู่ในห้วงแห่งการหลับใหลนั้นก็บังเกิดเสียงกีบเท้าม้ากระทบพื้นเข้ามาจากที่ไกลๆ และแสงสว่างน้อยๆ ที่วูบไหวไม่หยุดหย่อน
ต้าเว่ยตื่นตัวระวังภัยขึ้นมาทันที เรียกคนทั้งหมดให้ตื่นขึ้น
“คุณหนูรอง ท่านดูเร็วขอรับ”
“อะไรกัน?”
เสียงนิ่งสงบดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง อวี้อาเหราผินหน้าไปด้านหลัง แล้วจึงมั่นใจว่าได้ยินเสียงกลุ่มฝีเท้าม้ากำลังเข้ามาใกล้ เพียงได้ยินเสียงฝีเท้าของม้าก็สัมผัสได้ถึงความเป็นระเบียบเรียบร้อย ต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่ นางชะงักไป “ต้าเว่ย เจ้าว่าจะมีใครบ้างที่เดินทางตอนกลางคืนเช่นนี้”
“ข้าน้อยไม่แน่ใจนัก” ต้าเว่ยส่ายหน้า แล้วจึงค่อยๆ พินิจอย่างละเอียด “หากจะว่าตามเหตุผลแล้ว ดึกดื่นเช่นนี้ไม่ว่าใครก็ต่างกลัวอันตราย คงไม่มีใครยอมที่จะเดินทางกลางค่ำกลางคืนเช่นนี้แน่ และเสียงฝีเท้าม้ายังฟังดูมีระเบียบ ไม่เหมือนเหล่าโจรร้ายกักขฬะเลยแม้แต่น้อย และยิ่งไม่เหมือนพ่อค้าเร่ ไม่ว่าอย่างไรก็คิดไม่ออกจริงๆ ว่าจะเป็นใครกันที่ออกเดินทางยามค่ำคืนเช่นนี้ได้”
“ที่เจ้ากล่าวมาก็ไม่ผิด” อวี้อาเหราเห็นด้วยกับประเด็นที่เขาชี้ให้เห็น สายตามองไปยังกลุ่มคนที่ห้อมล้อมอยู่อย่างจริงจัง “พวกเจ้าจงเตรียมรับมือให้พร้อมอยู่ตลอดเวลา หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นเกรงว่าแม้แต่จวนหลิงอ๋องเราก็คงไม่อาจกลับไปได้แล้ว หากพวกเราก่อกองไฟอยู่ที่นี่ตลอดเวลา เกรงว่าก็คงจะโดนพวกมันเห็นเข้าแน่ อีกฝ่ายมีคนมาก พวกเราต้องระวังตัว”
“ขอรับ!” คนเหล่านี้ไม่กล้าที่จะนอนหลับต่อไปอีก มองไปยังเสียงที่ดังมาจากทางด้านหลังอย่างตื่นระวัง
ตอนที่ 280 ไม่ยอมหลีกทาง
เสียงยิ่งเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ อวี้อาเหราและพวกต้าเว่ยลุกยืนขึ้น ต่างพากันอารักขารถม้าเอาไว้
ต้าเว่ยพูดขึ้นอย่างไม่วางใจว่า “คุณหนูรองกับเจาเอ๋อร์เข้าไปในรถม้าเถิดขอรับ”
“ตกลง” อวี้อาเหราตอบรับ นางและเจาเอ๋อร์ไม่เป็นวรยุทธ์แม้แต่น้อย หากยังอยู่ด้านนอกเช่นนี้ก็คงจะเป็นตัวถ่วงให้กับต้าเว่ยเท่านั้นเอง เข้าไปนั่งรอในรถม้ายังจะดีกว่า
หลังจากที่เจาเอ๋อร์ประคองนางเข้าไปนั่งบนรถม้าแล้ว นางก็ผลุบเข้าไปนั่งด้วย
เลิกม่านขึ้นมามุมหนึ่ง อวี้อาเหรามองไปยังทิศทางที่แสงไฟเต้นเร่าอยู่ เงาร่างของพวกเขายิ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนสามารถมองเห็นเค้าโครงของคนที่นั่งอยู่บนม้าได้ เสื้อผ้าของพวกเขานั้นราวกับเป็นองครักษ์ของตระกูลใหญ่ที่ร่ำรวย แต่ผู้ที่นั่งอยู่บนม้าตัวใหญ่ด้านหน้าสุดนั้นเป็นชายหนุ่มอ่อนเยาว์ที่ควบม้าต้านลมเข้ามา สวมใส่เสื้อผ้าฝ้ายหรูหรา ใบหน้าเห็นโครงร่างแข็งแกร่ง เส้นผมตกคลอเคลียหน้าอก ถูกพัดปลิวไสวเพราะลมราตรี คืนนี้ลมไม่ค่อยโหมกระหน่ำมากนัก มิเช่นนั้นคงไม่อาจเดินทางได้
และที่ด้านหลังของเขายังเต็มไปด้วยเหล่าองครักษ์ที่บ้างขี่ม้าบ้างเดินเท้า แบ่งเป็นแถวเป็นแนวสองแถวอย่างเรียบร้อย
หลังจากที่พวกเขาเข้ามาใกล้ เมื่อเห็นพวกต้าเว่ยก็หยุดฝีเท้าม้าที่กำลังห้อตะบึงอยู่ทันที
เหล่าองครักษ์ที่เดินเท้าอยู่นั้นก็รีบเข้ามาล้อมเอาไว้ มองไปยังพวกต้าเว่ยด้วยท่าทียโส “พวกเจ้าเป็นใคร เหตุใดถึงได้กล้าที่จะขวางทางคุณชายของพวกเรา”
“ถนนเส้นนี้เป็นของคุณชายของเจ้าหรืออย่างไร” ชิงอวิ๋นโกรธเคือง
แม้ว่าถนนเส้นนี้จะคับแคบ แต่รถม้าของพวกเขาเพียงกินพื้นที่เล็กน้อย อย่างไรเสียก็สามารถเดินทางต่อไปได้
“เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครกันถึงได้กล้าพูดเช่นนี้! พบคุณชายของพวกเราแล้วยังไม่ยอมหลีกทางให้อีกหรือ รีบหลีกทางไปเดี๋ยวนี้!” น้ำเสียงขององครักษ์พวกนั้นแปรเปลี่ยนเป็นความไม่พอใจ
“หากพวกเราไม่หลีก พวกเจ้าจะทำไม” ชิงอวิ๋นยังมีอายุน้อยนัก เมื่อถูกผู้อื่นต่อว่าเช่นนี้ก็อดไม่ได้ที่จะโกรธเคือง นี่ก็ชัดเจนว่าอีกฝ่ายนั้นจงใจที่จะทำตัวกร่างแท้ๆ! แล้วเหตุใดจะต้องหลีกทางให้ด้วยเล่า คุณหนูของนางก็เป็นถึงธิดาเอกของจวนหลิงอ๋อง สถานะก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าคุณชายอะไรนี่เสียหน่อย!
“เจ้า!” สีหน้าของเหล่าองครักษ์ไม่น่าดู จ้องมองไปยังชิงอวิ๋น “จะหลีกหรือไม่หลีก?”
“ไม่หลีก!” ชิงอวิ๋นสบถเสียงเย็น
พวกต้าเว่ยกลับทำเพียงมองดู ไม่พูดจาโต้ตอบอะไรออกไป
ในตอนนั้นเองชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนม้าก็บังคับม้าเข้ามาใกล้ แล้วถามเหล่าองครักษ์พวกนั้นเสียงเรียบว่า “เกิดอะไรขึ้น”
น้ำเสียงที่เผยออกมานั้นฟังดูอ่อนโยน ฟังไม่ออกว่ากำลังอยู่ในอารมณ์ยินดีหรือยินร้าย
“เรียนคุณชาย พวกมันไม่ยอมหลีกทางให้เราขอรับ!” องครักษ์รีบกล่าวขึ้นมาในทันที
“หืม?” ชายหนุ่มมองไปยังรถม้าที่อยู่ตรงหน้า
อวี้อาเหรามองใบหน้าเยาว์วัยของชายหนุ่มผ่านทางแสงไฟสลัว ดูท่าแล้วคงจะมีอายุไม่เกินสิบหกสิบเจ็ดปี แต่ทั้งคำพูดและท่าทีกลับดูนิ่งขรึมจริงจัง แม้แต่เสียงพูดก็ยังฟังดูอ่อนโยน ได้ยินองครักษ์พูดขึ้นอย่างเป็นทุกข์เป็นร้อนก็ไม่มีท่าทีโกรธเคืองแต่อย่างใด
ใบหน้าของเขาดูหล่อเหลา แต่กลับทำให้นางรู้สึกหม่นหมองอย่างบอกไม่ถูก
ชายหนุ่มอ่อนเยาว์มองมาอยู่ชั่วครู่ แต่ก็กลับมองไม่เห็นว่าผู้ที่นั่งอยู่ในรถเป็นใครกันแน่ ดังนั้นจึงพูดว่า “ขอให้หลีกทางด้วย”
คำพูดเดียวกัน แต่เมื่อออกมาจากปากเขาแล้วกลับฟังดูไม่มีความโกรธเคืองเลยแม้แต่น้อย ราวกับกำลังอธิบายเรื่องราวอยู่อย่างนั้น แม้ในน้ำเสียงก็ไม่แสดงให้เห็นถึงความคลางแคลงใจ
ชิงอวิ๋นที่เมื่อครู่มีสีหน้าไม่ยินยอม ในยามนี้เมื่อถูกท่าทีของเขาบีบบังคับก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก
ต้าเว่ยทำเพียงหันไปถามด้านในรถม้าอย่างนอบน้อม “คุณหนู จะหลีกทางหรือไม่ขอรับ”
“หลีกทาง” เหนือความคาดหมาย อวี้อาเหรากลับตอบรับด้วยน้ำเสียงสดใส
เจาเอ๋อร์ที่นั่งอยู่ด้วยกันก็อดไม่ได้ที่จะตกใจท่าทีของนาง หากเป็นคุณหนูในยามปกติ แน่นอนว่านางต้องไม่ยอมเสียเปรียบเป็นแน่