บทที่ 327 – ด้วยพลังของตัวนายเอง (7)
“”ท๊าด๊าาา!””
เมื่อฉันได้กลับมาที่บ้านกิลด์บนโลก ฮวาหยากับไอน่าก็ได้มาต้อนรับฉันพร้อมเค้กที่พวกเธอได้ทำขึ้นมา
ตอนแรกฉันคิดว่าพวกเธออาจจะทำเค้กล้มเหลวและจบลงด้วยการสั่งร้านทำเค้ก แต่เมื่อได้เห็นการทาวิปครีมประหลาดๆกับเมล็ดองุ่นที่ฉันเห็นไอน่าเป็นคนหั่นทำให้พิสูจน์ได้เลยว่าพวกเธอเป็นคนทำขึ้นมาเอง
“นี่เธอทำให้ฉันหรอ?”
“แน่นอนสิ เป็นยังไงบ้างล่ะ? ดูเหมือนเหมือนตามร้านเค้กเลยใช่ไหม?”
“อย่างแรกเลยเธอควรจะเช็ดวิปครีมออกจากหน้าก่อนนะ”
“หืมม?”
พวกเธอคงจะต้องเล่นวิปครีมกันแน่ทำให้วิปครีมติดเต็มหน้าของพวกเธอเลย ฉันคิดว่าเธออาจจะตั้งใจปล่อยไว้แต่พอมาดูจากสีหน้าแล้วดูเหมือนเธอจะไม่รู้ตัวเอาซะเลย
ฉันได้เดินเข้าไปหาฮวาหยาและเช็ดวิปครีมออกจากหน้าให้เธอ จากนั้นฉันก็ไปเช็ดให้กับไอน่า เธอได้หัวเราะออกมาอย่างสนุกสนานและเกาะแขนของฉัน ฮวาหยาได้หน้าแดงเล็กน้อยพร้อมบ่นออกมา
“ไม่ใช่ว่านายต้องจูบหรือทำอะไรซักอย่างหรอ?”
“นั่นมันมีแต่ในพวกมังงะเก่าๆเท่านั้นแหละ”
“แต่นายจะไม่ทำ…? กรี๊ดด!”
เมื่อฉันได้ทำตามคำขอของเธอ เธอได้ตบฉันในทันที แม้ว่าเธอจะเป็นคนตีฉันเอง แต่เธอก็ต้องจับมือตัวเองด้วยความเจ็บปวด
“เจ้าโง่ ไว้ทำมันหลังจากใจฉันพร้อม!”
“ฉันก็แค่ทำตามที่เธอบอกนี่!”
“ฉันเกือบหัวใจวายแน่ะ!”
“คุณพ่อจูบไอน่าด้วย!”
ลูกสาวมีความซื่อตรงมากยิ่งกว่าแม่เธออีก เมื่อฉันได้กอดไอน่าและหอมแก้มเธอ ฮวาหยาก็หรี่ตามองมาที่ไอน่า
“ไม่รู้ทำไมฉันแต่ไอน่าเกลียดการแพ้ฉัน”
“เธอไม่ควรจะอิจฮาเด็กนะ ไปกินเค้กกันดีกว่า”
“อึก…”
เมื่อเราทั้งสามคนกำลังจะตัดเค้กเคียร่าก็ได้ปรากฏตัวออกมา หน้าของเธอมุ่ยอยู่ซึ่งทำให้ฉันรู้ได้เลยว่าเธอกำลังโกรธอยู่
“ตอนนี้ฉันขอเข้าร่วมด้วยคนได้ไหมคุณฮวาหยา?”
“ได้สิ มาเลย”
ฉันอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมากับลำดับชั้นที่ชัดเจนระหว่างพวกเธอ เคียร่าได้ก้มหัวให้ฉันเพื่อแสดงความเคารพก่อนที่จะหาที่นั่งของเธอ
“คุณฮีโร่ ฉันได้พยายามมาซักพักแล้ว แต่ว่าดูเหมือนฉันจะยังไม่เจอเบาะแสเลยว่าคลื่นเหตุการณ์ดันเจี้ยนครั้งต่อไปจะมาตอนไหน”
“ไม่ต้องเร่งหรอก พวกเรายังพอมีเวลาเหลืออยู่”
คำพูดของฉันได้ทำให้ฮวาหยายิ้มบางๆออกมาและพูดขึ้น
“แต่พวกเราน่าจะสามารถประมาณเวลาได้ มันอาจจะมีผิดพลาดเล็กน้อย แต่มันน่าจะเป็นประมาณสามเดือน”
“สามเดือนงั้นหรอ? …ฉันจะจำเอาไว้นะ”
“ฉันได้เห็นส่วนหนึ่งคือคุณฮีโร่กำลังสู้กับมอนสเตอร์… แต่ฉันไม่รู้ว่าที่ไหน ขอโทษด้วยนะคุณฮีโร่ ฉันยังขาดพลัง”
ฉันได้หั่นชิ้นเค้กออกมาไปใส่ในจานให้เคียร่าและพูดขึ้น
“ไม่ต้องขอโทษหรอกนะ หากว่าเธอพยายามแล้วแต่มันก็ยังทำไม่ได้ นั่นก็ไม่ใช่ความผิดของเธอ แค่ได้รู้ว่ามันเกิดขึ้นที่ไหนก็ดีพอแล้ว”
“ค่ะคุณฮีโร่”
เมื่อได้ยินคำพูดเคียร่าได้มีบางสิ่งโผล่ขึ้นมาในความคิดของฉัน แต่แล้วเมื่อฉันได้กัดเค้กลงไปมันก็หายไป ฉันก็แค่หวังว่าฮวาหยาจะทำเค้กพอกินได้ แต่ดูเหมือนเธอจะทำได้ดีกว่าที่คิด จริงๆแล้วมันอร่อยเลยล่ะ
ในขณะที่ฮวาหยากับไอน่าได้ทำเคกให้ฉัน ก็ไม่ใช่ว่าพวกเธอจะมีเวลาว่างขนาดนั้น หากคิดจากเวลาที่ต้องใช้ไปในการทำมันขึ้นมาแล้วเค้กนี้น่าจะมีราคาที่แพงที่สุดเลยก็ได้เมื่อเทียบกับค่าตัวพวกเธอ
ในตอนนี้สองสาวค่าตัวแพงกำลังนั่งฉิบชาอยู่ข้างๆฉันราวกับว่าพวกเธอไม่อยากจะเข้าไปในดันเจี้ยน ในเวลาเดียวกันฉันก็กำลังมีความสุขไปกับเค้กชิ้นที่สอง
หลังจากจ้องฉันมานานฮวาหยาก็ได้ถามขึ้นมา
“ชิน ตอนนี้นายอยู่ชั้น 90 แล้วน่ะหรอ?”
“ใช่แล้ว ฉันน่าจะรีบจัดการให้จบ”
“ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าฉันจะตามนายไม่ทันหลังจากเวลาผ่านมาขนาดนี้”
ฮวาหยาได้บ่นออกมาอย่างยอมแพ้ทำให้ฉันต้องลูบหัวด้วยรอยยิ้ม
“เธอน่าทึ่งมากอยู่แล้วน่า”
“ฮึ่ม นายเก่งกว่าฉันนายก็พูดได้นี่ จริงด้วยฉันจะไปดันเจี้ยน”
“เดี๋ยวสิฮวาหยา”
“หืม? อ่อ”
ฉันได้หยุดฮวาหยาไว้และหอมแก้มของเธอ เธอได้เบิกตากว้างขึ้นมาทันที
“ชิน ค่าสเตตัสฉันเพิ่งจะเพิ่ม…”
“เพราะงั้นฉันถึงทำนั่นแหละ”
“จูบเพิ่มค่าสเตตัสได้!?”
ในตอนนี้ฮวาหยาได้หยุดมองฉัน ดวงตาของเธอได้เต็มไปด้วยแรงบรรดาลใจที่น่ากลัว ฉันได้สับสนขึ้นมาในทันที
“โร… โรเล็ตต้าสอนฉันมา ฉันทำมันได้ก็เพราะพลังฉันพุ่งไปถึงระดับหนึ่ง นี่มันไม่ใช่ว่าใครก็ทำได้นะ ชัดเจนว่าที่ฉันมีอิทธิพลต่อคนอื่นมันก็เพราะฉันใช้พลังอินิกม่าได้แล้วก็พลังของเทพหลายๆคน มันไม่ได้ถาวรแต่ว่ามันก็น่าจะช่วยเธอในการต่อสู้ได้”
“นายต้องจูบไปกี่ครั้งกันถึงจะเรียนสกิลแบบนี้ได้!?”
คำพูดจี้จุดนี้ทำให้ฉันปฏิเสธในสิ่งที่เธอพูดออกมาไม่ได้เลย ตามที่โรเล็ตต้าพูดที่ฉันสามารถมอบพรให้กับคนอื่นได้ก็เพราะฉันคือคู่ของราชินีเอลฟ์โรเล็ตต้า
หรือก็คือฉันได้สนิทกับโรเล็ตต้าจนถึงขนาดที่ฉันได้รับการยอมรับจากพลังของเธอ
แทนที่จะตอบฮวาหยากลับไปตรงๆ ฉันได้ตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มแทน
“ฉันจะจูบเธอเพื่อชดใช้เหมือนกัน”
“มันคนล่ะเรื่องกันนะ!”
“แล้วเธอไม่อยากหรอ?”
“ไม่ ฉันอยาก ฉันอาจจะยอมแพ้ต่อการได้นายมาคนเดียว แต่ฉันไม่ยอมแพ้ผู้หญิงคนนั้น!”
“ฮวาหยา เธอแน่ใจนะว่าจะเลือกเส้นทางชีวิตที่ลำบากนั่น”
“เร็วเข้า จูบฉันสิบครั้งเดียวนี้! การทำกับริมฝีปากมีผลมากกว่าแก้มใช่ไหม!?”
เมื่อฉันได้ให้พรฮวาหยาไปจนเธอพอใจแล้ว คราวนี้ไอน่ากับเคียร่าก็กำลังมองมาที่ฉันด้วยตาเป็นประกาย อย่างแรกฉันได้ปล่อยเคียร่าไว้ก่อนเพราะเธอไม่ได้ต้องไปดันเจี้ยน
“คุณฮีโร่ ถ้าฉันได้รับพร ฉันมั่นใจว่าฉันจะต้องได้เห็นเวลาและสถานที่ที่แน่นอนแน่ๆ!”
“นั่นมันก็แค่การคิดไปเองเท่านั้น”
“ทำไมเราไม่ลองดูก่อนล่ะ!”
“ไม่จำเป็น ไปซะเถอะ ฟิ่ววว”
แต่ว่าฉันได้ให้พรกับไอน่า ไอน่าได้ยิ้มออกมาอย่างยินดี แต่ว่าเพราะสายตาที่จ้องมองมาหนักขึ้นของเคียร่า ได้ทำให้ฉันรีบหนีไปในดันเจี้ยนทันที
ดันเจี้ยนที่หนึ่งชั้นที่ 90 โดยปกติแล้วจะมีมอนสเตอร์ในระหว่างทางไปห้องบอสประจำชั้น แต่ว่าชั้นที่ 90 เงียบเกินไป ไม่มีหหุ่นยนต์และเครื่องจักรสังหารพยายามซุ่มโจมตีฉัน จะมีก็แต่ดินแดนกว้างใหญ่
แน่นอนว่าฉันก็พอจะรู้ว่าทำไมถึงได้เป็นแบบนี้ เครื่องจักรสังหารคือคนควบคุมหุ่นยนต์ที่ฉันได้เจอมาตลอดนับตั้งแต่ชั้นที่ 86 ด้วยร่างกายหลักที่เหลือเพียง 1% ทำให้แค่เขาหายใจก็ลำบากแล้ว
ด้วยเวลาในการย่อยเค้กที่กินไปจนหมด ฉันก็ได้มาถึงห้องบอสประจำชั้นแล้ว ใกล้กับจุดสิ้นสุดของพื้นที่กว้างใหญ่นี้มีประตูโลหะยักษ์ตั้งอยู่หนึ่งบานซึ่งไม่เข้ากับบริเวณรอบๆเลย แค่พลังงานเล็กน้อยจากมันก็ทำให้ฉันหนาวไปถึงกระดูกแล้ว
“ฟู่… เอาล่ะ”
เหมือนเคยการยืนอยู่ตรงหน้าห้องบอสประจำชั้นได้ทำให้ฉันรู้สึกถึงความตึงเครียด จากการที่เหลือร่างหลักเพียงแค่ 1% เท่านั้นทำให้เครื่องจักรสังหารจะต้องเตรียมการโจมตีอย่างรุนแรงที่สุดออกมาในทันทีแน่ ยังไงก็ตามความตึงเครียดระดับนี้ไม่ได้มีการขัดหวางการต่อสู้ใดๆกับฉันเลย จริงๆแล้วมันยังช่วยให้ฉันได้เตรียมตัวสู้และทำให้ดีกว่าปกติด้วยซ้ำไป
หลังจากได้สูดหายใจ ฉันก็เตะประตูโลหะเข้าไป
“มาสู้กันเครื่องจักรสังหาร!”
ยังไงก็ตามสิ่งที่ต้อนรับฉันก็คือซากปรักหักพังขนาดใหญ่
“ว้าว…”
ฉันได้มองออกไปรอบๆ เครื่องจักรขนาดยักษ์และสิ่งก่อสร้างได้มียาวจนไร้ที่สิ้นสุด แต่ว่าทั้งหมดนี้ต่างก็พังกันไปจนหมด พวกมันทั้งหมดดูเหมือนจะถูกระเบิดไปและซากปรักหักพังนี้มีขนาดเท่ากับเมืองๆหนึ่ง
“ถ้าฉันได้มาสู้ที่นี่จริงๆมันก็คงเป็นฉากที่น่าชมมาทีเดียวนะ”
ฉันได้พึมพัมออกมาด้วยรอยยิ้ม ดูเหมือนจะมีอาวุธบางอย่างถูกฝังอยู่ภายในท่ามกลางภูเขากองเศษเหล็กที่มียาวไร้จุดสิ้นสุด มันกำลังสั่นไหวอย่างน้อยๆเป็นสัญญาณว่าเครื่องจักรสังหารยังคงไม่ตาย
“ดูเหมือนฉันจะต้องหาร่างจริงเพื่อจบเรื่องนี้”
[มันยัง… ไม่จบ…]
โอ้! ดูเหมือนเครื่องจักรสังหารจะยังมีพลังอยู่ เมื่อมีเสียงดังออกมา ฉันก็ได้ตรวจพบถึงตัวตนมากมายที่โผล่ขึ้นมา อาวุธ ตัวตนพวกนั้นมาจากอาวุธที่ถูกทิ้งเอาไว้
มีปืนจำนวนมากที่ยังไม่พังไปจากการระเบิด แต่ดูเหมือนเครื่องจักรสังหารจะไม่มีพลังพอจะขยับอาวุธพวกนี้ เพราะแบบนั้นทำให้มีเพียงแค่อาวุธในยุคเก่าอย่างดาบ หอก ขวาน และค้อนเท่านั้นที่ลอยขึ้นมา
[อาวุธ… ด้วยพลังของฮีโร่… หากฉันมีมัน…!]
“นายอยากได้หอกแห่งความโกลาหลงั้นหรอ? โลภจริงๆเลยนะ”
ฉันได้ชูหอกขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม ยังไงก็ตามเครื่องจักรสังหารดูจะมีความมั่นใจบางอย่างอยู่
[ใน… ที่กว้าง… แห่งนี้… นายจะหา… ฉันเจองั้นหรอ…? ก่อนหน้านั้น… อาวุธของนาย… จะเป็น… ของฉัน…!]
ฉันคิดว่าฉันเข้าใจว่ามันกำลังพูดถึงอะไร ห้องบอสประจำชั้นไม่ต่างไปจากอาณาเขตของมัน ร่างกายหลักของมันอยู่ที่นี่และนี่คือสถานที่ที่ดีที่สุดสำหรับเครื่องจักรสังหารที่จะใช้ความสามารถในการควบคุมอาวุธของมัน
ถึงแม้กระทั่งในตอนนี้ฉันก็ยังรู้สึกได้ถึงมือที่มองไม่เห็นกำลังเอื้อมมาที่หอกแห่งความโกลาหล ถึงแม้ว่าเครื่องจักรสังหารในตอนนี้จะหายใจได้ลำบากแล้ว แต่ศัตรูแห่งโลกก็ยังคงเป็นศัตรูแห่งโลกอยู่ดี
“เอาล่ะ เข้ามาได้เต็มที่เลย”
[ฟู่…!]
อาวุธได้ลอยขึ้นมา อาวุธจำนวนนับไม่ถ้วนที่เหมือนกับที่ฉันได้เจอมาในตอนปะทะกับอัศวินแห่งความตายได้พุ่งเข้ามาใส่ฉัน ไม่สิ พูดให้ชัดคือมันกำลังเล็งมาที่หอกแห่งความโกลาหล เมื่อตัดสินจากคำพูดที่เครื่องจักรสังหารพูดออกมา ดูเหมือนว่ามันจะสามารถดูดพลังของอาวุธและทำให้กลายไปเป็นของตัวเองได้…!
“ไกอาบัสเตอร์!”
ฉันได้ตะโกนออกมาอยย่างดังลั่นและแทงหอกลงไปบนพื้น สายฟ้าสีดำได้พุ่งจากปลายหอกลงไปตามพื้นที่ของซากปรักหักพัง
แรงระเบิดได้ปะทุออกมา แต่ว่าฉันก็ไม่ได้สนใจเลย รอยแตกได้ปรากฏขึ้นตามโลหะและแยกพวกมันออกมากลายเป็นเศษชิ้นส่วนนับล้าน
[นี่มัน!?]
“มาดูกันว่าหลังจากฉันกำจัดพื้นดินไปจนหมดแล้วนายจะยังซ่อนได้อีกไหม!”
ฉันได้ยกหอกขึ้นมา ตวัดลงไปเป็นสัญญาณ อาวุธของเครื่องจักรสังหารที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าได้ถูกพัดกระจายออกไปด้วยผลของไกอาบัสเตอร์ในทันที
แรงระเบิดที่มหาศาลได้ปะทุขึ้นมา ฉันได้แทกหอกลงไปบนพื้นอย่างรุนแรงอีกครั้ง ในคราวนี้ฉันได้ส่งพลังงานบริสุทธิ์ออกไปจากปล่อยหอก
จากนั้นฉันก็หาร่างหลักของเครื่องจักรสังหารเจอได้อย่างง่ายดาย
[อึก!?]
“มาดูกันว่าคราวนี้นายจะหนีไปยังไงอีก!”
ฉันได้ถึงหอกขึ้นมาและตวัดออกไป เส้นออร่าของมันที่เชื่อมอยู่กับดาบยาวที่แหลมคมได้ถูกดึงออกมาซึ่งฉันได้ใช้มือจับเอาไว้ ถึงฉันจะรู้สึกได้ถึงแรงสะท้อนกลับที่มหาศาลแต่ด้วยสกิลยึดครองของเหล็กหน้าได้ป้องกันให้ฉันไว้ส่วนหนึ่ง และฉันได้เพิ่มพลังออร่าของตัวเองขึ้นไปเพื่อทำลายมัน
บาเรียป้องกันของดาบได้แตกกระจายอกไปเป็นชิ้นๆและร่างจริงของมันได้โผล่ขึ้นมา
“… นี่มันน่าทึ่ง…”
ดาบที่มีความคมและรูปร่างที่สมบูรณ์แบบ และด้ามจับที่ถูกทำขึ้นมาจากหนังอะไรซักอย่าง ที่ด้ามจับมีอัญมณีสีเดียวที่ส่องประกายออกมาเป็นระยะติดอยู่
“ร่างกายหลักของนายคือดาบ?”
[ได้ยังไงกัน แค่ในเวลาสองเดือน… อึก!]
เครื่องจักรสังหารก็ดูเหมือนจะตกตะลึงเหมือนกับฉัน แต่ว่าเป็นคนล่ะเรื่องกัน แน่นอนว่าจริงๆแล้วหากเป็นเมื่อสองเดือนก่อนตัวฉันไม่อาจจะใช้ออร่าตัวเองได้อิสระแบบนี้
ยังไงก็ตามเมื่อฉันได้คิดเกี่ยวกับการใช้ออร่ากับเทคนิคหอกมากขึ้น ฉันก็ได้เรียนรู้ในการใช้ออร่าเหมือนแขนขาตัวเอง แต่แน่นอนว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่ฉันทำสำเร็จได้เพียงคนเดียว
เลียร่าไม่ได้แค่สอนสกิลท่องมิติให้กับฉันเท่านั้น เธอได้ถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับมานาทั้งหมดมาให้ฉัน มันเป็นความรู้ที่ตัวฉันเมื่อก่อนไม่ได้สนใจเลย แต่ในตอนนี้ฉันต้องการมันอย่างมาก
หากว่าไม่มีความรู้นี้ ฉันก็คงไม่สามารถจะควบคุมในพลังที่แตกต่างกันมากมายที่มีในร่างได้สมบูรณ์แน่นอน
ในตอนนี้เครื่องจักรสังหารได้อยู่ภายในมือของฉัน มันได้ส่งพลังอำนาจที่เหนือกว่าจินตนาการของฉันพยายามรุกล้ำเข้ามาควบคุมอาวุธทั้งหมดของฉัน ฉันรู้ถึงแหล่งพลังของอำนาจนี้ได้ในทันที มันก็คืออัญมณีสีเขียวที่เปล่งประกาย
อัญมณีนี้ก็คือสิ่งที่ควบคุมอาวุธและหุ่นยนต์จำนวนมาก! หากว่าฉันไม่ได้ทำลายเครื่องจักรทั้งหมดและโลหะไปในก่อนหน้านี้ การจะหาร่างกายหลักของเครื่องจักรสังการก็คงจะเป็นเรื่องอย่าง แค่คิดก็ทำให้ฉันต้องเหงื่อตกแล้ว
ยังไงก็ตามความจริงในตอนนี้ก็คือร่างกายหลักของเครื่องจักรสังหารได้อยู่ในมือฉันแล้ว
[นายทำลาย… ฉันไม่ได้… ตราบใดที่… มีอาวุธอยู่… ฉันจะไม่มีวัน… ถูกกำจัด….!]
“ใครบอกว่าฉันจะทำลายนาย?”
ฉันได้ตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็ดึงเอาอัญมณีสีเขียวออกมาจากดาบและบีบมันไป
“ขอบคุณสำหรับอาหารนะ”
จากนั้นฉันก็ได้เริ่มขโมยพลังของมัน