บทที่ 333 – คลื่นลูกสุดท้าย (3)
ฉันก็รู้นะว่าดันเจี้ยนได้เต็มไปด้วยเรื่องลี้ลับ แต่ว่าฉันก็ไม่อาจจะเข้าใจได้เลยว่าชั้นๆหนึ่งในดันเจี้ยนได้มีพื้นที่ขนาดใหญ่กว่าโลกถึงสามเท่าได้ยังไงกัน
ยิ่งกว่านั้นมอนสเตอร์แต่ล่ะตัวในที่แห่งนี้ก็ยังมีขนาดใหญ่พอจะทำลายเมืองขนาดใหญ่หรือแม้กระทั่งประเทศเล็กๆได้เลยด้วยซ้ำ แถมไม่ใช่ว่ามีแค่ไม่กี่ตัวเท่านั้นนะ ทั้งชั้นนี้ได้เต็มไปด้วยมอนสเตอร์แบบนั้นยั้วเยี้ยเต็มไปหมด!
“นี่เธอพาเจ้าพวกนี้มาที่นี่ได้ยังไงกันเนี้ย?”
[ฉันได้เคลื่อนย้ายโลกที่เฝ้ารอหายนะหลังจากสูญเสียพลังไป]
“โลก… ทั้งใบ?”
[ใช่แล้ว ไม่ใช่ว่าทุกโลกจะถูกนับว่าเป็นผู้ชนะหรือผู้แพ้เท่านั้น หากว่าฮีโร่ได้หนีมาที่ดันเจี้ยนหลังจากได้เห็นความพ่ายแพ้ ทั้งโลกผู้บุกรุกและโลกผู้ตั้งรับก็จะต้องเจอจุดจบ นอกไปจากนี้หากพลังแห่งโลกไม่ได้ถูกเอาออกไปจากฮีโร่ตรงๆ ก็มีโอกาสที่จู่ๆพลังแห่งโลกหายไปเองเลยก็ได้ หรือก็คือแค่เพราะเป็นฝ่ายที่ชนะก็ไม่ได้หมายความว่าโลกที่ชนะจะเป็นผู้รอดหรอกนะ]
นี่คือเรื่องที่ฉันเคยคิดมาก่อนแล้ว ฉันได้รู้แล้วว่าโรเล็ตต้าคือฮโร่ที่มาที่ดันเจี้ยนพร้อมพลังอย่างครบถ้วนหลังจากที่พ่ายแพ้ สำหรับเหล่าหัวหน้ากิลด์ผู้ดูแลก็เป็นเช่นเดียวกัน และเคนก็ไม่ใช่เพียงฮีโร่ที่หลบหนีเพียงคนเดียวในหมู่นักสำรวจแน่นอน
หลังจากฮีโร่พ่ายแพ้ ชะตากรรมโดยปกติของโลกที่ป้องกันก็คือสูญพันธ์ แต่แล้วโลกที่โจมตีล่ะ?
หากว่าการทำลายกันและกันเกิดขึ้นมาจากการดิ้นรนเอาชีวิตรอด แล้วนั่นไม่ใช่ว่ามันยิ่งน่าสิ้นหวังหรอกหรอ? ฉันไม่อาจจะให้กำลังใจพวกเขาได้ แต่ในท้ายที่สุดพวกเขาก็ยังคงเป็นเหยื่อของการแข่งขันเอาตัวรอด
“นั่นมัน… โชคร้ายมาก”
[ดันเจี้ยนมีการทดลองเตรียมตัวสำหรับผู้ท้าทายและเหล่าโลกที่ยินดีที่ได้รู้ว่ามีทางรอดอยู่ ในเมื่อทั้งสองฝ่ายได้รับประโยชน์ เพราะงั้นดันเจี้ยนถึงสามารถที่จะเตรียมสภาพแวดล้อมสำหรับนักสำรวจแบบนี้ได้]
นี่มันน่าหัวเราะจริงๆ ดันเจี้ยน กลุ่มผู้โจมตี กลุ่มผู้ตั้งรับ ทุกๆคน ใครกันบ้างที่จะไม่คิดว่ามันน่าตลกบ้าง?
“คงไม่ได้มีแค่ชั้นนี้ชั้นเดียวที่เป็นแบบนั้นใช่ไหม? เชอร์ราฟิน่า… นี่เธอ…”
ฉันได้หยุดพูดแค่กลางทางและกลืนคำพูดลงไป จู่ๆความคิดหนึ่งได้แล่นเข้ามาในหัวของฉัน หากว่าเชอร์ราฟิน่าได้เคลื่อนย้ายทั้งโลกมา นั่นไม่ใช่ว่าดันเจี้ยนเป็นสถานที่จัดการดูแลโลกพวกนั้นหรอกหรอ?
หากว่าเชอร์ราฟิน่ามีพลังมากขนาดนี้ ถ้างั้นทำไมเธอถึงจำเป็นต้องบ่มเพาะฮีโร่และนักสำรวจผ่านดันเจี้ยนด้วยล่ะ? เธอไม่อาจจะแก้ปัญหามันได้ด้วยกำลังของเธอตรงๆงั้นหรอ? ทำไมเธอถึงได้ต้องสร้างระบบที่เป็นที่รู้จักกันว่าดันเจี้ยนด้วยล่ะ?
[นับตั้งแต่ดันเจี้ยนถูกก่อตั้งมานี่เป็นครั้งแรกเลยที่ชั้นระดับโลกได้ถูกเปิดขึ้นให้นักสำรวจ เพื่อป้องกันไม่ให้ดันเจี้ยนสูญเสียพลังไป ทุกๆอย่างบนชั้นนี้จะใช้ได้ครั้งเดียวเท่านั้น ถึงแม้ว่านี่จะมีภาระอยู่บ้าง แต่ว่าเพื่อบรรลุเป้าหมายของดันเจี้ยนแล้วจำเป็นต้องมีการเสียสละบ้าง]
“เป้าหมาย…”
[เนื่องจากว่าพลังของดันเจี้ยนได้ถูกใช้ไปน้อยมากๆ เพราะงั้นดันเจี้ยนจึงมีอำนาจการควบคุมที่น้อยมากๆเช่นกัน ระวังอันตรายเอาไว้ด้วย]
“ขอบคุณที่แนะนำนะ”
ฉันได้ยิ้มแห้งๆกับข้อความของเชอร์ราฟิน่า จังหวะข้อความของเธอมันเหมาะเจาะราวกับว่าเธอได้เตรียมขอโทษไว้ก่อนแล้ว
มอนสเตอร์ในบริเวณใกล้เคียงได้พุ่งเข้ามาหาฉัน ราวกับว่าฉันเป็นตั๋วสู่อิสระภาพของพวกมัน ท้องฟ้าได้เต็มไปด้วยมังกรนับไม่ถ้วน ผืนดินได้เต็มไปด้วยแมลงช้างและมอนสเตอร์ขนาดยักษ์ที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ดิน และในท้องทะเลก็มีคราเค่นขนาดยักษ์กับมอนสเตอร์ทะเลอื่นๆโผล่ขึ้นมา โลกใบนี้ทั้งใบคือศัตรูของฉัน
“ฉันก็รู้สึกเสียใจสำหรับพวกนายทุกคนนะ แต่ว่าน่าเศร้าที่ในจุดนี้เราไม่อาจจะร่วมมือเป็นเพื่อนกันได้”
ฉันได้จับหอกแน่น คมหอกสายฟ้ายาวหลายสิบเมตรได้ตัดผ่านอากาศและตัดหัวมังกรหลายตัวไปอย่างสวดงาม
“พี่ชายคนนี้ยุ่งมากๆ เพราะงั้นรีบๆหน่อยนะ”
ฉันได้ประกาศออกไปพร้อมๆกับปล่อยมานาออกไปและเพิ่มระยะการตรวจจับออกไป ในปัจจุบันนี้ภารกิจที่สำคัญที่สุดก็คือไปถึงจุดสิ้นสุดของดันเจี้ยน เรื่องอื่นฉันสามารถเอาไว้คิดหลังจากนั้นได้
“ดูเหมือนว่าบันไดไปชั้นต่อไปจะไม่ได้อยู่แถวๆนี้ ชั้นคิดว่าฉันจะต้องกวาดล้างที่นี่ก่อนจะไปสินะ”
[ข้าดอร์ตู ดอร์ตูจะช่วยนายท่านเก็บกวาดเอง]
โดยทั่วไปแล้ว โลหะจะมีการนำความร้อนและไฟฟ้าที่สูง ถึงแม้ว่าทองแดงจะเป็นโลหะที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย แต่จริงๆแล้วเงินคือโลหะที่มีการนำความร้อนและไฟฟ้าสูงที่สุด แต่ที่มีการใช้ทองแดงนั่นก็เพราะว่าค่าใช้จ่ายสำหรับเงินสูงเกินไป
ยังไงก็ตามนั่นก็เป็นเรื่องก่อนที่มานากับมอนสเตอร์จะโผล่ขึ้นมา ด้วยการปรากฏตัวของมอนสเตอร์ทำให้โลกได้ค้นพบกับโลหะใหม่ๆ และเงินก็ได้ตกอันดับลงไปอย่างรวดเร็ว แต่แน่นอนว่าด้วยค่าใช้จ่ายสำหรับโลหะใหม่นั้นมีราคาสูงเกินไปเช่นกันทำให้ทองแดงก็ยังถูกใช้อย่างแพร่หลายอยู่ดี
แต่ไม่ว่าจะยังไงดอร์ตูก็มีความสามารถในการสร้างโลหะที่มีการนำความร้อนและไฟฟ้าสูงยิ่งกว่าโลหะที่ถูกค้นพบอีก ไม่เพียงแค่นั้นแต่โลหะของดอร์ตูยังสามารถส่งต่อพลังงานได้โดยไม่สูญเสียไปอีกด้วย และดอร์ตูก็สามารถเปลื่ยนพลังความร้อนไปเป็นโลหะได้ด้วยซ้ำ
ที่น่าทึ่งเรื่องความสามารถของดอร์ตูก็คือดอร์ตูไม่อาจจะสร้างทองได้อย่างไร้ขีดจำกัด แต่ไม่ว่าจะยังไงก็คือดอร์ตูสามารถจะสร้างโลหะใดๆก็ได้ตามต้องการ
[ข้าดอร์ตู ตอนนี้ดอร์ตูจะสร้างเครื่องมือนรกสายฟ้าทัณฑ์ทรมาน]
“ขอโทษนะดอร์ตู แต่ว่าชื่อที่นายตั้งนี่มันดูงี่เง่ามากเลยล่ะ”
ฉันอดไม่ได้ที่จะขัดขึ้นมา
[ข้าดอร์ตู ข้าจะไม่สร้างแล้ว]
“อย่างอลสิ สร้างมันเถอะดอร์ตู”
[…ข้าดอร์ตู ตอนนี้ดอร์ตูจะสร้าง electric hell]
นี่ดอร์ตูคิดว่าแค่พูดเป็นภาษาอังกฤษมันเท่ขึ้นแล้วงั้นหรอ? เสียใจด้วยนะดอร์ตู แต่นายคิดผิด… แล้วคำว่า ‘ทัณฑ์ทรมาน’ นั่นหายไปไหนแล้วล่ะ?… อย่าบอกนะว่านายไม่รู้คำนี้ในภาษาอังกฤษ?
ในตอนนี้ตรงจุดหนึ่งบนท้องฟ้าได้มีเส้นโลหะได้เริ่มถูกวาดขึ้น ดอร์ตูได้ใช้อากาศเป็นกระดานวาดภาพวาดเส้นโลหะออกมา
ในพริบตาเดียวรายเส้นก็ได้ยืดไกลออกไปจากสายตาของฉันและกระทั่งแยกออกมาเป็นสามเส้นเหมือนกิ่งไม้อีกด้วย จากนั้นก็ทะลวงเข้าใส่มอนสเตอร์ที่อยู่ตามเส้นทาง ถึงแม้ว่ามอนสเตอร์ที่บ้าคลั่งจะได้ทำลายรายเส้นบางส่วนไป แต่ว่ารอยแตกก็จะถูกซ่อมแซมในพริบตาเดียวและสังหารมอนสเตอร์ใกล้ๆต่อไป
“น่ากลัว”
มันให้ความรู้สึกราวกับว่าทั้งโลกใบนี้ได้ติดอยู่ในกับดักกรงนกที่ดอร์ตูสร้างขึ้นมา เริ่มจากเส้นโลหะเส้นหนึ่งแต่ในตอนนี้มันได้แผ่กิ่งก้านออกมาจนปกคลุมทั้งน่านฟ้าและเริ่มที่จะรุกล้ำเข้าไปในผืนดินและท้องทะเลแล้ว มานาของฉันได้ถูกดูดออกไปอย่างต่อเนื่อง นี่มันหมายความว่าโลหะที่ดอร์ตูกำลังใช้อยู่ทรงพลังอย่างมาก
[ข้าดอร์ตู เตรียมการเสร็จสิ้นแล้ว]
[ฉันก็ทำเสร็จแล้วนายท่าน!]
“เยี่ยมล่ะ มาเริ่มกันเลย!”
หอกสายฟ้าได้หดขนาดกลับลงมาเป็นปกติในทันที เมื่อพลังสายฟ้าได้ถูกบีบอัดเข้าไปในที่จับหอก ประกายสายฟ้าสีแพลตตินั่มก็ได้เริ่มโผล่ขึ้นมารอบๆตัวหอก สายฟ้าของซุสจะทรงพลังกว่าสายฟ้านี่ไหมนะ? บางทีด้วยเทพแห่งท้องฟ้าพิโรธอาจจะทรงพลังกว่าก็ได้ แต่นอกจากนั้นพลังของไพก้ากับดอร์ตูที่ผสานรวมกันก็อาจจะเทียบสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ของซุสได้เลย
[กรรรรรรรรรรร!]
มังกรที่ถูกเส้นโลหะหลายสิบเส้นทะลวงไปได้คำรามและพ่นลมหายใจเพลิงออกมา โลหะที่ดอร์ตูสร้างขึ้นมีการนำความร้อนที่สูงมาก ในทันทีที่มันพ่นลมหายใจออกมาทำให้มอนสเตอร์ตัวอื่นๆนับไม่ถ้วยได้คำรามออกมาอย่างเจ็บปวด
ในตอนนี้เองฉันก็ได้ยกหอกขึ้นและแทงลงไปบนเส้นโลหะใกล้ๆ
“ฮ่าาาาห์!”
หอกสายฟ้าได้ตัดเส้นโลหะและปล่อยสายฟ้าเข้าไปข้างในพร้อมๆกัน ทะโลกได้ถูกย้อมกลายเป็นสีขาวในทันที พลังสายฟ้าในระดับที่น่าทึ่งได้ปะทุขึ้นผ่านเส้นโลหะและไปถึงเป้าหมายทุกๆเป้าหมายบนโลก
[นายท่าน ยังมีมอนสเตอร์อีกมากที่ยังหายใจอยู่!]
“ไม่เป็นไร ปล่อยพวกมันไว้เถอะ มันไม่น่าจะมีภัยอะไรอีกแล้ว”
ฉันได้ดึงหอกกลับมาและมองไปรอบๆ อย่างแรกคือฉันไม่เนมอนสเตอร์บนท้องฟ้าอีกแล้ว เพราะโลหะของดอร์ตูได้ปกคลุมในพื้นที่ส่วนใหญ่ของท้องฟ้า ทำให้ในท้องฟ้าในตอนนี้มีเหลือแต่ความว่างเปล่าหมดจด
มีมอนสเตอร์บาดเจ็บอยู่จำนวนมากบนพื้นดิน และมอนสเตอร์ในท้องทะเลก็คงจะถูกช็อตอย่างรุนแรงทำให้มีหนวดหลายร้อยอันถูกต้มลอยขึ้นมาบนน้ำ
แต่ว่าหากพวกมันตายไปแล้ว พวกมันก็น่าจะหายไปกลายเป็นเศษเสี้ยวแสงไปแล้ว แต่พวกมันยังมีชีวิตอยู่ทั้งๆที่หนวดของพวกมันถูกย่างไปแล้ว
[ข้าดอร์ตู มอนสเตอร์ในพื้นที่แห่งนี้ได้ถูกถอดคมเขี้ยวไปหมดแล้ว แต่ว่าการปะทุของมานาในก่อนหน้านี้ได้ดึงดูดมอนสเตอร์มากยิ่งขึ้น นายท่านมีมานาต่ำ]
“ไม่เป็นไร บนท้องฟ้ามีมานากระจายอยู่มากมายจากการตายของพวกมอนสเตอร์”
ฉันได้ยิ้มออกมากับความกังวลของดอร์ตู จากนั้นกระจายพลังของเหล็กกล้าและเริ่มวงจรเพรูต้าไปในทันที ละอองมานาในอากาศได้ถูกดูดเข้ามาในตัวฉันในทันที
“ฉันจะพิชิตโลกใบนี้”
หลังจากดูดมานาที่กระจัดกระจายทั้งหมดเข้ามา ฉันก็ได้พึมพัมออกมา
“เธอบอกว่าชั้นที่ 45 คือบียอนด์ชั้นสุดท้ายแล้วใช่ไหม?”
[ใช่แล้ว ไม่เคยมีนักสำรวจคนไหนก้าวเท้าเข้าไปในชั้นที่ 45 มาก่อน เหมือนๆกันกับดันเจี้ยนชั้นที่ 100]
“เพราะงั้นหากไม่ได้เข้าไปในบียอนด์ตอนชั้นที่ 55 ก็จะไม่มีวันไปถึงชั้นสุดท้ายของบียอนด์สินะ เป็นเส้นทางที่ยากลำบากน่าดูเลยนะ”
[บียอนด์นั้นแตกต่างไปจากดันเจี้ยนส่วนที่เหลืออยู่เล็กน้อย]
โดยปกติแล้วควรที่จะมีรายละเอียดมากกว่านี้อีก แต่ว่าเชอร์ราฟิน่าก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาแล้ว เมื่อฉันกำลังคิดว่าเธอจะไม่บอกอะไรอีกแล้ว จู่ๆข้อความของเธอก็แสดงต่อออกมา
[ที่นั่นมีสิ่งมีชีวิตที่สามารถเพิกเฉยในพลังส่วนหนึ่งของดันเจี้ยนได้ทั้งๆที่ถูกผูกติดอยู่กับดันเจี้ยน ชั้นสูงขึ้นไปของบียอนด์ก็คือสถานที่สำหรับทดสอบว่านักสำรวจจะสามารถเอาชนะตัวตนเหล่านี้ได้หรือไม่]
“และหากว่าล้มเหลว พวกเขาเหล่านั้นก็จะตาย”
[ทุกวันนี้ไม่เคยเกิดเรื่องนั้นมาก่อน]
เชอร์ราฟิน่าได้พูดเหมือนกับนี่คือความภาคภูมิใจของเธอ เนื่องจากว่าฉันไม่อยากจะยั่วโมโหให้เธอเกลียดฉันทำให้ฉันรีบเปลื่ยนเรื่อง
“ถ้าพิชิตบียอนด์ได้ทั้งหมดจะเกิดอะไรขึ้น”
[คุณจะได้รับพลังแห่งโลก]
“หืม?”
[ตลอดหลายยุคที่ผ่านมามีนักสำรวจจำนวนนับไม่ถ้วนและฮีโร่จำนวนมากมายได้เข้ามาในดันเจี้ยน ฮีโร่ได้ตายไปในระหว่างอยู่ในดันเจี้ยนโดยไร้เป้าหมายและเหตุผลที่จะมอบพลังต่อให้คนอื่น เพราะแบบนั้นดันเจี้ยนจึงได้รับเอาพลังพวกเขามาในตอนพวกเขาตาย นักสำรวจที่พิชิตบียอนด์ได้ก็จะได้รับส่วนหนึ่งของพลังแห่งโลกนั่น]
พลังแห่งโลกหนึ่งอันสามารถจะทำอะไรได้บ้าง? ทุกๆโลกต่างก็มีพลังที่พอดีกับรูปร่างและขนาดของมัน แต่หากว่าพลังแห่งโลกได้ถูกนำออกไปจากโลก โลกนั่นก็จะสูญเสียพลังของมันไป… ถ้างั้นการชุบชีวิตโลกขึ้นมาก็น่าจะเป็นไปได้ ต่อให้จะชุบชีวิตกลับมาไม่ได้สมบูรณ์ ต่อให้ทุกๆอย่างไม่ได้กลับไปเข้าที่เข้าทางอย่างเดิม…
ไม่ว่ายังไงรางวัลที่ได้จากการพิชิตดันเจี้ยนก็จะต้องคล้ายๆกัน
….ฉันน่าจะเป็นคนแรกที่ได้ยินเรื่องนี้ใช่ไหม?
ฉันรู้สึกปวดหัวเล็กๆ แต่ว่าหลังจากสูดหายใจลึกๆเข้าไป ฉันก็ใจเย็นลงแล้ว
“ฉันขอบอกเลยนะว่าฉันไม่ต้องการอะไรแบบนั้น เก็บมันไว้ให้นักสำรวจคนอื่นเถอะ”
[ในกรณีที่เป็นผู้พิชิต คุณก็จะมีอำนาจให้การมอบพลังให้กับนักสำรวจที่คุณเลือก]
ฉันได้หยักหน้าโดยไม่ตอบกลับไป ยังไงก็ตามนักสำรวจต่างโลกส่วนใหญ่ที่ฉันรู้จักต่างก็เป็นฮีโร่ที่มีพลังแห่งโลกของพวกเขาอยู่แล้ว หรือไม่ก็เป็นคนแบบรูเดียที่เตรียมตัวต่อสู้ฝ่ายที่ขโมยพลังแห่งโลกไป ถึงแม้ว่าโลกของเคนจะสูญพันธ์ไปแล้ว แต่ว่าเขาก็ยังคงมีพลังแห่งโลกอยู่
มีนักสำรวจมากแค่ไหนกันที่ต้องการในพลังแห่งโลก? หากว่าฉันต้องเลือกใครสักคนให้ได้รับพลังนี่ไป ฉันจะเลือกยังไงกันดีล่ะ?
“เธอนี่ชอบทำให้คนอื่นมีปัญหานะเชอร์ราฟิน่า”
ฉันได้พูดออกมาอย่างหน่ายใจ จากนั้นเชอร์ราฟิน่าก็ได้ตอบฉันมาด้วยน้ำเสียงต่างจากปกติ เป็นเสียงเหมือนกันสาวน้อยที่เต็มไปด้วยอารมณ์
[ฉันกำลังหยั่งรากลึกลงไปในก้นบึ้งหัวใจของคุณอยู่ ตลอดเวลาและตลอดไป]
จากนั้นเวลาก็ผ่านไปอีกหนึ่งเดือน
ฉันกำลังก้าวผ่านเข้าไปในบียอนด์ชั้นที่ 44