ตอนที่ 261 เจ้าไม่กลัวหรือ
อวี้อาเหรายกยิ้มมุมปาก และคิ้วเลิกขึ้น “เจ้าเองก็รักษาตัวให้หายดีเถิด ที่หานสือบอกข้านั้นเป็นเพราะสถานการณ์บังคับ อย่าได้โทษเขาเลย หากไม่ใช่เพราะข้า เจ้าไหนเลยจะมานอนนิ่งๆ อยู่เช่นนี้ได้ คนทั้งใต้หล้าคงจะรู้กันหมดแล้วว่าเจ้าเป็นโรคที่หาได้ยากยิ่งเช่นนี้”
ฉู่ป๋ายไม่ตอบคำ เพียงแต่มองนางเงียบๆ จู่ๆ แววตาก็ฉายประกายลึกซึ้งในทันใด “เจ้าไม่กลัวหรือ”
“อะไรนะ” อวี้อาเหราชะงักไปเล็กน้อย
“เจ้าไม่กลัว…ใบหน้าน่าหวาดกลัวของข้าเมื่อวานนี้หรือ” ฉู่ป๋ายอ้าปาก คิดอยากจะพูดอะไรออกมา จนกระทั่งผ่านไปนานพอควรถึงได้กล่าวออกมาจนจบประโยคได้ หลังจากที่พูดจบ เขาก็ก้มหน้าลงในทันใด ทำให้นางมองใบหน้าขาวราวแผ่นหยกของเขาได้ไม่ชัดเจนนัก
“กลัว?” อวี้อาเหรานิ่งไป ก่อนจะยิ้มออกมาอีกครั้ง “ข้าจะกลัวเจ้าทำไมกัน”
แม้ว่าเมื่อวานนี้ฉู่ป๋ายจะดูน่ากลัวกว่าปกติอยู่มาก แต่นางที่มาจากยุคปัจจุบันจะไม่เคยเห็นสิ่งน่ากลัวมาเลยหรือ แล้วทำไมถึงจะต้องตกใจเพราะเขาด้วย นางยอมรับว่าก็มีตกใจอยู่บ้างชั่วขณะ แต่หากนางกลัว เช่นนั้นก็คงจะไม่ช่วยให้เขาฟื้นคืนสติด้วยการนำชีวิตตัวเองไปเสี่ยงอันตรายเช่นนี้แน่
เรื่องนี้แม้คิดเล่นๆ ก็คงจะเข้าใจ แล้วคนฉลาดเฉลียวอย่างฉู่ป๋ายก็คงไม่ต้องอธิบายอะไรให้เสียเวลา
เมื่อเห็นเขาป่วยเช่นนี้ อวี้อาเหราจึงค่อยมีความอดทนกว่าเดิมขึ้นมาก เมื่อเห็นเขาเงยหน้าขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ ดวงตาใสเหมือนบ่อน้ำที่ไร้คลื่นส่องประกายล้ำค่า จากนั้นก็หัวเราะ “เจ้ามีอะไรให้น่ากลัวกัน นี่ก็เป็นแค่อาการของโรคก็เท่านั้น ที่สูญเสียความควบคุมไปเมื่อวานนี้ไม่ใช่เจ้าตัวจริงเสียหน่อย”
“อืม” ฉู่ป๋ายทำราวกับกำลังสั่นสะท้านเพราะคำพูดของนาง แต่ก็ดูราวกับไม่ได้เป็นอะไร ทำเพียงจ้องมองนางด้วยดวงตาดำขลับนิ่งสงบ ราวกับมองเห็นใบหน้าของนางเป็นดอกไม้ดอกหนึ่ง
อวี้อาเหราไม่คุ้นชินกับสายตาแปลกๆ เช่นนี้ของเขา ทันใดนั้นก็หลบสายตาไปโดยไม่ตั้งตัว
เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นกำไลหยกเลือดที่อยู่บนข้อมือ ทันใดนั้นนางก็เอ่ยถามขึ้นมาว่า “ข้าได้ยินมาจากหานสือว่ามีนักพรตมอบหยกเลือดนี้ให้กับเจ้าหรือ”
“ก็ไม่ถือว่ามอบให้ข้าหรอก” ฉู่ป๋ายคิดอย่างถี่ถ้วน มองไปยังหยกเลือกที่อยู่บนข้อมือนาง “ความจริงแล้วเป็นเสด็จแม่ของข้าและเสด็จแม่ของเจ้าที่พบมันด้วยกัน หยกชิ้นนี้มีค่าควรเมือง เพียงมองดูก็รู้ว่าไม่ใช่ของธรรมดา แต่เดิมคิดว่าจะเอากลับมาที่จวน แต่ภายหลังมีนักพรตผู้หนึ่งกล่าวเอาไว้ว่าหยกเลือดนี้ได้ผูกชะตาคนกลุ่มหนึ่งเอาไว้ หากมอบให้กับผู้ที่ไม่ควรได้รับจะนำพาโชคร้ายมาให้อย่างใหญ่หลวง เพราะอย่างนั้นจึงให้เสด็จแม่ของข้านำหยกเลือดนี้แขวนไว้กับตัวข้าตั้งแต่เด็ก อีกทั้ง…”
“อีกทั้งยังส่งมอบให้ข้างั้นหรือ” อวี้อาเหราพึมพำกับตัวเอง
ฉู่ป๋ายตกตะลึงในทันใด “เจ้ารู้หรือ”
อวี้อาเหรากระแอมเล็กน้อย “ก็ในเมื่อเสด็จแม่ของเจ้าและเสด็จแม่ของข้าพบหยกชิ้นนี้ด้วยกัน เจ้ารู้เรื่องทั้งหมด ข้าเองก็ต้องรู้ด้วยน่ะสิ แต่ไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จประการใด เพราะอย่างนั้นถึงคิดจะมาถามเจ้า”
ความประหลาดใจบนใบหน้าของฉู่ป๋ายค่อยๆ จางหายไป จากนั้นก็พยักหน้าลง “เสด็จแม่ก็ให้ข้าหาโอกาสมอบให้เจ้าจริงๆ”
อวี้อาเหราไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก จ้องมองหยกเลือดในมือแล้วก็ปวดหัว เป็นเหมือนที่หนิงจื่อเย่พูดไว้จริงๆ ด้วย ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า…คุณหนูรองแห่งจวนหลิงอ๋องตัวจริงยังไม่ตาย!
หากเจ้าของร่างเดิมกลับมา นางจะทำอย่างไรดีเล่า
แต่ว่าร่างที่นางใช้อยู่นี้เป็นของใครกัน เหตุใดถึงได้เหมือนกับคุณหนูรองหลิงและนางในยุคปัจจุบันถึงเพียงนี้!
เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นแฝดสาม!
อวี้อาเหรารู้สึกสับสนไปหมด ในใจคิดว่าเหตุใดพอเป็นคนอื่น เมื่อได้ย้อนยุคมาแล้วทุกอย่างจึงดูง่ายดายไปเสียหมด อยากได้เงินก็ได้ อยากได้ผู้ชายก็ได้ แล้วนางเล่า เกือบจะถูกสองแม่ลูกนั่นกำจัดอยู่รอมร่อ อีกทั้งตอนนี้ก็ยังจะมีเรื่องแฝดสามอะไรนี่อีก แล้วหนิงจื่อเย่ยังอยากจะให้นางฆ่า…
ตอนที่ 262 ท่านหญิงน้อย
ฆ่าฉู่ป๋าย!
ชายหนุ่มนั่งพิงเตียง จ้องมองใบหน้าบิดเบี้ยวของนางเงียบๆ
อวี้อาเหราขนหัวลุกเพราะสายตาของเขาที่จ้องมองมา จึงเชิดหน้าถามขึ้นมาว่า “แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่านักพรตผู้นั้นเป็นใครกัน”
“ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร” ฉู่ป๋ายส่ายหน้า
พูดไปก็ถูก ตัวเขาในตอนนั้นก็ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ด้วยเสียหน่อย
อวี้อาเหราก้มหน้าลงอย่างเศร้าสร้อย หากพบตัวคนผู้นั้นได้ก็ดีน่ะสิ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะเกี่ยวข้องกับเรื่องการทะลุมิติของนางก็เป็นได้ หากสามารถค้นพบเรื่องที่มีประโยชน์ต่อตัวเองได้บ้าง หนิงจื่อเย่ก็คงไม่อาจบีบบังคับนางได้อีก
แต่ว่าตอนนี้ นางไม่อาจหาต้นสายปลายเหตุได้พบเลยแม้แต่น้อย
ฉู่ป๋ายเงยหน้าขึ้น “เหตุใดวันนี้ข้าถึงได้รู้สึกว่าเจ้าก็ช่างผิดปกตินัก”
“ข้าผิดปกติตรงที่ใดกัน” อวี้อาเหราถามซื่อๆ
“ไม่มีอะไร” ฉู่ป๋ายส่ายหน้า มองไม่ออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
อวี้อาเหราเองก็ไม่พูดอะไรออกมาอีก เพราะกลัวว่าคำถามเมื่อครู่อาจทำให้เขาเกิดนึกสงสัยขึ้นมา ฉู่ป๋ายนั้นฉลาดเฉลียวปานใด แน่นอนว่าเขาย่อมฉลาดกว่าผู้อื่นหลายเท่านัก คงจะรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างแน่ว่าเหตุใดนางจึงถามคำถามเช่นนี้ขึ้นมา
เมื่อเห็นคนทั้งสองพูดคุยกันมาสักพักหนึ่งแล้ว หานสือถึงกล้าที่จะเข้ามาในห้อง “ซื่อจื่อ อาหารเช้าเตรียมไว้พร้อมแล้ว ท่านทานเสียหน่อยเถิดนะขอรับ”
ฉู่ป๋ายเม้มปาก หลังจากนั้นก็ฝืนยิ้มขึ้น “ข้าทานไม่ลง อีกอย่างข้ามีสภาพเช่นนี้ หากทานไปก็เสียเปล่า”
“ซื่อจื่อ ท่านควรจะทานอะไรบ้างนะขอรับ เมื่อครู่บ่าวได้เชิญท่านหญิงน้อยมาแล้ว อาการป่วยของท่านต้องมีทางควบคุมได้แน่นอนขอรับ” หานสือฝืนแนะนำอย่างหวังดี
“เจ้ากลายเป็นคนไม่รู้จักกฎระเบียบตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” เมื่อได้ยินดังนั้น สีหน้าของฉู่ป๋ายก็พลันแปรเปลี่ยนไป
อวี้อาเหราคิดว่าท่านหญิงน้อยพระองค์นี้คงจะเป็นน้องสาวแท้ๆ ของเขาเป็นแน่ แต่ก็แปลกใจนัก น้องสาวกลับมาก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีแท้ๆ แต่เหตุใดสีหน้าของเขาถึงดูไม่ยินดีเพียงนั้นเล่า
“ซื่อจื่อโปรดอภัย เพื่ออาการป่วยของท่าน ผู้น้อยจำต้องทำเช่นนี้ขอรับ อีกอย่างหากท่านหญิงน้อยรู้ว่าท่านปิดบังนางเช่นนี้ ท่านหญิงคงเสียใจนัก” หานสือคุกเข่าลง เขายังคงหยัดยืนในการกระทำของตัวเอง เพียงเพื่อช่วยชีวิตซื่อจื่อให้ยาวนานเพิ่มอีกสักวัน แม้ว่าจะถูกลงโทษเขาก็ไม่ว่าอะไร
อวี้อาเหรามองฉู่ป๋าย แล้วถามขึ้นอย่างแปลกใจ “เหตุใดจ้าถึงไม่อยากให้หานสือไปเชิญท่านหญิงน้อยกลับมาเล่า”
สีหน้าของฉู่ป๋ายดูไม่ได้ และไม่สนใจคำพูดของนาง
ในห้องพลันเงียบสงัด สายตาของนางจึงเบนหันไปทางหานสือ “เหตุใดกัน”
“เพราะซื่อจื่อประชวรเป็นโรคกระหายโลหิต ท่านหญิงน้อยและซื่อจื่อเป็นพี่น้องร่วมมารดา เพราะฉะนั้นโลหิตเพียงหยดเดียวของท่านหญิงน้อยก็สามารถทำให้อาการของซื่อจื่อสงบลงได้ ก่อนหน้านี้ก็เคยได้ทดสอบแล้ว พบว่ายิ่งใช้ก็ต้องเพิ่มปริมาณ ในภายหลังวรกายของท่านหญิงน้อยก็อ่อนแอลง จนกระทั่งเมื่อซื่อจื่อได้ฝึกวิชาเผาไหม้ตัวตนจึงไม่ต้องใช้อีก แต่เพราะท่านหญิงน้อยนั้นสูญเสียโลหิตมากเกินไปมานานหลายปี เช่นนั้นจึงถูกส่งตัวไปที่ค่ายใหญ่แห่งซีซานเพื่อรักษาพระอาการ เมื่อฝึกวิชายุทธ์แล้วร่างกายก็ดีขึ้นมาก”
หานสือตอบคำ
ค่ายใหญ่แห่งซีซานอีกแล้วหรือ? อวี้อาเหรารู้สึกประหลาดใจขึ้นมาบ้างในทันที นางจำได้ว่าอวี้จื้อนั้นก็ถูกส่งตัวไปยังที่แห่งนี้ตั้งแต่ยังเล็ก ซึ่งนั้นก็คือที่แห่งเดียวกับที่ท่านหญิงน้อยเซิ่นไปอยู่นี่เอง
“เช่นนั้นเป็นเพราะว่าครั้งนี้ซื่อจื่อของเจ้าสูญเสียลมปราณไปเกือบหมดเพราะช่วยเหลือข้า ทำให้มิอาจฟื้นฟูลมปราณของวิชาเผาไหม้ตัวตนได้ใช่หรือไม่ ถึงจำต้องใช้โลหิตของท่านหญิงน้อยเพื่อประคองอาการของเขาไว้”
“ใช่แล้วขอรับ” หานสือพยักหน้า
อวี้อาเหราชะงักไป โรคกระหายโลหิตนี่ช่างรับมือได้ยากยิ่งนัก…เมื่อคิดไปคิดมา ทันใดนั้นนางก็นึกถึงปัญหาที่สำคัญที่สุดขึ้นมาได้ จึงถามว่า “เช่นนั้นอาการป่วยของซื่อจื่อของเจ้านั้นจะถ่ายทอดไปสู่ทายาทหรือไม่”
“แค่กๆ” หานสือกระแอมขึ้นมาสองสามครั้ง ไม่อยากเชื่อว่านางจะถามเรื่องนี้ขึ้นมาโดยที่ใบหน้าไม่แดงก่ำเลยแม้แต่น้อย ทำให้เขาอยากจะหัวเราะทั้งน้ำตายิ่งนัก