นั่งเรือเดินทาง ปล่อยให้เส้นผมถูกลมพัดปัดมาบนหน้า มั่วชิงเฉินยืนอยู่บนเรือเล็กไม่ขยับเขยื้อน กึ่งหรี่ตาทั้งสองข้างรับรู้ถึงพลังที่เต็มเปี่ยมภายในกาย
ว่ากันตามปกติแล้ว ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะปลายสามารถรับมือผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะกลางสามคน การเลื่อนขั้นครั้งนี้ทำให้พลังความสามารถของมั่วชิงเฉินมีการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน
เดิมทีเทียบกับผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดาแล้วนางก็มีฝีมือในการจู่โจมและอาวุธเวทมากมายอยู่แล้ว บวกกับเคล็ดวิชาฝึกจิตอนัตตาที่นับได้ว่าเป็นท่าไม้ตายและไหมเกล็ดน้ำแข็งที่ใช้ในการรักษาชีวิต ไม่ต้องพูดถึงผู้บำเพ็ญเพียรระดับเดียวกัน ต่อให้เผชิญหน้ากับผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณระยะต้น ต่อให้ฝืนสู้ไม่ได้ก็มีความสามารถในการป้องกันตนเองระดับหนึ่งแล้ว
“แว้ดๆ ไยที่นี่ถึงมีแต่ภูเขาล่ะ พวกเราคงไม่ใช่บินออกไปไม่ได้หรอกนะ?” บินติดต่อกันสิบกว่าวัน อีกาไฟพูดขึ้นเพราะเบื่อหน่ายอย่างมาก
“หุบปาก!” มั่วชิงเฉินถลึงตาใส่มันปราดหนึ่ง ไม่ใช่นางทรมานอสูรวิญญาณ ที่สำคัญคือปากอีกาตัวนี้เรื่องดีไม่เฮี้ยนเรื่องร้ายเฮี้ยน พลังการสาปแช่งของมันหากเกิดบ้าเฮี้ยนขึ้นมา เช่นนั้นก็ต้องลำบากกันแล้ว
หนึ่งเดือนให้หลัง มั่วชิงเฉินหยุดเรือเมฆาไว้กลางหาว
“เป็นอันใดหรือ?” อีกาไฟโวยวายว่า
มั่วชิงเฉินพิจารณารอบๆ แล้วแอบขมวดคิ้ว พึมพำว่า “อู๋เย่ว์ เจ้ารู้สึกหรือไม่ว่าที่นี่ผิดปกติ?”
“ผิดปกติ?” อีกาไฟกลอกตาไปทั่ว
“ใช่น่ะสิ พวกเราบินติดต่อกันมาเดือนกว่า ไม่มีเหตุผลที่ยังบินไม่พ้นขอบเขตของเขาอู๋ฉยงนี่นา” มั่วชิงเฉินเอ่ยอย่างสงสัย
อีกาไฟกะพริบตา แล้วถลาเข้ามาโดยพลันใช้ปีกกอดขาของมั่วชิงเฉินไว้ ร้องไห้จะเป็นจะตายว่า “เจ้านาย เรื่องนี้ข้าไม่ได้พูดจริงๆ นะ เจ้านาย เจ้าต้องเชื่อข้านะ…”
มั่วชิงเฉินก้มหน้ามองดูอีกาไฟที่กอดขาตนไว้แน่น เช็ดน้ำมูกน้ำตาไว้บนกระโปรงนาง แล้วมุมปากกระตุก เอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “อู๋เย่ว์ เจ้ารีบปล่อยข้าเดี๋ยวนี้!”
อีกาไฟคลายปีกออกอย่างคล่องแคล่ว นั่งลงบนเรือเล็กไม่พูดอะไรสักคำ ตาทั้งสองข้างมีตาขาวโผล่มาครึ่งหนึ่ง
“เขาอู๋ฉยง…” มั่วชิงเฉินบังคับเรือเมฆาไม่ให้เดินหน้าต่อ หากแต่มองไปรอบๆ แล้วพึมพำว่า
ความคิดหนึ่งแวบขึ้นแล้วหายไปในทันที หรือว่าสาเหตุที่ออกไปไม่พ้น เพราะค่ายกล?
เมื่อคิดได้เช่นนี้ มั่วชิงเฉินบังคับเรือเมฆาบินสู่ที่สูง ภูเขาแม่น้ำใต้เท้าค่อยๆ เล็กลง เมื่อยามที่บินไปถึงจุดที่ไม่อาจบินสูงขึ้นได้อีกจริงๆ ถึงมองลงล่างไป
สำรวจอย่างละเอียดอยู่ครึ่งค่อนวัน มั่วชิงเฉินค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้น
นางไม่นับว่าเชี่ยวชาญค่ายกล กลับสันนิษฐานตามความรู้ด้านค่ายกลที่ตนรู้มาว่าเขาอู๋ฉยงนี้เป็นค่ายกลกักวิญญาณตามธรรมชาติลูกหนึ่ง
มิน่าตนออกไปไม่ได้เสียที ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง! มั่วชิงเฉินรู้แจ้งขึ้นมาทันที
ที่นางไม่พบเงื่อนงำในนี้เสียที ก็เพราะนี่คือค่ายกลกักตามธรรมชาติ เกิดจากการสรรค์สร้างของธรรมชาติ จึงไม่มีร่องรอยของการกระทำของมนุษย์และการผกผันของพลังวิญญาณ คิดว่าผู้บำเพ็ญเพียรมากมายที่ถูกกักอยู่ในเขาอู๋ฉยงก็เป็นเช่นนี้
เช่นนี่ก็ยุ่งยากแล้วสิ เขาอู๋ฉยงใหญ่ถึงเพียงนี้ อีกทั้งเป็นค่ายกลกักตามธรรมชาติทั้งลูก เพียงตนร่อนเรือเมฆาลงต่ำ ก็จะเข้าสู่กลางค่ายกลกักอีก ยากจะแยกแยะทางออกได้ชัดเจน
ทว่าเพราะลมแรงบนที่สูง ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานอยู่ระดับความสูงถึงเพียงนี้อย่าว่าแต่บินเป็นเวลานานเลย บัดนี้นางเพียงแค่หยุดครู่หนึ่งก็ทนไม่ค่อยไหวแล้ว
ด้วยความจำใจ มั่วชิงเฉินบังคับเรือเมฆาให้ร่อนลงช้าๆ บินเพียงครู่เดียวก็บินสู่ที่สูงอีก ดูว่าเดินผิดทางหรือไม่
ก็เป็นเช่นนี้ขึ้นๆ ลงๆ อยู่กลางอากาศ อีกทั้งยังต้องต้องระวังความเคลื่อนไหวรอบๆ ความเร็วจึงผ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด
บินอีกเกือบครึ่งเดือน ในที่สุดมั่วชิงเฉินก็สามารถมองเห็นขอบเขาอู๋ฉยงจากที่สูงแล้ว สีหน้าอดดีใจไม่ได้ บังคับเรือบินอย่างคล่องแคล่วให้ร่อนลงถึงความสูงที่พอเหมาะแล้วบินไปข้างหน้าต่อ
มองดูเทือกเขาที่ทอดตัวเรียงรายที่อยู่ที่สุดขอบ มั่วชิงเฉินยิ้มแล้ว อดเพิ่มความเร็วขึ้นไม่ได้ ทว่าในยามที่เกือบถึงทางออกแล้วนี่เองคิ้วก็ขมวดขึ้นแผ่วเบา แล้วกำระเบิดสะท้านฟ้าเม็ดหนึ่งไว้ในมือเงียบๆ
เป็นไปตามคาด ยามที่นางผ่านทางออกยันต์ระเบิดไฟหลายแผ่นระเบิดออกโดยพลัน ท่ามกลางการระเบิดอย่างรุนแรงผสมปนเปไปด้วยการผกผันของพลังวิญญาณที่ละเอียดยิบ
มั่วชิงเฉินร่ายเคลื่อนเงาเลือนราง ลอยออกห่างจากที่เดิมอย่างอ่อนช้อย แล้วโยนระเบิดสะท้านฟ้าที่กำแน่นไว้ในมือไปตามทิศทางที่มีการโจมตี
ท่ามกลางเสียงดังสนั่นหวั่นไหวหมอกควันคละคลุ้ง มั่วชิงเฉินหยุดยืน ยกมือดูของที่หนีบอยู่ระหว่างนิ้วมือ ไม่คิดเลยว่านั่นคือเข็มเงินเล่มเล็กเล่มหนึ่ง
“ฮึ!” มั่วชิงเฉินหัวเราะเสียงเย็นเสียงหนึ่ง รอหลังจากหมอกควันกระจายไปหมดสิ้นแล้วมองเงาร่างสองคนที่ปรากฏตัวออกมาอย่างเย็นชา
ก่อนอื่นใช้ยันต์ระเบิดไฟรบกวนทัศนวิสัยของคนที่มา แล้วฉวยโอกาสซัดอาวุธเวทเข็มออกมาอีก ฝีมือถือว่าอำมหิต เกรงว่าผู้บำเพ็ญเพียรส่วนใหญ่คงต้องเสียท่า หากไม่เพราะเดิมทีนางก็ใช้เข็มสีเขียวที่เกิดจากเถาวัลย์สีเขียวเข้มเป็นวิธีจู่โจมบ่อยๆ อยู่แล้ว เข้าใจดีมากว่าความผกผันอันละเอียดยิบของพลังวิญญาณเช่นนี้หมายถึงอะไร วันนี้ต้องเสียท่าอีกฝ่ายจริงๆ!
สองคนนั้นคนหนึ่งสูงคนหนึ่งเตี้ย มีตบะระดับสร้างรากฐานระยะกลางทั้งคู่ ยามนี้กำลังมองมั่วชิงเฉินด้วยความสะพรึงกลัว
คาดว่าพวกเขาคงปล้นจนชินแล้ว เพิ่งเห็นท่าทางของมั่วชิงเฉินได้ชัด ทั้งสองคนสบตากันปราดหนึ่งแล้วก็หันหลังวิ่งหนี วาดลำแสงสีดำสายหนึ่งขึ้นกลางอากาศ
“ผู้บำเพ็ญเพียรมาร!” มั่วชิงเฉินตะโกนเสียงหลง แล้วรีบตามไปทันที
“หยุดนะ!” มั่วชิงเฉินกระโดดลอยไปหน้าทั้งสองคน ร่างกายลอยอยู่กลางอากาศตะโกน
ยืนกลางอากาศ!
ปรากฏการณ์ประหลาดนี้ตรึงทั้งสองคนไว้ทันที พวกเขาหยุดโดยพลัน ยืนอยู่บนอาวุธเวทเหินหาวมองมั่วชิงเฉินด้วยความหวาดกลัว
“พวกเจ้ากะจะฆ่าคนชิงสมบัติ?” มั่วชิงเฉินถามอย่างเย็นชา
ทั้งสองคนสบตากันปราดหนึ่ง หัวส่ายจนเหมือนกลองป๋องแป๋งว่า “ไม่ใช่ ไม่ใช่เด็ดขาด!”
มั่วชิงเฉินหัวเราะเย็นชาว่า “ไม่ใช่? เกรงว่าเรื่องประเภทนี้พวกเจ้าทำมาไม่รู้ตั้งเท่าไรแล้วกระมัง?”
เห็นทั้งสองคนยังคิดจะแก้ตัว มั่วชิงเฉินโบกมืออย่างหมดความอดทนว่า “พอแล้ว ข้ามีเรื่องจะถามพวกเจ้า หากคำตอบของพวกเจ้าทำให้ข้าพอใจ เช่นนั้นข้าก็จะไม่เอาความเรื่องที่ผ่านมา มิเช่นนั้น…”
“ท่านเซียนเชิญพูด ท่านเซียนเชิญพูด” ทั้งสองคนพยักหน้าโดยพลัน
“พวกเจ้าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรมาร?” มั่วชิงเฉินถาม
ทั้งสองคนตอบอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย “ขอรับ”
ผู้บำเพ็ญเพียรมารต่างจากผู้บำเพ็ญเพียรเต๋า ปกติแม้แยกแยะไม่ออก ทว่าขอเพียงร่ายคาถาหรือใช้อาวุธเวท แสงวิญญาณที่เปล่งออกจะไม่เหมือนผู้บำเพ็ญเพียรเต๋าตามธาตุทั้งห้ามี เขียว แดง ทอง ฟ้า เหลืองห้าสี หากแต่เป็นสีดำ ดังนั้นพวกเขาคิดจะปิดบังก็ปิดไม่มิด
“ไยพวกเจ้าถึงเฝ้าอยู่ที่ทางออกของเขาอู๋ฉยงนี่ได้? หากข้าจำไม่ผิด ทางออกนี้อยู่ติดดินแดนเทียนหยวนมิใช่แดนไท่เป๋ากระมัง? หรือว่าพวกเจ้าอยู่นี่ เพื่อปล้นผู้บำเพ็ญเพียรเต๋าโดยเฉพาะ” ถามถึงตรงนี้สีหน้าน้ำเสียงมั่วชิงเฉินเด็ดขาดขึ้นมา
ทั้งสองคนนิ่งเงียบครู่หนึ่ง ผู้บำเพ็ญเพียรมารตัวสูงก้าวขึ้นหน้ามาหนึ่งก้าวว่า “ท่านเซียน เป็นเช่นนี้ขอรับ…” ระหว่างที่พูดก็ยกมือขึ้นสาดของเหลวดำเหมือนหมึกสายหนึ่งมาที่มั่วชิงเฉิน
เผชิญหน้ากับผู้บำเพ็ญเพียรมารที่วิธีการประหลาด มั่วชิงเฉินไม่ประมาทเลยแม้ชั่วขณะ ยามที่ผู้บำเพ็ญเพียรมารตัวสูงพูดอยู่เห็นแววตาเขาเปลี่ยนปุ๊บก็เกิดระแวงขึ้นแล้ว เมื่อเห็นของเหลวสีดำสาดมา จึงอัญเชิญชามใหญ่ออกโดยไม่ลังเล ปากชามหันออกนอกรับของเหลวสีดำไว้จนหมด จากนั้นก็ได้ยินเสียงชวี่หลายเสียง ไม่คิดว่าชามใหญ่สีเขียวจะถูกน้ำดำกัดกร่อนจนหลุดออกชั้นหนึ่ง
ดังขึ้น มั่วชิงเฉินดึงกระบี่ชิงมู่กลับมา ผู้บำเพ็ญเพียรมารตัวสูงที่ถูกแทงทะลุหัวใจก็หงายหลังล้มลง
มั่วชิงเฉินแอบว่าที่แท้สภาพร่างกายของผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่ขั้นสุดยอดระดับสร้างรากฐานระยะปลายเผชิญหน้ากับผู้บำเพ็ญเพียรระดับกลาง จะง่ายดายเพียงนี้ คิดเช่นนี้พลางสายตาเย็นดุจหิมะก็กวาดมาที่ผู้บำเพ็ญเพียรมารตัวเตี้ย
ผู้บำเพ็ญเพียรมารตัวเตี้ยคุกเข่าลงดังตุ๊บ โขกศีรษะเหมือนสับกระเทียมอ้อนวอนว่า “ท่านเซียนไว้ชีวิตด้วย ท่านเซียนไว้ชีวิตด้วย…”
“ตอบคำถามข้า!” มั่วชิงเฉินขมวดคิ้วว่า
ผู้บำเพ็ญเพียรมารตัวเตี้ยกัดฟันแล้วว่า “หรือว่าท่านเซียนจะไม่รู้ ที่แห่งนี้เกิดศึกเต๋ามารขึ้นแล้ว?”