“เขาหลิวหั่วมีศิษย์น้องแซ่เหยียนคนหนึ่ง เป็นศิษย์ของท่านอาจารย์อาชิงเสอ ตบะแม้ไม่เท่าไร กลับมีพรสวรรค์ด้านการหลอมอาวุธมาก ท่านอาจารย์อาชิงเสอให้ความสำคัญแก่เขามาก ดูท่าทางคิดจะถ่ายทอดทางแห่งการหลอมอาวุธให้แบบเทหน้าตัดน่ะ ดังนั้นคนเช่นพวกเราหากต้องการความช่วยเหลือ ก็ต่างไปหาเขา” มั่วหลีลั่วเอ่ย
“ศิษย์น้องเหยียน?” มั่วชิงเฉินไม่เคยได้ยินชื่อคนคนนี้มาก่อนจริงๆ
มั่วหลีลั่วเอ่ยอย่างจำใจว่า “ข้าว่าแล้วว่าเจ้าต้องไม่รู้จัก ชิงเฉิน อย่างไรเสียเจ้าก็อยู่ในสำนักมายี่สิบกว่าปีแล้ว ช่วยพัฒนาหน่อยจะได้หรือไม่? เจ้าอย่าบอกข้านะว่าท่านอาจารย์อาชิงเสอเจ้าก็ไม่รู้จักน่ะ”
มั่วชิงเฉินหัวเราะแหะๆ ว่า “เป็นไปได้เช่นไร ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณในสำนักมีเพียงหลายสิบท่าน ต่อให้จับคู่ชื่อและคนไม่ได้ อย่างไรเสียก็เคยได้ยินมาก่อนน่ะ”
มั่วหลีลั่วหัวเราะดังฟู่ว่า “เจ้ายังกล้าบอกว่าจับคู่ชื่อและคนไม่ได้อีก รีบไปเถอะ ศิษย์น้องเหยียนยุ่งมากเลยนะ คนที่หาเขาหลอมอาวุธมีมากมายเชียว” พูดพลางดันมั่วชิงเฉิน
มั่วชิงเฉินไม่เสียเวลาอีก ร่ำลามั่วหลีลั่วแล้วก็บินไปสู่เขาหลิวหั่ว
เขาหลิวหั่วตั้งอยู่ทางด้านใต้ที่สุดของพรรคเหยากวง เป็นสถานที่สุริยุปราคา มีไฟปราณปฐพีชั้นเลิศวิ่งผ่านภายใน ดังนั้นศิษย์ที่ศึกษาการหลอมอาวุธ หลอมโอสถในเขาหลิวหั่วมีมากที่สุด โถงหลอมอาวุธและโถงหลอมโอสถของพรรคเหยากวงก็แยกกันตั้งอยู่บนสองยอดเขาด้านในที่มีมากมายในเขาหลิวหั่ว ตามการชี้แนะของมั่วหลีลั่ว ศิษย์น้องเหยียนคนนั้นยามนี้น่าจะอยู่ที่โถงหลอมอาวุธ
ร่อนลงบนยอดเขาด้านในที่โถงหลอมอาวุธตั้งอยู่ มั่วชิงเฉินก็สังเกตว่าสายตาของศิษย์ที่ไปๆ มาๆ กวาดมาพร้อมกัน
“ดูเร็ว นั่นอาจารย์อามั่ว” ศิษย์คนหนึ่งกดเสียงลงต่ำว่า
มั่วชิงเฉินมองฟ้าเงียบๆ ไม่รู้ศิษย์ของยอดเขาด้านในลูกนี้ใช่เพราะส่วนใหญ่ฝึกฝนการหลอมอาวุธเป็นเหตุหรือไม่ แต่ละคนสีหน้าอิ่มเอิบ เสียงดุจระฆัง คิดว่าตนกดเสียงต่ำแล้วความจริงยังดังกว่าคนอื่นพูดเสียงดังเสียอีก
ศิษย์อีกคนหนึ่งกวาดสายตามองอีกครึ่งค่อนวัน แล้วตบหน้าผากว่า “อ๊า ข้ารู้แล้ว อาจารย์อามั่วต้องมาหาอาจารย์อาเยี่ยเป็นแน่!”
มั่วชิงเฉินสะดุด รีบตั้งตัวให้นิ่งแล้วเร่งฝีเท้าเดินไปทางโถงหลอมอาวุธ เสียงวิจารณ์ของศิษย์ที่อยู่ด้านหลังเหล่านั้นยังคงลอยมาอย่างชัดเจน
“แปลกจัง อาจารย์อามั่วมาหาอาจารย์อาเยี่ยไยถึงมายอดเขาด้านในได้ล่ะ?”
“นี่มีอะไรน่าแปลก อย่างไรเสียอาจารย์อามั่วก็เป็นสตรี คงจะเคอะเขินที่ไปที่พำนักของอาจารย์อาเยี่ยโดยตรงกระมัง สองคนต้องนัดกันที่นี่แน่นอน”
…
ในที่สุดก็เห็นป้ายของโถงหลอมอาวุธ มั่วชิงเฉินโล่งอก หลังจากเดินเข้าไปก็เห็นศิษย์ระดับหลอมลมปราณสี่คนยกตะกร้าใหญ่ใบหนึ่งมุ่งหน้าไปข้างนอก นางรีบหลบไปข้างๆ กลับคาดไม่ถึงว่าศิษย์ไม่กี่คนที่ยกตะกร้าใหญ่หันขวับมาพร้อมกัน แล้วจ้องนางเขม็ง
“ดูเร็วดูเร็ว นั่นอาจารย์อามั่ว” ศิษย์คนหนึ่งแทบจะกรีดร้องออกมา
ศิษย์อีกคนหนึ่งเข้าใจทันทีว่า “ใช่แล้ว ข้าถึงว่าไยคุ้นตาเช่นนี้นะ!”
สองคนที่เหลือดูถูกพร้อมกันว่า “ไม่คิดว่าแม้แต่อาจารย์อามั่วเจ้าก็จำไม่ได้ นางเป็นคู่ปรับที่ทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่งามดั่งบุปผาทั้งหมดได้ยินแล้วต้องหน้าถอดสี ยิ่งเป็นดาวนำโชคของศิษย์ชายพวกเราทั้งหมดเลยนะ!”
มั่วชิงเฉินริมฝีปากสั่น ยังคงทนไม่ไหวเตือนสติขึ้นว่า “ระวัง!”
ทว่าสายไปแล้ว ศิษย์ระดับหลอมลมปราณสี่คนเพราะหันหน้าตลอดเวลา ลืมไปว่าข้างหน้ามีธรณีประตูสูงๆ อยู่อันหนึ่ง สองคนด้านหน้าสุดสะดุดถูกธรณีประตูหกล้มหน้าทิ่ม ตะกร้าใหญ่ในมือก็บินออกไป
สี่คนเดิมทีก็ออกแรงกินนมยกตะกร้าใหญ่ไว้ จู่ๆ ตะกร้าใหญ่หลุดมือ สอนคนด้านหลังไม่ได้ดีไปถึงไหนเช่นกัน ล้มไปข้างหน้าพร้อมๆ กันเพราะแรงเหวี่ยง
ในตะกร้าใหญ่ใส่เศษเหล็กกากหินเต็มไปหมด หากปล่อยให้ล้มลงไปเช่นนี้ก็มีเรื่องครึกครื้นให้ดูแล้ว มั่วชิงเฉินตัดสินใจเด็ดขาดลงมือทันที ใช้เถาวัลย์มัดตะกร้าใหญ่ไว้แน่น แล้ววางลงอย่างมั่นคง
ศิษย์ทั้งสี่คนรีคลานขึ้นมา เอ่ยต่อๆ กันว่า “ขอบคุณอาจารย์อามั่ว ขอบคุณอาจารย์อามั่ว”
มั่วชิงเฉินกัดริมฝีปาก ไยนางถึงรู้สึกว่าสีหน้าของศิษย์สี่คนนี้ไม่ใช่หวาดกลัว หากแต่เป็นตื่นเต้นนะ?
หรือว่า ต่อไปตนควรอยู่ให้ห่างเขาหลิวหั่ว?
กำลังคิดอยู่ ก็ได้ยินศิษย์คนหนึ่งกุลีกุจอยิ้มว่า “อาจารย์อามั่ว ท่านมาหาอาจารย์อาเยี่ยสินะ?”
เห็นศิษย์นั่นหน้าตาอิ่มเอิบรูปร่างกำยำชัดๆ ยังทำหน้ายิ้มอย่างกุลีกุจออีก มั่วชิงเฉินหน้าบึ้งลง ในใจแน่ใจอีกครั้งว่าตนตัดสินใจได้ถูกต้อง
“ที่พวกเจ้านี่มีผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานที่ถนัดหลอมอาวุธหรือไม่ แซ่เหยียน?” มั่วชิงเฉินรีบถาม
ศิษย์สี่คนใบหน้าฉายแววผิดหวังทันที ศิษย์ที่ออกเสียงก่อนหน้านี้คนนั้นว่า “ข้ามระเบียงนี้ไป อาจารย์อาเหยียนอยู่โถงหลอมอาวุธห้องที่ห้าด้านซ้ายมือขอรับ”
“ขอบคุณนะ” มั่วชิงเฉินพยักหน้า ยกเท้าเดินไปข้างหน้า
“อาจารย์อามั่ว?” ศิษย์นั่นตะโกนอีกว่า
มั่วชิงเฉินหันหน้ากลับไป
ศิษย์นั่นรีบเอ่ยว่า “อาจารย์อาเยี่ยอยู่ยอดเขาหลัก” เสียงดังฟังชัดมาก ราวกับกลัวนางจำไม่ได้อย่างนั้นแหละ
มั่วชิงเฉินไม่พูดสักแอะแล้วหันหลังจากไป
เขาหลิวหั่ว ต่อไปนางจะไม่มาอีกแล้ว!
ครึ่งชั่วยามผ่านไป มั่วชิงเฉินเดินออกมาจากโถงหลอมอาวุธ
การแลกเปลี่ยนในวันนี้ยังนับว่าราบรื่น ศิษย์น้องเหยียนคนนั้นใบหน้าธรรมดา กลับพูดด้วยง่ายมาก รับปากซ่อมให้นางให้เร็วที่สุดทันที มั่วชิงเฉินเพิ่มหินวิญญาณให้โดยเฉพาะอีก สิ่งเดียวที่เรียกร้องก็คือถึงเวลาให้เขาส่งศิษย์เอาอาวุธเวทไปส่งให้นางที่เขาป่าไผ่
ว่าไปแล้วก็บังเอิญ ศิษย์ที่เป็นลูกมือให้ศิษย์น้องเหยียนไม่นึกเลยว่านางจะรู้จัก ก็คือยามที่เข้าเมืองเทียนเหยาครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อน บุตรชายของพ่อลูกคู่นั้นที่นางและท่านปู่อาศัยรถมาด้วย ชื่อกัวซุ่น บัดนี้ก็โตเป็นหนุ่มแล้ว
มั่วชิงเฉินกระโดดขึ้นเรือบินกำลังจะจากไป ก็เห็นผู้บำเพ็ญเพียรหญิงคนหนึ่งรีบเร่งวิ่งมา พลางวิ่งพลางเรียกว่า “ใช่ศิษย์พี่มั่วหรือไม่ โปรดหยุดก่อน”
ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่รุดมามีตบะระดับสร้างรากฐาน มั่วชิงเฉินไม่รู้จัก กลับยังคงกระโดดลงมา ถามว่า “ไม่ทราบศิษย์น้องเรียกข้าด้วยเหตุอันใด?”
ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงคำนับทีหนึ่งถึงว่า “ศิษย์พี่มั่ว ข้าเป็นสาวใช้ของเสวียนหั่วเจินจวิน เจินจวินเชิญท่านไปหาสักครา”
“เสวียนหั่วเจินจวิน?” มั่วชิงเฉินหรี่ตาลงเล็กน้อย สัญชาตญาณบอกนางว่าไม่ใช่เรื่องดี ทว่ากลับไม่แข็งใจตามสาวใช้ไปไม่ได้
เมื่อเข้าตำหนักใหญ่ยอดเขาหลัก ก็เห็นชายคนหนึ่งสีหน้าอิ่มเอิบกลางศีรษะล้านถือพัดกกขาดๆ กำลังพัดอย่างหมดอาลัยตายอยาก เห็นมั่วชิงเฉินเข้ามา รีบกวักพัดกกสองทีว่า “นางหนูชิงเฉินสินะ รีบเข้ามา รีบเข้ามา”
มั่วชิงเฉินสูดลมหายใจเข้าลึกๆ นี่ นี่คือท่านเทียดทางสายเลือดของศิษย์พี่เยี่ยจริงหรือ? ทั้งสองคนช่างต่างกันมากไปหน่อยกระมัง
คิดเช่นนี้แล้วอดกวาดสายตาผ่านบนศีรษะเขาไม่ได้ ได้ยินว่า ได้ยินว่าผมร่วงในผู้ชายเป็นกรรมพันธุ์ใช่หรือไม่?
มั่วชิงเฉินนึกถึงสภาพเยี่ยเทียนหยวนศีรษะล้านตรงกลางในวัยกลางคนอย่างไม่รู้ตัว จู่ๆ ก็รู้สึกว่าตัวเองจะไม่มีศีลธรรมไปหน่อย ใบหน้ากลับเอ่ยอย่างจริงจังว่า “ผู้น้อยมั่วชิงเฉินขอกราบคารวะท่านเจินจวินเจ้าค่ะ”
แล้วก็รู้สึกว่ามีลมสายหนึ่งพยุงนางขึ้นมา ยามที่เงยหน้าขึ้นเห็นใบหน้ายิ้มจนตาหยีของเสวียนหั่วเจินจวิน “ไม่ต้องพิธีรีตองปานนั้น เหมือนเจ้าเด็กเทียนหยวนนั่นทั้งวันน่าเบื่อจะตาย มา นั่งนี่”
มั่วชิงเฉินนั่งลงอย่างว่าง่าย รอเสวียนหั่วเจินจวินพูด ต่อหน้าผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด ไม่มีระเบียบให้นางพูดก่อน
เสวียนหั่วเจินจวินเพ่งพิศมั่วชิงเฉิน ในใจแอบพยักหน้า นางหนูน้อยก็ใจเย็นดี เพียงแต่ผมด้านหน้าทั้งหนาทั้งยาว แม้แต่หน้าตาก็เห็นไม่ชัด ไยเจ้าเด็กเทียนหยวนนั่นถึงต้องตาเข้านะ
ผ่านไปครู่ใหญ่ ยามที่ท่วงท่ามั่วชิงเฉินเริ่มแข็งทื่อเล็กน้อยนั้น เสวียนหั่วเจินจวินถึงเอ่ยว่า “นางหนูชิงเฉิน เจ้าว่าเทียนหยวนเป็นเช่นไรบ้าง?”
คำพูดน่าตกใจสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น ทำให้มั่วชิงเฉินตกใจจนเกือบตกจากเก้าอี้ “ศิษย์พี่เยี่ยเป็นบุคคลที่เป็นหนึ่งไม่เป็นสองรองใครในรุ่นเดียวกัน ผู้น้อยไม่กล้าวิจารณ์ส่งเดชเจ้าค่ะ”
จบกัน จบกัน นางหนูนี่ไม่มีใจให้เจ้าเด็กเทียนหยวน!
เสวียนหั่วเจินจวินมีชีวิตอยู่มากว่าพันปี มีเรื่องอะไรไม่เคยผ่านมาบ้าง เพียงประโยคเดียวก็ดูความผิดปกติออก ในใจจิ๊ๆ ว่า เทียนหยวนเอ๋ยฝีมือในด้านนี้ เจ้าเทียบท่านเทียดเจ้าไม่ติดเลย
“เทียนหยวนออกไปท่องเที่ยวฝึกตนอีกแล้ว ไปครั้งนี้ไม่รู้กี่ปีถึงจะกลับมา ข้าช่างเป็นห่วงจริงๆ เลยนะ” เสวียนหั่วเจินจวินถอนใจว่า
มั่วชิงเฉินคิด ไยเขาถึงออกไปอีกแล้ว ตามหลักแล้วเขาเพิ่งกลับเข้าสำนักไม่นานเหมือนตน กำลังเป็นเวลาที่ควรสงบจิตบำเพ็ญเพียร
มองดูแววตาประหลาดของเสวียนหั่วเจินจวิน มั่วชิงเฉินในใจบีบรัดคราหนึ่ง หรือว่าเขาทำเพราะตน?
นึกถึงตรงนี้รู้สึกละอายใจอยู่บ้าง เขาช่วยตนไว้หลายครั้ง โดยเฉพาะยามที่อยู่ในถ้ำน้ำแข็งยังถูกตนทำร้ายเพราะช่วยตนอีก ความไม่พอใจต่อคำพูดพวกนั้นของเขาแต่ก่อน ความโกรธในใจก็มลายหายไปสิ้นแล้ว เหลือเพียงความซาบซึ้งเท่านั้น
เพียงแต่เพราะตนมีสาเหตุที่พูดไม่ได้จึงไม่อาจไม่ตั้งใจหลบหลีก ด้วยความฉลาดของเขาไยจะดูไม่ออกล่ะ
มองดูแววตากล่าวโทษของเสวียนหั่วเจินจวิน มั่วชิงเฉินรู้สึกร้อนตัวเล็กน้อย ดูเหมือนจะเป็นตนที่บีบให้ลื่อของคนเขาต้องจากไปนะ
“ท่านเจินจวิน ศิษย์พี่เยี่ยพลังความสามารถโดดเด่น ท่องเที่ยวฝึกตนอยู่ข้างนอกต้องปลอดภัยไร้กังวลแน่นอนเจ้าค่ะ” มั่วชิงเฉินฝืนยิ้มว่า
ท่าทางน่าสงสารของเสวียนหั่วเจินจวินก็เหมือคนแก่ที่อ้างว้างคนหนึ่ง ถอนใจว่า “นี่ก็พูดยาก เจ้าเด็กเทียนหยวนนั่นนิสัยเย็นชา ใจก็กล้า ไม่ว่าที่ไหนก็กล้าบุกไปคนเดียว การฝึกตนตั้งหลายครั้งล้วนแทบเอาชีวิตไม่รอด มิเช่นนั้นเขาจะบำเพ็ญเพียรได้เร็วปานนี้โดยไม่เจอคอขวดเลยได้อย่างไรกัน อีกอย่าง อีกทั้งเขามีร่างหยางบริสุทธิ์ หากถูกผู้บำเพ็ญเพียรหญิงระดับสูงคนไหนลักไปก็แย่แล้ว…”
มั่วชิงเฉินอักอ่วนขึ้นทันที จู่ๆ ก็นึกถึงยามที่สองคนพบกันครั้งแรกท่าทางที่แทบจะฆ่าตนของเยี่ยเทียนหยวน มิน่าเขาถึงระแวงสตรีถึงเพียงนั้น ดูแล้วเพราะสภาพร่างกายเป็นเหตุทำให้เกิดปัญหามาไม่น้อย
เพียงแต่ ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดผู้องอาจมาโอดครวญสิ่งนี้กับตน ออกจะไร้สาระไปสักหน่อยใช่หรือไม่…มั่วชิงเฉินน้ำตาไหลเงียบๆ ตนล้วนเจอกับคนอะไรเข้าล่ะนี่!
เสวียนหั่วเจินจวินเห็นพอประมาณแล้วก็เลิก ทำสีหน้าจริงจังว่า “แค่กๆ นางหนูชิงเฉิน ไม่เช้าแล้วเจ้ากลับไปเถอะ”
มั่วชิงเฉินลุกขึ้นทันทีว่า “ผู้น้อยขออำลาเจ้าค่ะ”
“อืม ไปเถอะ หากครั้งหน้ามาเขาหลิวหั่วอีก ข้าค่อยหาเจ้าคุยด้วย…”
มั่วชิงเฉินรีบหนีหัวซุกหัวซุน
เสวียนหั่วเจินจวินมองเงาหลังของมั่วชิงเฉินแล้วหัวเราะเสียงหนึ่ง “นางหนูนี่แม้แต่ท่าทางวิ่งหนีก็เหมือนเจ้าเด็กบ้านั่นถึงเพียงนี้ หึๆ ได้ยินว่าเขาออกจากสำนักไปยังรู้จักไม่สบายใจ ท่าทางยังมีหวัง”
เขารั่วสุ่ย
สตรีงดงามไม่ธรรมดาคนหนึ่งนั่งอยู่ใต้ต้นเหมย ดูกระดาษสีขาวในมือคิดแล้วคิดอีก ทันใดนั้นก็ลุกขึ้นแล้วเหยียบอากาศจากไป ท่วงท่าล่องลอยอ่อนช้อยดุจเซียน คือหรูอวี้เจินจวินนั่นเอง
“ศิษย์น้องหรูอวี้ ไยเจ้าถึงมาได้ล่ะ?” หลิวซางเจินจวินเห็นคนคนหนึ่งร่อนลงจากฟ้า เอ่ยอย่างประหลาดใจ
หรูอวิ้เจินจวินหน้านิ่งดุจน้ำ ไม่กี่ก้าวก็เดินข้ามาถึง ยังไม่รอหลิวซางเจินจวินเรียกก็นั่งลงตรงๆ แล้วถึงเอ่ยว่า “ศิษย์พี่หลิวซาง น้องมีเรื่องอยากปรึกษากับท่านสักหน่อย”
“เอ่อ ศิษย์น้องมีเรื่องอันใด?” หลิวซางเจินจวินลูบหนวดว่า
หรูอวี้เจินจวินเม้มปากว่า “หลายเดือนก่อนน้องให้นางหนูหลิงซิ่วนั่นกลับสำนักลั่วสยามิใช่หรือ รั่วซียังไม่กลับมา กลับส่งจดหมายมาว่า ทางแดนไท่ไป๋นั่น มีความเคลื่อนไหว”