แหฟ้าตาข่ายดินแม้เป็นคาถาที่ติดมากับเคล็ดวิชาพันไหมชิงมู่ กลับทำจากเถาวัลย์ของพฤกษาวิญญาณอย่างแท้จริง ต้องการพลังวิญญาณเพียงเล็กน้อยกระตุ้นเมล็ดเท่านั้น ดังนั้นพลังวิญญาณที่เผาผลาญน้อยมาก
ก่อนหน้านี้เคยพูดถึงว่าเถาวัลย์ที่ทอเป็นแหฟ้าตาข่ายดินมีสองชนิด ชนิดหนึ่งคือเถาวัลย์สีเหลืองที่ความเหนียวเหลือล้น ไม่กลัวไฟเผามีดฟัน อีกชนิดหนึ่งคือเถาวัลย์สีเขียวที่สามารถพันธนาการพลังวิญญาณของผู้บำเพ็ญเพียรได้
ดังนั้นผู้บำเพ็ญเพียรหญิงนิกายเหอฮวนสองคนใช้กระบี่บินตัดอยู่ครึ่งค่อนวัน ก็ตัดขาดเพียงเส้นเล็กๆ ไม่กี่เส้น ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดเหลืองที่ถูกพันธนาการยังคงไม่อาจหลุดออกมาได้
ในที่สุดผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งระดับสร้างรากฐานระยะปลายก็ทนดูต่อไปไม่ได้ กระบี่เล่มเล็กสีแดงด้ามยาวไม่เกินสามนิ้วปรากฏขึ้นในมือ บินไปที่ตาข่ายเหมือนผีพุ่งไต้ เมื่อมาถึงตรงหน้าก็เปล่งแสงสีแดงแสบตาออกมาทันที ต่อจากนั้นก็เห็นตาข่ายยักษ์ขาดอย่างเรียบร้อย ตกกระจัดกระจายไปทั่ว
มั่วชิงเฉินหรี่ตา จ้องผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งเขม็ง
จู่ๆ ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งก็หัวเราะขึ้น “สหายเต๋ามั่วฝีมือดี ไม่รู้ต่อจากนี้พรรคของเจ้าคิดจะเปลี่ยนคน หรือว่ายังคงเป็นสหายเต๋ามั่วแสดงอิทธิฤทธิ์ต่อ?”
มั่วชิงเฉินกระดกมุมปากขึ้นเบาๆ เอ่ยนิ่งเรียบว่า “คนต่อไปเถอะ”
หากบอกว่าเมื่อเริ่มแรกตนมาพร้อมความคิดที่จะเพิ่มพูนประสบการณ์การสู้รบ ขัดเกลาเคล็ดวิชาพันบุปผาแปลงไม้ สามารถชนะได้เท่าไหนก็เท่านั้น บัดนี้กลับไม่สู้สุดกำลังไม่ได้แล้ว
สาเหตุมิใช่อื่นใด เมื่อครู่ยามที่ฟื้นฟูพลังวิญญาณลับๆ ได้รับการส่งเสียงทางจิตจากศิษย์ผู้ดูแล ได้ถ่ายทอดการนัดหมายของท่านอาจารย์ลุงเจ้าสำนักและอาจารย์ให้ตนฟังอย่างสมจริงสมจัง
เมื่อคิดถึงการลงโทษที่ต้องเจอหากตนพ่ายแพ้ไม่แน่อาจร้ายแรงว่าการไปถ้ำน้ำแข็งหมายเลขแปดอีก ยิ่งกว่านั้นยังทำให้อาจารย์เดือดร้อนอีก มั่วชิงเฉินก็สะท้านใจ ยังดีที่ฉวยโอกาสช่วงโกลาหลเมื่อครู่ฟื้นฟูพลังวิญญาณในกายได้ส่วนใหญ่แล้ว ไม่ถึงกับไม่มีโอกาสสักนิด
“ศิษย์พี่ ข้าเอง!” เสียงเพราะพริ้งไพเราะเสียงหนึ่งดังขึ้น จากนั้นก็เห็นผู้บำเพ็ญเพียรหญิงพริ้มพรายกระโปรงยาวไม่เกินเข่าคนนั้นเดินขึ้นมา
มั่วชิงเฉินกอบมือคารวะ ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงพริ้มพรายคนนั้นฮึเสียงเย็นเสียงหนึ่ง ไม่แม้แต่จะคารวะกลับก็ยกสองมือสองข้างขึ้นสูง
เห็นเพียงผ้าต่วนสีขาวบริสุทธิ์สองเส้นปลิวออกจากฝ่ามือทั้งสองข้างของนาง ร่ายรำซัดมาที่มั่วชิงเฉินราวกับมีจิตวิญญาณ
แสงแหวกฟ้าของผ้าขาวตามมาด้วยเสียงกระพรวนที่ไพเราะเป็นระลอก ผ้าต่วนที่ดูแล้วอ่อนนุ่ม ไม่คิดว่าจะให้ความรู้สึกที่คมกริบ กลิ่นหอมจางๆ สายหนึ่งลอยตามมา
เมื่อกลิ่นหอมจางๆ ที่หวานเลี่ยนยั่วยวนมุดเข้าจมูกมั่วชิงเฉิน สมองของนางก็วิงเวียนขึ้นมาทันที
มั่วชิงเฉินรีบกัดปลายลิ้น เมื่อความเจ็บปวดส่งผ่านมา สติสัมปชัญญะกลับมาแจ่มชัดทันที นางเข้าใจทันทีว่ากลิ่นหอมจางๆ นี้ต้องมีอะไรผิดปกติแน่ ในใจกลับแปลกใจเล็กน้อยที่ตนดูเหมือนจะหลุดพ้นได้ง่ายดายเกินไปหน่อย
ในเวลาเช่นนี้ย่อมไม่มีเวลาให้คิดมาก เห็นผ้าขาวซัดมา มั่วชิงเฉินร่ายเคลื่อนเงาเลือนรางออกมาทันที ไถลไปข้างๆ ดั่งเซียนหลินปัวก็ไม่ปาน ชุดเขียวตัวหลวมพลิ้วไหวตามลม ดันเผยให้เห็นท่วงท่าที่อ่อนช้อย ทำให้ดูมีเสน่ห์สง่างามอย่างบอกไม่ถูก
“ดี!”
“อาจารย์อามั่วสู้เขา!”
ศิษย์เหยากวงที่มุงดูโห่ร้องเสียงดังขึ้นมา
มั่วชิงเฉินกลับแอบยิ้มอย่างขมขื่น เคลื่อนเงาเลือนรางแม้เหมาะกับการหลบหลีก กลับเป็นคาถาแบบดั้งเดิม การเผาผลาญพลังวิญญาณไม่ใช่สิ่งที่ตนจะยืนหยัดได้ในยามนี้
ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงพริ้มพรายได้ยินเสียงโห่ร้องของศิษย์เหยากวง ฮึเสียงเย็นชาอีกเสียงหนึ่ง ผ้าขาวจู่โจมมาอีกครั้ง
มั่วชิงเฉินยกมือเปล่าขึ้น เถาวัลย์สีเขียวเข้มสองสายพุ่งออกไปโดยพลันดั่งงูวิญญาณ เข้าพัวพันกับผ้าขาวสองเส้นไว้ด้วยกัน
เพียงชั่วครู่ เถาวัลย์สีเขียวและผ้าขาวก็บิดเป็นเกลียว สองคนต่างคนต่างถือไว้ข้างหนึ่ง กลับเหมือนกำลังชักเย่อก็ไม่ปาน
ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงพริ้มพรายมองมั่วชิงเฉิน แล้วกัดริมฝีปาก พลังวิญญาณก็ปรากฏขึ้นในมือ ดึงเชือกสองเส้นลากไปข้างหลัง
มั่วชิงเฉินยิ้มแผ่วเบา แอบคิดในใจว่า ช่างเกรงใจจริงๆ เลย ใช้ก้อนอิฐจนชินแล้ว แรงข้าค่อนข้างเยอะทีเดียวนะ
เมื่อมั่วชิงเฉินออกแรง สองคนก็หยุดนิ่งอยู่ตรงนั้น
“สู้เขา สู้เขา อาจารย์อามั่วสู้เขา!” ศิษย์ที่มุงดูเห็นหญิงสาวสองคนชักเย่อขึ้นมา จึงตะโกนเสียงดัง
ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งหน้านิ่งดุจน้ำ จับจ้องการต่อสู้ตาไม่กะพริบ ทันใดนั้นออกเสียงว่า “ศิษย์น้องหยาง เจ้ายังรออะไรอยู่อีก!”
เมื่อพูดออกไป ก็เห็นผู้บำเพ็ญเพียรหญิงพริ้มพรายล้วงยันต์สีเหลืองออกมาแผ่นหนึ่ง จากนั้นตบลงบนมือ
มั่วชิงเฉินรู้สึกทันทีว่าฝ่ายตรงข้ามแรงมากขึ้นมาก เชือกที่เดิมทีหยุดนิ่งอยู่ตรงนั้นเลื่อนไปด้านฝ่ายตรงข้ามมากมายทันที
“ไอยา อาจารย์อามั่วระวัง!” ศิษย์ไม่น้อยร้องด้วยความตกใจ
“แย่แล้ว นั่นคือยันต์จอมพลัง” ไม่รู้ใครตะโกนขึ้นมาในฝูงชน
มั่วชิงเฉินสีหน้าเปลี่ยนแผ่วเบา ยันต์จอมพลังนับว่าเป็นยันต์พิเศษ ในตลาดไม่ค่อยได้เห็นนัก ศิษย์หัวกะทิของนิกายเหอฮวน ไม่ธรรมดาจริงๆ
บนใบหน้าผู้บำเพ็ญเพียรหญิงพริ้มพรายฉายแววได้ใจแวบหนึ่ง แรงที่มือเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน
เห็นเกลียวเชือกสองเส้นพันกันแน่นเลื่อนไปทางผู้บำเพ็ญเพียรหญิงพริ้มพรายทีละนิด ศิษย์เหยาหวงไม่น้อยถึงกับลืมพูด จับจ้องตรงนั้นเขม็ง สีหน้าตื่นเต้นกว่าสองคนที่ประลองกันอยู่เสียอีก
มั่วชิงเฉินและผู้บำเพ็ญเพียรหญิงพริ้มพรายต่างก็เป็นผู้หญิง อาศัยแรงของตนเพียงอย่างเดียวนั้นแตกต่างกันไม่มาก บัดนี้แทนที่จะบอกว่าแข่งพละกำลัง ไม่สู้บอกว่าแข่งพลังวิญญาณดีกว่า
ทว่าผู้บำเพ็ญเพียรหญิงพริ้มพรายใช้ยันต์จอมพลัง อีกทั้งมั่วชิงเฉินก็ไม่กล้าสิ้นเปลืองพลังวิญญาณอีก สภาพเช่นนี้ในสายตาคนอื่นจึงเอียงไปทางเดียวแล้ว
“นางเด็กบ้า เจ้ายอมแพ้เถอะ ว้าย…” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงพริ้มพรายพูดยังไม่ทันจบ จู่ๆ ร่างกายก็บินไปข้างหลัง จนบินออกไปได้หลายจั้งถึงก้นจ้ำเบ้า
ผู้คนสูดลมเย็นเข้า “ซี๊ด เกิดอะไรขึ้น?”
มั่วชิงเฉินสะบัดมืออย่างใจเย็น เถาวัลย์ที่ถูกเก็บกลับไปก็หายกลับเข้าไปกลางฝ่ามือนาง
“เจ้า เจ้าขี้โกง!” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงพริ้มพรายลุกขึ้นยืน ยื่นนิ้วชี้มั่วชิงเฉินด้วยสีหน้าโมโห
มั่วชิงเฉินเอ่ยด้วยหน้าไร้ความรู้สึกว่า “สหายเต๋าหมายความว่าเช่นไร ข้าโกงอย่างไรแล้ว?”
ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงพริ้มพรายโมโหจนหน้าอกกระเพื่อมไม่หยุด ด้านหน้าคลื่นโหมซัดสาด “ข้าจะชนะอยู่แล้ว จู่ๆ เจ้ากลับเก็บเถาวัลย์กลับไป ไม่ใช่ขี้โกงคืออะไร?”
มั่วชิงเฉินแอบว่าโชคดีที่ตนไม่ใช่ผู้ชาย มิเช่นนั้นยังไม่ทันสู้ก็ทำวิญญาณหายไปแล้ว เช่นนั้นมิใช่ต้องแพ้อย่างไม่ต้องสงสัยหรอกหรือ
“ช่างน่าขันจริงๆ นี่เราประลองกันอยู่ ไม่ใช่ชักเย่อเสียหน่อย เหตุใดข้าจะเก็บเถาวัลย์กลับไม่ได้ อย่าบอกนะว่าสหายเต๋านึกว่าลากเชือกข้ามไปได้ก็นับว่าชนะแล้ว?” มั่วชิงเฉินหัวเราะฟู่ว่า
ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงพริ้มพรายโมโหจนตัวสั่น ไม่พูดมากอีกแล้วปล่อยผ้าขาวสองเส้นออกไปในพริบตา
มั่วชิงเฉินปล่อยเถาวัลย์สีเขียวเข้มออกไปเช่นกัน ร่ายรำปะทะพันเกี่ยวกับผ้าขาว ไม่ให้ผ้าขาวเข้าใกล้ตน
ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงพริ้มพรายกัดริมฝีปากล่างแน่น ริมฝีปากขยับแผ่วเบา กระพรวนเงินบนผ้าขาวสองเส้นจู่ๆ ก็ดังขึ้นไม่หยุด
เดิมทีมั่วชิงเฉินกำลังเพิ่งสมาธิทั้งหมดในการบังคับเถาวัลย์ จู่ๆ เสียงกระพรวนกังวานเป็นระลอกๆ ก็ลอยมา เมื่อเข้ามาในหูกลับราวกับสามารถสะกดจิตได้ก็ไม่ปาน เปลือกตาของนางเริ่มหนักอย่างไม่คาดคิด อยากหลับตาขึ้นมาอย่างบังคับไม่ได้
มั่วชิงเฉินกัดปลายลิ้นอีกครั้ง กลับพบอย่างคาดไม่ถึงว่าไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ปลายลิ้นแล้ว
ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงพริ้มพรายหัวเราะคิกคัก ฉวยโอกาสยามมั่วชิงเฉินสติเลือนรางพันผ้าขาวเส้นหนึ่งเข้ากับเถาวัลย์สองเส้น ผ้าขาวอีกเส้นหนึ่งกลับซัดตรงไปยังหน้ามั่วชิงเฉิน
ปลายผ้าขาวเปลี่ยนจากนิ่มนวลมาตั้งตรง ราวกับใบมีดที่แสนบางใบหนึ่ง ส่งไอเย็นออกเป็นสายๆ
“อาจารย์อามั่วเป็นอะไรน่ะ?” ศิษย์คนหนึ่งเห็นความเคลื่อนไหวของมั่วชิงเฉินจู่ๆ ก็เฉื่อยชาขึ้นมา จึงเอ่ยด้วยความสงสัย
ศิษย์อีกคนหนึ่งปากสั่นว่า “แย่แล้ว อาจารย์อามั่วจะถูกฝ่ายตรงข้ามทำลายโฉมแล้ว แม้ แม้อาจารย์อามั่วหน้าตา…ธรรมดาไปสักหน่อย ทว่าอย่างไรก็เป็นสตรีนะ”
“เสียงกระพรวน ศิษย์น้องมั่วต้องถูกเสียงกระพรวนนั่นครอบงำเป็นแน่” คนที่พูดคือผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานคนหนึ่ง
ศิษย์ระดับหลอมลมปราณคนหนึ่งทำใจกล้าว่า “ไม่ใช่หรอกกระมัง ศิษย์ไม่รู้สึกว่าเสียงกระพรวนนั่นจะมีอะไรนะ?”
ในยามนี้ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานกลับมีความอดทนยิ่งนัก อธิบายว่า “ศิษย์นิกายเหอฮวนคนนั้นมีตบะระดับสร้างรากฐาน เสียงกระพรวนที่ควบคุมเกรงว่ายังยากจะสร้างผลกระทบกระเทือนต่อผู้อื่นได้”
ยามนี้สติสัมปชัญญะของมั่วชิงเฉินไม่ได้รับผลกระทบกระเทือน ร่างกายกลับควบคุมไม่ค่อยได้ ไม่เพียงแต่ความเคลื่อนไหวเชื่องช้า ยิ่งกว่านั้นคือมีความรู้สึกมึนงงอยากหลับ
ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งที่ดูการประลองอยู่ในที่สุดก็ปรากฏรอยยิ้มให้เห็นสายหนึ่ง
ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงพริ้มพรายยิ่งเผยสีหน้าชัยชนะอยู่ในมือออกมา แอบฮึเสียงเย็นว่า นางเด็กบ้า เจ้าหลบกลิ่นหอมเร้นลับของข้าได้ถือว่าโชคดีมากแล้ว ยังคิดจะหลบกระพรวนเกี่ยววิญญาณของข้าอีกหรืออย่างไร?
เห็นผ้าขาวมาถึงหน้ามั่วชิงเฉินแล้ว มั่วชิงเฉินกลับยังคงไม่ขยับเขยื้อนเหม่ออยู่ที่เดิม ศิษย์ที่มุงดูอดร้องขึ้นด้วยความตกใจไม่ได้ ศิษย์หญิงมากมายถึงกับหลับตาแล้วกรีดร้อง ‘ว้าย ว้าย’ ขึ้นมา
แล้วจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงร้องโหยหวนที่แหลมและเศร้าโศกยิ่งกว่าของหญิงสาว ล่องลอยไม่ขาดสาย
ศิษย์หญิงที่กำลังหลับตากรีดร้องอยู่คนหนึ่งได้ยินแล้วสีหน้าซีดเซียว ยิ่งกรีดร้องดังขึ้นอีก
“ศิษย์น้อง ศิษย์น้อง ไม่ต้องร้องแล้ว!” ศิษย์ชุดเขียวคนหนึ่งรวบรวมความกล้ากระตุกศิษย์หญิงที่อยู่ข้างๆ
ศิษย์หญิงร้องอีกสองเสียง ถึงลืมตาขึ้น กลับไม่กล้ามองไปทางลานประลอง ได้เพียงมองศิษย์ชายด้วยน้ำตาคลอเบ้าว่า “เสีย…เสียโฉมหรือยัง?”
ศิษย์ชายพยักหน้าว่า “เสียแล้ว”
บนใบหน้าศิษย์หญิงเต็มไปด้วยความเห็นใจทันที สะอื้นว่า “ฮือๆ อาจารย์อามั่วช่างน่าสงสารเหลือเกิน นางทำเพื่อพรรคเหยากวงของเราทั้งนั้นนะ…”
“อาจารย์อามั่วทำลายโฉมคนอื่นแล้ว…” ในที่สุดศิษย์ชายก็พูดจนจบ
ศิษย์หญิงแข็งเป็นหินทันที แล้วบิดคอมองไปอย่างแข็งทื่อ
ก็เห็นมั่วชิงเฉินกำลังหดสองนิ้วกลับมา ยืนอย่างสง่า
ส่วนผู้บำเพ็ญเพียรหญิงนิกายเหอฮวนที่พริ้มพรายไม่มีใครเทียมกลับนอนหงายอยู่บนพื้นหมดสติไป เส้นผมดกดำติดปีกบินหายไป เผยให้เห็นหนังศีรษะเงาวับออกมา
ศิษย์หญิงเบือนสายตาไปข้างๆ ก็เห็นเส้นผมนับไม่ถ้วนร่วงอยู่บนพื้น เมื่อลมพัดยังขยับแผ่วเบาอีก กระทั่งมีบางส่วนไม่รู้ถูกลมพัดไปทางไหนแล้ว
ศิษย์หญิงหันกลับมามองศิษย์ชายอย่างงงงัน ตกใจจนพูดไม่ออกแล้ว ความหมายในแววตากลับชัดเจนมาก
เสียงศิษย์ชายเลื่อนลอยเล็กน้อยว่า “ข้าก็เห็นไม่ชัด ดูเหมือนผ้าขาวนั่นมาถึงหน้าอาจารย์อามั่ว ถูกนิ้วมือสองนิ้วของอาจารย์อามั่วหนีบไว้ จากนั้นอีกก็ได้ยินเสียงผู้บำเพ็ญเพียรหญิงคนนั้นร้องโหยหวนทีหนึ่ง แล้วก็ล้มลงหมดสติแล้ว”
กระทั่งถึงยามนี้ ศิษย์ที่มุงดูถึงโห่ร้องขึ้นมาตามๆ กัน
“พาศิษย์น้องหยางลงมา” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งสีหน้าน่าเกลียดจนน่าตกใจ
มั่วชิงเฉินเม้มปากไม่พูด กลับแอบกลืนโอสถเติมวิญญาณลงไปฟื้นฟูพลังวิญญาณ ในใจยังกลัวไม่หายเล็กน้อย
หากไม่เพราะยามหัวเลี้ยวหัวต่อตนเร่งเพลิงแก้วใจกระจ่าง ชิงสิทธิ์การควบคุมร่างกายกลับมา แล้วอาศัยเคล็ดวิชานิ้วกระบวนท่าหนึ่งของเข็มกล้วยไม้ปัดจุดรวบรวมพลังวิญญาณไว้ที่นิ้วหนีบผ้าขาวที่ซัดมาไว้ เช่นนั้นหน้าของตนต้องถูกนางทำลายเป็นแน่แล้ว
มองดูศีรษะโล้นเลี่ยนเตียนของผู้บำเพ็ญเพียรหญิงพริ้มพราย มั่วชิงเฉินไม่รู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อย ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงคนนี้อำมหิตเกินไป พูดไปแล้วตนเพียงแค่โกนผมของนางทิ้งไป นับว่าสบายนางแล้ว
ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดสีรุ้งเม้มปาก เมื่อครู่แม้นางเห็นมั่วชิงเฉินใช้นิ้วมือหนีบผ้าขาวไว้ในชั่วพริบตาได้อย่างชัดเจน แล้วฉวยโอกาสที่ศิษย์น้องงงงันอยู่เขวี้ยงกระบี่บินออกไปโกนผมนางทิ้ง กลับดูไม่ออกว่าศิษย์น้องหยางถูกกระบวนท่าอะไรถึงหมดสติไป
แน่นอน นางไม่มีทางถามมั่วชิงเฉินเด็ดขาด
หนึ่งในยอดเขารองเขาชิงมู่ ลึกเข้าไปในป่าไผ่
ศิษย์ผู้ดูแลได้รับยันต์ส่งสารใบใหม่ แล้วคารวะนักพรตฟางเหยาครั้งหนึ่ง “เรียนท่านอาจารย์อาเจ้าสำนัก ศิษย์น้องมั่วชนะอีกคนหนึ่งแล้ว อีกฝ่ายหมดสติไปเช่นกัน”
“เอ่อ ครั้งนี้เหตุการณ์เป็นเช่นไร?” นักพรตฟางเหยาถามขึ้น
ศิษย์ผู้ดูแลสูดลมเข้าอึดหนึ่งถึงเอ่ยว่า “เห็นเพียงศิษย์น้องมั่วใช้นิ้วมือหนีบผ้าขาวที่ฝ่ายตรงข้ามจู่โจมมา จากนั้นใช้กระบี่บินโกนผมฝ่ายตรงข้าม ฝ่ายตรงข้ามหมดสติด้วยเหตุใด บัดนี้ยังไม่อาจทราบได้ขอรับ”