ระหว่างที่พูด จู่ๆ ทรายใต้เท้าผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำคนหนึ่งก็ยุบลงไป เขาที่หลบไม่ทันตกลงข้างล่างไปทั้งตัว
เถาวัลย์ในมือมั่วชิงเฉินบินออกไปด้วยความเร็วยิ่ง พันแขนของเขาไว้ก่อนที่เขาจะถูกทรายสีเหลืองฝังกลบพอดี มือออกแรง ลากเขาขึ้นมา
“ขอบคุณ” ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำที่ตกใจขวัญหนีดีฝ่อเพิ่งจะสงบลง ก็ได้ยินเสียงร้องตกใจของผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่น
ที่แท้พื้นทรายทั้งผืนแกว่งไกวขึ้นมา อีกทั้งในค่ายกลไม่อาจเหอะเหินได้ ทุกคนจึงได้แต่ใช้ความสามารถของตัวเองกระโดดโลดเต้นไปมา
“ช่วยด้วย!” หญิงสาวชุดเขียวกรีดร้องเสียงหนึ่ง ร่างกายจมลงไปทีละนิดๆ พริบตาเดียวทรายสีเหลืองก็กลบถึงหน้าอกนางแล้ว ที่แท้ตอนที่ลงมาเหยียบถูกผืนทรายที่กำลังเริ่มยุบลงข้างล่างพอดี
ต้วนชิงเกอที่อยู่ข้างๆ พอดีสะบัดแส้ออก พันผมของนางไว้ดึงนางขึ้นมา
น่าสงสารผู้บำเพ็ญเพียรหญิงโฉมงามดังบุปผาผู้นี้ ผมถูกดึงทิ้งไปครึ่งใหญ่ แม้แต่หนังศีรษะก็โผล่ออกมา ทว่ายามนี้นางห่วงแต่รักษาชีวิต จึงไม่มีเวลาสนใจสิ่งเหล่านี้แล้ว
ทุกคนขยับตัวไม่หยุด หลบการจู่โจมของทรายดูด
เพราะว่ามั่วชิงเฉินสามารถใช้เคลื่อนเงาเลือนราง จึงรับมือได้อย่างใจเย็นกว่ามาก ทว่าเป็นเช่นนี้ต่อไป ย่อมมียามที่พละกำลังใช้สิ้น นึกถึงตรงนี้จึงรีบร้อนว่า “ศิษย์พี่มั่ว นี่คือค่ายกลอันใด มีวิธีทำลายหรือไม่?”
“ทองซ่อนกลางทราย หากข้าเดาไม่ผิด นี่น่าจะเป็นค่ายกลห้าธาตุแปรผันค่ายกลหนึ่ง” พอมั่วหลีลั่วรีบพูดจนจบ สีหน้าก็ซีดลง แล้วพูดเสียงดังว่า “ทุกคนระวัง เกรงว่าที่นี่คงไม่ธรรมดาที่มีเพียงทรายดูดเท่านั้น”
เพิ่งพูดจบ ทรายสีเหลืองที่เคลื่อนไหวอยู่จู่ๆ ก็ขยับขึ้นขณะที่ไร้ลม กลายเป็นกองทรายที่หมุนไม่หยุด ในพริบตาเดียวกองทรายสูงขึ้นเท่าความสูงของคนหนึ่งคนกว่า กลายเป็นมนุษย์ทรายที่รูปร่างเหมือนคนอย่างไม่คาดคิด!
ทรายสีเหลืองม้วนขึ้นอีกอย่างตามมาติดๆ กลายเป็นมนุษย์ทรายคนแล้วคนเล่า ไม่รอให้ทุกคนหายใจ มนุษย์ทรายพวกนั้นมือถือกระบี่คมเริ่มจู่โจมมา ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำคนหนึ่งรับมือด้วยกระบี่บิน กลับถูกกระบี่บินในมือของมนุษย์ทรายคนหนึ่งในนั้นจู่โจมจนบินออกไป แล้วเสียบเข้าในร่างเขา
ตามด้วยเสียงร้องโหยหวนเสียงหนึ่ง ศพของผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำล้มลง ถูกทรายดูดกลืนมิดไปอย่างรวดเร็ว เหลือเพียงรอยเลือดที่แสบตาผืนหนึ่งทำให้คนอื่นเห็นแล้วอกสั่นขวัญแขวน
“ไม่ต้องใช้อาวุธ ใช้คาถา ใช้คาถาธาตุไฟ คาถาธาตุไม้ก็ได้เช่นกัน!” มั่วหลีลั่วตะโกน
ภายใต้การเตือนของมั่วหลีลั่ว ทุกคนต่างเสกคาถาธาตุไฟ เข่นฆ่ากับมนุษย์ทรายขึ้นมา
มั่วชิงเฉินไม่กล้าเสกคาถาธาตุไฟ จึงใช้เถาวัลย์พันมนุษย์ทรายที่เข้ามาใกล้ รอเถาวัลย์พันมนุษย์ทรายเต็มตัวจนขยับไม่ได้ จึงดึงก้อนอิฐฟาดไปอย่างแรง
ได้ยินเพียงเสียงโครมเสียงหนึ่ง ทรายสีเหลืองปลิวว่อน มนุษย์ทรายเพียงแต่ส่ายเล็กน้อย ร่างกายไม่ได้รับความเสียหาย
มั่วชิงเฉินกัดฟัน อัญเชิญกระบี่ชิงมู่ ร่ายรำเงากระบี่ออกมาในอากาศหลายเงา จากนั้นก็มีดอกไม้สดนับไม่ถ้วนที่เกิดจากปราณวิญญาณบินไปที่มนุษย์ทราย
ยามที่บินถึงหน้ามนุษย์ทราย ดอกไม้สดพวกนี้กระจายออกในทันใด กลีบดอกไม้แต่ละกลีบพร้อมด้วยปราณกระบี่สีเขียวหายเข้าไปในร่างมนุษย์ทราย
มนุษย์ทรายหยุดดิ้นรน จากนั้นร่างกายระเบิดออกมา กลายเป็นทรายสีเหลืองเป็นเม็ดๆ ตกลงไปในผืนทราย
เพียงแต่ทุกครั้งที่กำจัดมนุษย์ทรายหนึ่งคน ก็จะมีมนุษย์ทรายคนใหม่เกิดขึ้น ราวกับไม่มีที่สิ้นสุด
มั่วหลีลั่วหรี่ตาลง จิตตระหนักแผ่ออกรอบด้าน จากนั้นตะโกนว่า “เร็ว ทุกคนไปทางทิศตะวันตก อย่าพัวพันกับมนุษย์ทรายพวกนี้อีก”
ในเวลาเช่นนี้ เดิมทีทุกคนก็รับมือไม่ทันอยู่แล้ว ได้ยินคำพูดของมั่วหลีลั่วจึงพลางสู้รบพลางถอยไปทางทิศตะวันตก
หลังจากถอยไปทางทิศตะวันตกหลายลี้ มั่วหลีลั่วเห็นถ้ำทรายที่ลึกจนไม่เห็นก้นแห่งหนึ่งตามคาด จึงอดดีใจไม่ได้ “ทุกคน รีบๆ จู่โจมถ้ำทราย หากข้าคาดไม่ผิด นั่นก็คือตาค่ายกล!”
ผู้นำชุดดำระดับสร้างรากฐานระยะปลายนั้นเดิมทีก็บำเพ็ญเพียรวิชายุทธ์ธาตุไฟเป็นหลักอยู่แล้ว ได้ยินดังนั้นจึงปล่อยกระสุนไฟพวงหนึ่งใส่ถ้ำทรายอย่างไม่ลังเล
ค่ายกลห้าธาตุแปรผันเช่นนี้ สิ่งที่ยากที่สุดคือการหาตาค่ายกล เมื่อหาเจอแล้วการทำลายกลับไม่ยาก
ผู้นำชุดดำเพิ่งซัดกระสุนไฟไปพวงหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงดังโครมเสียงหนึ่ง จากนั้นพื้นทรายทั้งผืนสั่นไหวขึ้นมาอย่างรุนแรงดุจแผ่นดินไหว
ยังไม่รอทุกคนได้สติ พื้นทรายแยกเป็นรูยักษ์ออกทันที กลืนกินทุกคนเข้าไป
“ว้าย ว้าย…” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงคนหนึ่งกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง
“หุบปาก!” ผู้นำชุดดำดุด่าว่า
ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดเขียวนั้นชะงักงัน แล้วเอ่ยอย่างประหลาดใจว่า “เรา เรายังมีชีวิตอยู่!”
ไม่มีคนสนใจนางอีก หากแต่พิจารณาสภาพแวดล้อมรอบตัวกันอย่างตื่นตัว
มั่วชิงเฉินพบว่า พวกเขาอยู่บนแท่นที่เหมือนเกาะเล็กๆ แห่งหนึ่งอย่างคาดไม่ถึง เพียงแต่สิ่งที่ห้อมล้อมแท่นไว้ไม่ใช่น้ำทะเล หากแต่เป็นหินหลอมเหลวที่เดือดพล่านไหลอยู่!
รอบๆ ที่ห่างจากแท่นหลายสิบจั้ง จะเห็นภูผาสีแดงลื่นเรียบล้อมรอบหนึ่ง ด้านบนมองไม่เห็นยอด ด้านล่างมองไม่เห็นก้น ระหว่างภูผาและแท่นมีก้อนหินสีแดงลอยอยู่เป็นก้อนๆ นอกนั้นไม่มีสิ่งอื่นใดอีก
“ที่นี่คือที่ไหนอีก?” ผู้นำชุดดำสีหน้ายิ่งดูไม่ได้ขึ้นอีก
มั่วหลีลั่วเม้มปาก “พวกเรายังคงอยู่กลางค่ายกล นี่เป็นค่ายกลอัคคีในค่ายกลห้าธาตุ วิธีทำลายค่ายกลยังคงคือการหาตาค่ายกล”
ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดม่วงรีบถามว่า “ตาค่ายกลอยู่ที่ใดล่ะ?”
ค่ายกลในค่ายกลนี้ ไม่ใช่สิ่งที่มั่วหลีลั่วที่อยู่ระดับสร้างรากฐานจะเข้าใจได้อีกแล้ว นางได้เพียงสันนิษฐานโดยอาศัยลักษณะเฉพาะและความเข้าใจของตนที่มีต่อค่ายกล “ที่เป็นไปได้มากที่สุด ก็คือที่ใดที่หนึ่งของภูผานั่น”
“ทว่า ภูผานี่ดูเช่นไรก็เหมือนกันไปหมดนี่นา!” ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดเหลืองสีหน้าตื่นตระหนก จนถึงบัดนี้ มีผู้บำเพ็ญเพียรสองคนได้สังเวยชีวิตแล้ว ใครจะรู้ว่าคนต่อไปจะใช่ตนหรือไม่ล่ะ
มั่วหลีลั่วเหลือบมองนางปราดหนึ่ง เอ่ยต่อว่า “ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องมีที่ที่ต่างออกไป สหายเต๋าทุกท่าน ข้าเสนอแนะให้ทุกคนค้นหาด้วยกัน หากพบที่ที่ไม่ปกติจงชี้ให้ข้าดู ข้าค่อยตัดสินตามสถานการณ์”
“ทำตามที่สหายเต๋ามั่วว่ามา” ผู้นำชุดดำเอ่ย
มั่วชิงเฉินขมวดคิ้ว คนคนนี้อาศัยที่ตนอยู่ระดับสร้างรากฐานระยะปลาย ยามที่พูดกับทุกคนมักใช้น้ำเสียงออกคำสั่ง หากถูกกักอยู่ที่นี่ตลอดก็ช่างเถอะ หากออกไป เขาต้องเป็นคนเปลี่ยนหน้าทันทีแน่นอน ท่าทางต้องวางแผนไว้ล่วงหน้าซะแล้ว
นึกถึงตรงนี้ จึงส่งเสียงทางจิตให้มั่วหลีลั่วและต้วนชิงเกอ พูดไปสองประโยค
ทั้งสองคนพยักหน้าแผ่วเบา แล้วเริ่มพิจารณาหน้าผาขึ้นมา
พลังสายตาของผู้บำเพ็ญเพียรเกินคนธรรมดามาก โดยเฉพาะหลังสร้างรากฐานถอดร่างเนื้อคนธรรมดาไป จึงสามารถเห็นภาพมากมายที่คนธรรมดามองไม่เห็นเอาเสียเลย
ส่วนมั่วชิงเฉินเนื่องจากยามฝึกเข็มกล้วยไม้ปัดจุดตั้งแต่เยาว์วัยได้ฝึกพลังสายตาโดยเฉพาะมาก่อน ในด้านนี้จึงแข็งแกร่งกว่าผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดาสักหน่อย
ในเมื่อมั่วหลีลั่วบอกว่าภูผ่านี้ต้องมีที่ที่ต่างออกไป เช่นนั้นการค้นหาด้วยความอดทน ย่อมดีกว่าการอยู่เฉยๆ อย่างโง่ๆ
มั่วชิงเฉินหลับตาก่อน รอในใจสงบจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น แล้วหันสายตาไปที่ภูผา กลับไม่ได้มองภูผาไปมาในระดับสายตาเหมือนคนอื่น หากแต่มองด้านบนสุดและด้านล่างสุดโดยเฉพาะ
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดเหลืองและชุดเขียวหมดความอดทนขึ้นมาก่อน เพราะอย่างไรเสียการตั้งสมาธิใช้สายตา เป็นเรื่องบั่นทอนกำลังมาก โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่มองไปทางไหนล้วนไม่ต่างกันนัก
ถ้าพิจารณาอย่างละเอียดก็จะเห็นได้ว่าภูผานี้มีลวดลายตัดกันทุกสารทิศ ดูแล้วสับสนวุ่นวายไม่มีกฎเกณฑ์ ทว่ายามที่มั่วชิงเฉินมองไปด้านบนสุดทางภูผาด้านใต้ ทันใดนั้นสายตาสะดุดกึก ลวดลายตรงนั้นเป็นแฉก สุดท้ายตัดกันบนจุดที่มีขนาดเท่ากำปั้น และสีของจุดนั้นเข้มกว่าที่อื่นเล็กน้อย
“ศิษย์พี่มั่ว เจ้าดูตรงนั้น!” มั่วชิงเฉินยื่นมือชี้
“ตรงไหน?” มั่วหลีลั่วมองไปตามทิศทางที่นิ้วมือของมั่วชิงเฉินชี้ กลับมองไม่ออกว่ามีสิ่งผิดปกติ
“ก็คือตรงนั้น ด้านบนสุดด้านใต้” มั่วชิงเฉินเอ่ย
มั่วหลีลั่วส่ายศีรษะ “ข้ามองไม่เห็น ตรงนั้นมีอะไรหรือ มีอะไรไม่เหมือนกันหรือ?”
ทุกคนก็เขยิบเข้ามา แล้วมองไปตามๆ กัน
ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดเหลืองโวยวายว่า “มองไม่เห็นอะไรเลยนี่นา” น้ำเสียงกลับสำรวมขึ้นมาก
ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำสองคนก็ส่ายศีรษะ
มั่วหลีลั่วกลับเชื่อใจมั่วชิงเฉิน ถามว่า “ตรงนั้นมีอะไรไม่เหมือนกัน?”
มั่วชิงเฉินจึงเล่าเหตุการณ์ที่เห็นให้ฟัง มั่วหลีลั่วครุ่นคิดทีหนึ่งว่า “หากศิษย์น้องดูไม่ผิด นั่นน่าจะเป็นตาค่ายกลแล้ว”
ทันใดนั้นผู้นำชุดดำเปิดปากว่า “นางพูดไม่ผิด ตรงนั้นเป็นเช่นนั้นจริงๆ”
ในใจกลับแอบตระหนก ตนอยู่ระดับสร้างรากฐานระยะปลาย อีกทั้งยังฝึกคาถาลับมาโดยเฉพาะ นี่ถึงสามารถมองเห็นได้ นางหนูน้อยที่ดูแล้วไม่มีอะไรโดดเด่นกลับสามารถพบก่อนก้าวหนึ่งได้อย่างไม่คาดคิด
ในเมื่อยืนยันว่าเป็นที่นั่นแล้ว ที่เหลืออยู่ก็คือจะทำลายได้อย่างไร
มั่วหลีลั่วมองดูก้อนหินสีแดงที่ลอยอยู่กลางอากาศ ในมือมีเครื่องมือที่รูปร่างเหมือนจานหมากรุกอันหนึ่งเพิ่มมา ด้านบนเต็มไปด้วยตัวหมากรุก
เห็นเพียงนางสองมือพลิกไปมาปัดหมากรุกอย่างรวดเร็ว เมื่อยามที่เสียงใสกังวานของหมากรุกเสียงสุดท้ายหยุดลง นางยิ้มละไม เอ่ยกับทุกคนว่า “หินลอยพวกนี้ดูแล้วไม่มีกฎเกณฑ์สิ้นดี แท้จริงแล้ววางตามตำแหน่งนพเก้า หากมีคนเดินตามที่ข้าชี้แนะ ก็จะสามารถไปถึงตรงนั้น เพียงแต่คนคนนี้จำเป็นต้องชำนาญคาถาธาตุน้ำ”
สิ้นเสียงพูดผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดม่วงมองหญิงสาวชุดเขียวปราดหนึ่ง หญิงสาวชุดเขียวสีหน้าซีดเซียว หดไปอยู่ข้างหลัง
ผู้นำชุดดำสีหน้าเย็นชา เอ่ยกับผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำระดับสร้างรากฐานระยะแรกว่า “ถังซาน เจ้าไป”
“ขอรับ!” ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำตอบ
มั่วหลีลั่วชี้ไปที่แห่งหนึ่งว่า “เจ้าดูให้ดีนะ เริ่มเดินจากตรงนี้ ขอเพียงเดินไปตามที่ข้าบอกน่าจะไม่มีปัญหา ทว่าหากเดินผิดหนึ่งก้าว ก็ไม่รู้ว่าค่ายกลนี้จะขับเคลื่อนเช่นไรแล้ว”
ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำพยักหน้า ก้าวขึ้นเหยียบจุดเริ่มต้นที่มั่วหลีลั่วชี้ ก็ได้ยินมั่วหลีลั่วว่า “ตำแหน่งขั่น[1]ก้อนที่สามหมุนไปทางขวา ตำแหน่งคุน[2]ก้อนที่สองหมุนไปทางซ้าย ตำแหน่งเจิ้น[3]ก้อนที่ห้าหมุนไปทางขวา…”
ภายใต้การชี้แนะของมั่วหลีลั่ว ก็เห็นผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำยิ่งเดินยิ่งสูง
“ตำแหน่งตุ้ย[4]ก้อนที่เจ็ดหันขวา…”
ในยามนี้เองเปลวไฟสายหนึ่งพุ่งขึ้นจากหินหลอมเหลวที่เดือดพล่าน พุ่งมาที่ที่ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำยืนอยู่
เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดนี้เกิดขึ้นกะทันหันเกินไป ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำคนนั้นรีบกระโดดหลบขึ้น ในระหว่างที่รีบร้อนร่างกายกลับหันไปทางซ้าย
มั่วหลีลั่วสีหน้าเปลี่ยนทันที ยังไม่ทันได้เตือนก็เห็นหินสีแดงที่ลอยอยู่กลางอากาศเงียบๆ ก้อนนั้นตกลงไปในหินหลอมเหลวที่เดือดพล่านตรงๆ ดั่งดาวตก
ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำคนนั้นได้เพียงร้องโหยหวนเสียงหนึ่งแล้วก็ไม่มีสุ้มเสียงแล้ว หินหลอมเหลวเดือดปุดๆ เป็นฟองใต้แท่น ท่ามกลางหินหลอมเหลวที่เดือดพล่านยังสามารถเห็นกระดูกขาวเป็นแท่งๆ รางๆ ได้ หลังจากนั้นอีก ก็ไม่มีอะไรอีกแล้ว
ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงชุดเขียวที่ชำนาญคาถาธาตุน้ำสีหน้าซีดเซียวในพริบตา สีหน้าของคนอื่นก็ดูไม่ได้ถึงที่สุด
ปกติในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียร น้อยนักที่จะเห็นผู้บำเพ็ญเพียรที่สูงกว่าระดับก่อแก่นปราณเดินทาง ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานจึงนับว่ามีหน้ามีตาแล้ว ทว่าตั้งแต่มาถึงสถานที่ประหลาดนี้ ในพริบตาเดียวก็มีผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานถึงสามคนต้องทิ้งชีวิตไป ทำให้คนขวัญหนีดีฝ่อ
เห็นสายตาของทุกคนมองมา ผู้บำเพ็ญเพียรชุดเขียวส่ายศีรษะอย่างสุดชีวิตว่า “ข้าไม่ไหว ข้าไม่ไหว…”
เห็นผู้นำชุดดำระดับสร้างรากฐานระยะปลายบีบคั้นมา ในยามที่กำลังสิ้นหวังนี้เอง ทันใดนั้นได้ยินเสียงหญิงสาวคนหนึ่งว่า “ให้ข้าเถอะ”
จากนั้นก็มีคนเดินขึ้นหน้ามา ไม่คิดเลยว่าจะเป็นต้วนชิงเกอ
——
[1] ตำแหน่งขั่น ในแผนผังแปดทิศ หมายถึง ทิศเหนือ ตำแหน่งแห่งน้ำ
[2] ตำแหน่งคุน ในแผนผังแปดทิศ หมายถึง ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ตำแหน่งแห่งดิน
[3] ตำแหน่งเจิ้น ในแผนผังแปดทิศ หมายถึง ทิศตะวันออก ตำแหน่งแห่งสายฟ้า
[4] ตำแหน่งตุ้ย ในแผนผังแปดทิศ หมายถึง ทิศตะวันตก ตำแหน่งแห่งทะเลสาบ