มั่วชิงเฉินเห็นผ่านการมองภายใน ตันเถียนของนางที่เดิมที่ก็สั่นคลอนไม่มั่นคงอยู่ที่ขอบการล่มสลาย เปรียบเหมือนเปลือกไข่ใบหนึ่ง ในชั่วอึดใจมีรอยแยกเล็กๆเต็มไปหมด
ทีแรกนางนึกว่าความเจ็บปวดที่ได้รับได้ถึงขีดสุดแล้ว ทว่าเทียบกับความเจ็บปวดที่ตันเถียนฉีกขาดขึ้นมา แล้วกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเลย
ที่แปลกก็คือ มั่วชิงเฉินที่มองดูตันเถียนที่เต็มไปด้วยรอยเล็กๆ กับตา ไม่มีความกลัว หวาดผวาที่กำลังจะเผชิญความตาย ตรงกันข้ามกลับสงบอย่างประหลาด ในใจนาง แม้แต่ความเสียใจภายหลังสักนิดก็ไม่มี ไม่ว่าจะเป็นเช่นไรทุกอย่างตนล้วนเป็นผู้เลือกเอง เดินสู่จุดจบเช่นไร ก็เป็นเพียงเรื่องธรรมดาเท่านั้น
ที่เหนือความคาดหมายคือ ในชั่วอึดใจที่ตันเถียนของมั่วชิงเฉินระเบิด เพลิงแท้แผดเผาขึ้นที่ตันเถียนในบัดดล เพลิงแท้สีฟ้าห่อหุ้มทั้งตันเถียนไว้ ในเปลวไฟตันเถียนกลับค่อยๆ หดเล็กลง รอยแยกที่อยู่เต็มด้านบนไม่คิดว่าจะถูกลูบจนราบเรียบแล้ว
แต่ผู้คนนอกห้องลับกลับเห็นแล้ว ในแสงวิญญาณสีเขียวที่เอ่อเข้าข้างในทันใดนั้นกะพริบแสงวิญญาณสีแดง ตามด้วยสีเขียว สีแดงแสงวิญญาณสองสีพันอยู่ด้วยกันเหมือนปาท่องโก๋ พุ่งเข้าในห้องพร้อมกัน
“แปลก หรือว่านางบำเพ็ญเพียรวิชาธาตุไม้ ไฟสองชนิด?” ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนเอ่ยอย่างแปลกใจ
นักพรตหานจางจ้องห้องลับไม่พูดไม่จา
นักพรตรั่วซีหัวเราะว่า “เป็นเช่นไร สามารถถูกศิษย์น้องเหอกวงรับเป็นศิษย์ ต้องมีที่เด่นเกินคนแน่นอน”
ต้วนชิงเกอมองห้องลับด้วยความตระหนก ฝ่ามือชุ่มไปด้วยเหงื่อ
นางที่รู้จักมั่วชิงเฉินเป็นอย่างดีย่อมรู้ดี ที่มั่วชิงเฉินบำเพ็ญตลอดมาล้วนเป็นเคล็ดชิงมู่ กระทั่งในคาถาห้าธาตุ หลายปีมานี้ล้วนไม่เคยเห็นนางใช้คาถาธาตุไฟมาก่อน
ทว่ายามนี้ นางไม่มีทางพูดเรื่องนี้ออกมา หวังเพียงมั่วชิงเฉินมีที่ที่ไม่เหมือนใครจริง ไม่ขอให้สร้างรากฐานสำเร็จ อย่างน้อยสามารถรักษาชีวิตและตบะไว้
มั่วชิงเฉินที่อยู่ในห้องลับไม่รู้เรื่องนี้ เพียงแต่ผ่านการมองภายในเห็น ตันเถียนในร่างค่อยๆมั่นคงขึ้นมา ปราณวิญญาณที่ทะลวงออกมาในตอนแรกไม่มีปากทางระบายอีกแล้ว เริ่มพุ่งชนส่งเดชในตันเถียนอีกครั้ง
เพียงแต่ครั้งนี้ ต่อให้พลังของปราณวิญญาณน่ากลัวเพียงใด ตันเถียนที่ถูกเปลวไฟสีฟ้าห่อหุ้มไว้ราวกับมีความยืดหยุ่น ดันปราณวิญญาณที่พุ่งเข้าไปกลับมา
ปราณวิญญาณที่ไม่มีที่ไปยิ่งเบียดยิ่งแน่นอยู่ในตันเถียน ยิ่งอัดยิ่งแข็ง รอจนในที่สุดก็เบียดไม่ขยับอีกต่อไป ทันใดนั้นมั่วชิงเฉินได้ยินเสียง ‘ติ๊ง’ เสียงหนึ่ง
ของเหลวสีเขียวกระจ่างใสหยดลงมา เสียงติ๊งเข้าหูมั่วชิงเฉินดั่งเสียงสวรรค์ก็ไม่ปาน
ตามติดจากนั้น มีของเหลวอีกหลายหยดหยดลง ถึงยามท้ายของเหลวยิ่งหยดยิ่งเร็ว ดั่งฝนตกก็ไม่ปาน
ปราณวิญญาณทั้งหมดที่มีในร่างมั่วชิงเฉินพุ่งไปที่ตันเถียน จากนั้นกลายเป็นฝนสีเขียวตกสู่ตันเถียนที่ได้กลายเป็นลำธารที่ตื้นเขิน
ไม่รู้เวลาผ่านไปนานเท่าใด ในที่สุดปราณวิญญาณสายสุดท้ายในร่างของมั่วชิงเฉินกลายเป็นของเหลวหยดหนึ่ง ตกลงสู่ในทะเลสาบน้อย
ในวินาทีนี้ ทะเลสาบน้อยของตันเถียนจู่ๆ กระเพื่อมเป็นระลอก ของเหลวเหล่านั้นไหลสู่ทุกอณูทั่วร่างตามชีพจร มั่วชิงเฉินรู้สึกเพียงว่าสบายไปทั่วร่างอย่างหาใดเปรียบมิได้ มีความรู้สึกล่องลอยดุจเซียน
ต่อจากนั้นอีก ของเหลวที่ไหลผ่านทุกอณูทั่วร่างมั่วชิงเฉินเหมือนแม่น้ำร้อยสายไหลลงสู่ทะเล ไปรวมตัวกันในตันเถียน
ส่วนนอกห้องลับ ทันใดนั้นต้นไม้ใบหญ้ารอบด้านเติบโตอย่างบ้าคลั่ง เถาวัลย์ที่ยืดยาวอย่างรวดเร็วดั่งมีชีวิตก็ไม่ปาน ร่ายรำไปสู่ห้องลับ เพียงไม่นานก็คลานเต็มด้านนอกห้องลับจนมิด พันแน่นเต็มไปหมด
กิ่งก้านเครือเถามากมายผลิดอกตูมออกมา ตามติดด้วยดอกตูมผลิบาน ออกเป็นดอกไม้ดอกใหญ่ กลิ่นหอมอบอวลไปทั่วดึงดูดแมลงภู่ผึ้งมาไม่นับบินร่ายรำ บรรยากาศดุจแดนสวรรค์
ยามนี้คนที่ยืนอยู่นอกให้ลับ มีเพียงต้วนชิงเกอ มั่วหลีลั่ว เสี่ยวซย่าและเฉินเจียวซิ่ง ยังมีผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนศิษย์ผู้ดูแลแห่งเขาชิงมู่ แต่ไม่พบเงาของนักพรตหานจางและนักพรตรั่วซีแล้ว
“นี่ นี่มันเรื่องอะไรกัน?” เสี่ยวซย่าที่เป็นห่วงสภาพการณ์ในห้องเป็นระยะ ต้องตกใจต่อฉากที่เกิดขึ้นตรงหน้าอย่างกะทันหัน
ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนตื่นเต้นเล็กน้อย “ปรากฏการณ์ฟ้า นี่คือปรากฏการณ์ฟ้า ไม่นึกเลยว่านางหนูนั่นจะสร้างรากฐานสำเร็จแล้ว!”
สวรรค์ หากเขาจำไม่ผิด นางหนูน้อยนั่นปีนี้เพียงแค่ยี่สิบสองปีใช่หรือไม่ ทั่วทั้งพรรคเหยากวงรุ่นเยาว์ นอกจากนักพรตเหอกวงที่สร้างรากฐานเมื่ออายุสิบแปดปี ศิษย์น้องเยี่ยที่สร้างรากฐานเมื่ออายุยี่สิบ นางคือคนที่สาม!
หรือว่า เขาชิงมู่ข้าจะมีอัจฉริยะอีกท่านปรากฏสู่โลกแล้ว?
ตลอดมาไม่เข้าใจว่าเหตุใดนักพรตเหอกวงถึงเมตตานางหนูนี่ บัดนี้ดูแล้ว ญาณตนเทียบท่านผู้เฒ่าเหอกวงไม่ติดจริงๆ ท่านต้องมองพรสวรรค์ของนางหนูนี่ออกตั้งแต่แรกแล้วเป็นแน่! ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนสันนิษฐานมั่วซั่ว สีหน้ายิ่งตื่นเต้นขึ้นเรื่อยๆ
ต้องรู้ว่าพรรคเหยากวงมีห้าขุนเขา ต่อหน้าคนนอกแม้เกาะกุมเป็นกลุ่มก้อน ทว่าปกติก็มีการแข่งความเหนือชั้นกัน ขุนเขาไหนมีผู้บำเพ็ญเพียรอัจฉริยะปรากฏ ศิษย์ทั้งขุนเขานั้นล้วนมีเกียรติตามไปด้วย
มั่วหลีลั่วยกมือปล่อยยันต์ออกไปแผ่นหนึ่ง นักพรตรั่วซีที่กำลังเล่นหมากกับอาจารย์ที่เขารั่วสุ่ยหลังจากได้รับยันต์ส่งสารแล้วมือชะงัก ไม่ได้ลงหมากเสียที
“เป็นอะไรหรือ รั่วซี?” หญิงสาวงดงามผิดปกติคนหนึ่งถามด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
นักพรตรั่วซีเงยหน้าขึ้นว่า “อาจารย์ ก่อนหน้านี้ไม่กี่วันศิษย์รับศิษย์ร่างหยินบริสุทธิ์คนหนึ่งไว้มิใช่หรือเจ้าคะ”
ทันใดนั้นหญิงสาวที่งดงามมากหัวเราะว่า “ข้าได้ยินแล้ว ได้ยินมาว่าเจ้าวิ่งไปเขาต้วนจินด้วยตัวเองแย่งคนกลับมาจากเจ้าเด็กหานจางนั่น เป็นอันใด นางหนูน้อยนั่นเกิดเรื่องอันใดขึ้นใช่หรือไม่?”
นักพรตรั่วซีส่ายศีรษะ “กลับไม่ใช่ วันนั้นที่ข้าได้ข่าวนั้นได้ ที่แท้เพราะสหายสนิทของศิษย์คนเล็กข้าส่งสารมาแจ้ง สุดท้ายสหายสนิทของนางคนนั้นถูกเจ้าเด็กหานจางขังไว้ ภายใต้การวิงวอนของลั่วเอ๋อร์และชิงเกอ ข้าจึงรีบไปคิดจะช่วยนางหนูน้อยนั่นออกมาด้วย รับมาเป็นศิษย์รับใช้ใกล้ชิดให้ชิงเกอก็แล้วกัน ไอยา บัดนี้ดูแล้วยามนั้นข้าควรไปให้เร็วหน่อย”
“รั่วซี เจ้าเล่นตัวอยู่ครึ่งค่อนวันตกลงจะพูดอะไรกันแน่?” หญิงสาวผู้งดงามมากอมยิ้มกวาดสายตาผ่านศิษย์ปราดหนึ่ง
“อาจารย์ ท่านไม่ให้ความร่วมมือเรื่อยเลย ศิษย์เพิ่งได้รับข่าวจากลั่วเอ๋อร์ ไม่นึกว่านางหนูน้อยนั่นสร้างรากฐานสำเร็จแล้ว นางปีนี้เพิ่งยี่สิบสองปีนะเจ้าคะ!” นักพรตรั่วซีสีหน้าแฝงความเสียดาย
หากตนไปเร็วขึ้นก้าวหนึ่ง แย่งนางหนูน้อยนั่นมาที่เขารั่วสุ่ยเหมือนกัน เช่นนั้นเขารั่วสุ่ยของพวกนางคนเก่งคับคั่งแล้วมิใช่หรือ
หญิงสาวที่งดงามมากชะงักครู่หนึ่ง “อ๋อ? ไม่นึกว่าอายุยี่สิบสองก็สร้างรากฐานแล้ว ในรุ่นเยาว์ของพรรคเหยากวงเรา เป็นคนที่สามสินะ? รั่วซี เจ้าแย่งร่างหยินบริสุทธิ์คนหนึ่งมาจากเขาชิงมู่แล้ว หากแย่งนางหนูนี่มาอีก เกรงว่าตาเฒ่าหลิวซางนั่นจะมาหาอาจารย์อาละวาดแล้ว”
นักพรตรั่วซียักคิ้วหัวเราะว่า “ศิษย์ไม่สนหรอก อย่างไรเสียถึงเวลาย่อมมีอาจารย์ไปรับมือ”
“เจ้าน่ะ ก็อย่ายึดติดกับสิ่งเหล่านี้เกินไปเลย ระดับสร้างรากฐานก็เพียงเพิ่งก้าวเข้าประตูเซียนเท่านั้น ต่อไปวาสนาเป็นเช่นไรยังบอกไม่ได้ พรรคเหยากวงเราแต่ไหนแต่ไรมาไม่ขาดอัจฉริยะ เจ้าดูอัจฉริยะพวกนั้นมีกี่คนที่สุดท้ายก่อแก่นปราณแล้วล่ะ?” หญิงสาวผู้เลอโฉมกล่าว
“ทราบแล้วเจ้าค่ะ อาจารย์” ต่อหน้าหญิงสาวผู้เลอโฉมผู้นี้ นักพรตรั่วซีเหมือนสาวน้อยคนหนึ่งน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยการแกล้งต่อว่า
หญิงสาวผู้เลอโฉมยกมือขึ้น ลงหมากตัวหนึ่งดัง ‘ผลัวะ’ แล้วอมยิ้มว่า “รั่วซี ตานี้เจ้าแพ้แล้ว รีบไปหวีขนให้อสูรเนตรทองเลี่ยงน้ำของอาจารย์เถอะ”
“อาจารย์!” นักพรตรั่วซีสีหน้าบึ้งตึงทันที
อสูรวิญญาณหัวสิงห์ปากมังกรที่นอนหมอบอยู่ข้างกายหญิงสาวผู้เลอโฉมตัวหนึ่งเงยหน้าขึ้นมา คำรามอย่างได้ใจสองสามที
ส่วนที่ยอดเขารองลูกหนึ่งของเขาต้วนจิน นักพรตหานจางที่กำลังสนทนากับศิษย์สองสามคนอยู่ในที่พำนักสีหน้าเปลี่ยนไป ลุกขึ้นรีบเร่งไปทิศทางที่ห้องลับตั้งอยู่
พี่ชายของเสี่ยวซย่าและผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานที่ชื่อจ้าวหมิงเฟิงและนอกนั้นอีกสองสามคน ตามไปด้วยกัน
เห็นเหตุการณ์ตรงหน้า สีหน้าของนักพรตหานจางเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ในใจแอบว่า นี่ช่างเฮี้ยนจริงๆ แล้ว ข้าอยู่มาหลายร้อยปี ยังไม่เคยเจอเรื่องพันธุ์นี้มาก่อน จับเด็กผู้หญิงมาทั้งหมดสองคน คนหนึ่งเป็นร่างหยินบริสุทธิ์ที่พันปียากจะเจอสักคน อีกคนหนึ่งไม่คิดว่าจะสร้างรากฐานตั้งแต่อายุแค่ยี่สิบสอง!
หากท่านผู้เฒ่าไท่ซ่างรับรู้ จะร้องไห้วิงวอนให้ตนจับเพิ่มสักสองสามคนหรือไม่?
ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนที่ไม่รู้ว่าความคิดของนักพรตหานจางได้บินไปถึงขอบฟ้าแล้วนั้นกลับเอ่ยอย่างไม่เกรงใจว่า “ท่านอาจารย์อา บัดนี้ศิษย์น้องมั่วได้สำเร็จระดับสร้างรากฐานแล้ว จึงเป็นศิษย์ก้นกุฏิของนักพรตเหอกวงแห่งเขาชิงมู่เราแล้ว ไม่ทราบว่าอาจารย์อาจจะผ่อนปรนให้สักหน่อยได้หรือไม่ขอรับ ให้ผู้น้อยพาศิษย์น้องมั่วไปกราบคารวะท่านอาจารย์?”
นักพรตหานจางหน้าบึ้งพลางถลึงตาใส่ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนปราดหนึ่ง เรื่องถึงบัดนี้เขาเองก็รู้ดี ว่าต่อให้เขาเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ ก็ไม่อาจลงโทษนางหนูน้อยนั่นได้ตามใจแล้ว
ผู้บำเพ็ญเพียรสร้างรากฐานตั้งแต่อายุยี่สิบสองคนหนึ่ง อนาคตไม่อาจคาดเดา ไม่ว่าสำนักไหนก็ต้องทุ่มสุดตัวกล่อมเกลา
นักพรตหานจางที่ขาดทุนแต่พูดไม่ออกนั้นไม่ได้ไม่มีสมองสักนิดจริงๆ เห็นเสียเปรียบแล้ว เขาไม่พูดมากอีกแม้คำเดียว ทำมือเสกคาถาออกมาสองสามอัน ประกายแสงสีทองสายหนึ่งฟาดลงบนห้องลับ จากนั้นก็เห็นแสงสีขาวสายหนึ่งออกจากห้องลับ
“หมิงเฟิง เจ้าไปเปิดประตูออกมา” นักพรตหานจางหันหน้าบอกจ้าวหมิงเฟิง
จ้าวหมิงเฟิงรับคำ เดินขึ้นหน้าไปปัดเถาวัลย์ที่เกะกะออก ถึงเปิดประตูออก
มั่วชิงเฉินในห้องลับพบว่าบนตัวเต็มไปด้วยโคลนที่ผสมกับของเสียปริมาณมากที่ขับออกจากร่างกายเนื่องจากสร้างรากฐาน กลิ่นเหม็นชวนให้อาเจียน
นางเพิ่งทำความสะอาดร่างกายเสร็จเปลี่ยนชุดเขียวที่สะอาดเสร็จ ก็ได้ยินเสียงดัง ‘เอี๊ยด’ ประตูใหญ่ตรงหน้าค่อยๆ เปิดออก แสงสว่างที่แสบตาส่องเข้ามา นางที่ไม่เห็นเดือนเห็นตะวันมานานหรี่ตาลงครึ่งหนึ่ง
“ศิษย์น้องมั่ว เจ้าออกมาได้แล้ว” จ้าวหมิงเฟิงเห็นคนข้างในได้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานดังคาด จึงเอ่ยอย่างเกรงใจ
มั่วชิงเฉินสูดลมหายใจอึดหนึ่ง ยกเท้าก้าวออกไป ระหว่างที่เคลื่อนไหวไม่คิดว่าจะรู้สึกตัวเบาดั่งนก ล่องลอยดุจบินได้
นางเพิ่งก้าวออกจากห้องลับ เห็นคนมากมายจ้องเขม็งมาที่ตนเอง อดชะงักไม่ได้ ทว่าไม่คิดว่าผู้คนนอกห้องกลับก็ชะงักงันเช่นกันแล้ว บรรยากาศเงียบสงัดอย่างประหลาด
ยังเป็นมั่วชิงเฉินที่ได้สติกลับมาก่อน แย้มยิ้มว่า “ศิษย์พี่ชิงเกอ พี่เสี่ยวซย่า ไม่คิดว่าพวกเจ้าจะอยู่ที่นี่กันหมด?”
ไม่มีคนตอบ
มั่วชิงเฉินสงสัยเล็กน้อย ดูท่าทางพวกเขารู้ว่าตนสร้างรากฐานอยู่นานแล้ว ต่อให้สร้างรากฐานสำเร็จก็ไม่จำเป็นต้องตะลึงถึงเพียงนี้กระมัง?”
ในยามนี้เองเสี่ยวซย่าถลาเข้ามา ยื่นมาดึงหางเปียของมั่วชิงเฉินว่า “น้องสาว ท่าทางเจ้าเช่นนี้น่ากลัวเหลือเกิน เป็นเช่นแต่ก่อนดูสบายตากว่านะ”
พูดพลางปัดๆ ด้านหน้าหน้าผากของมั่วชิงเฉิน
มั่วชิงเฉินตัวแข็งทื่อทันที สมควรตาย หรือว่าผมข้างหน้าหน้าผากยาวอีกแล้ว ผมนี่ก็ช่างยาวเร็วเกินไปหน่อยหรือเปล่า?
นางตัดผมยาวด้านหน้าให้เป็นผมม้าอย่างฉับไว แล้วก็ได้ยินนักพรตหานจางฮึเสียงเย็นเสียงหนึ่ง
“ผู้น้อยขอคารวะท่านอาจารย์อา” มั่วชิงเฉินจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วคำนับ กลับไม่มีความกังวลใจตุ้มๆ ต่อบๆ ของก่อนหน้านี้อีกแล้ว
นักพรตหานจางสะบัดแขนเสื้อฮึเสียงหนึ่ง
มั่วชิงเฉินยกตามองคนอื่นๆ ก็เห็นผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนเดินขึ้นหน้ามาก้าวหนึ่งว่า “ศิษย์น้องมั่ว เจ้าอยู่เขาต้วนจินมาร้อยกว่าวันแล้ว รีบตามข้ากลับเขาชิงมู่เถอะ นักพรตเหอกวงยังรอเจ้าอยู่”
“ร้อยกว่าวัน? นักพรตเหอกวง?” มั่วชิงเฉินพึมพำว่า
ผู้บำเพ็ญเพียรแซ่เฉียนกระแอมเบาๆ ทีหนึ่งว่า “ก็ใช่น่ะสิ ศิษย์น้องเจ้าอยู่ที่นี่มาสามเดือนกว่าแล้ว นักพรตเหอกวงเคยพูดไว้ไม่ใช่หรือ รอเจ้าสำเร็จสร้างรากฐานก็จะรับเจ้าเข้าเป็นศิษย์ก้นกุฏิ บัดนี้ศิษย์น้องสร้างรากฐานสำเร็จ ก็ควรกลับไปกราบคารวะสักคราแล้ว”
ครั้งนี้มั่วชิงเฉินงงงันอย่างสวยงามจริงๆ แล้ว