ร่างของเสี่ยวหยู่ก็ไถไปกับพื้นหญ้า เค้าไถลไปไกลกว่าสิบเมตรกว่าจะหยุดลง!
“ทำร้ายคนด้วยอากาศที่ว่างเปล่า มีแค่ปรมาจารย์เท่านั้นที่ทำได้!” ในตอนนี้เอง ผู้บัญชาการกั๋วก็ตกตะลึง
เค้ารีบลุกขึ้นมาแล้วพูดว่า “นาย…มีพลังปราณระดับขั้นมหาเจ้าแห่งพลังปราณอย่างงั้นเหรอ?”
“ใช่แล้ว” ฉินเฉิงพยักหน้า
ผู้บัญชาการกั๋วตื่นเต้นมาก เค้าพูดอย่างตื่นเต้น: “ที่สำนักงานความมั่นคงเมืองเจียงไม่เคยมีปรมาจารย์ระดับนี้มาก่อนเลย! ถ้าเธอไป … ”
“ผู้บัญชาการกั๋ว คุณดูเหมือนว่าจะลืมเดิมพันระหว่างเราไปแล้วนะ” ฉินเฉิงก็พูดขัดจังหวะผู้บัญชาการกั๋วขึ้นมา
ผู้บัญชาการกั๋วก็กลายเป็นใบ้ เค้าไม่รู้จะพูดอะไรในทันที
แต่เค้าก็ยังไม่ยอมแพ้ เค้าขมวดคิ้วแล้วพูดว่า: “เพียงแค่เธอเข้าร่วมกับเรา ฉันจะให้เธอได้เป็นโค้ชที่ยอดเยี่ยมที่สุดในเมืองเจียง!”
“ฉันไม่สน” ฉินเฉิงหัวเราะขึ้นมาแล้วพูดว่า “ฉันหวังว่าผู้บัญชาการกั๋วจะไม่ทำให้คนอื่นต้องลำบาก”
ผู้บัญชาการกั๋วผงะ จากนั้นเค้าก็หัวเราะเสียงดังขึ้นมา “เอาล่ะ ฉันกั๋ว พูดคำไหนคำนั้น!”
ทันใดนั้นเอง ผู้บัญชาการกั๋วก็เริ่มคุยกับฉินเฉิงในฐานะเพื่อน
“ฉินเฉิง ซูอี้ซิ่วเค้าตายด้วยน้ำมือเธออย่างงั้นเหรอ?” ผู้บัญชาการกั๋วก็ถามขึ้นมา
ฉินเฉิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ใช่แล้ว”
“ไม่ช้าก็เร็วตระกูลซูจะต้องรู้เรื่องนี้ เธอวางแผนจะรับมือยังไง?” ผู้บัญชาการกั๋วห็ขมวดคิ้วขึ้นมา
ฉินเฉิงยิ้มแล้วพูดว่า “ฉันกับซูหยู่เรามีข้อตกลงกัน ในสองปีฉันจะเอาชนะเค้า ฉันต้องการที่จะแผร่กระจายเรื่องนี้ออกไป”
หลังจากนั้น ฉินเฉิงก็ได้พูดคุยเกี่ยวกับแผนการของเค้ากับผู้บัญชาการกั๋ว
หลังจากได้ฟังเรื่องนี้ ผู้บัญชาการกั๋วก็พูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นว่า “เรื่องแบบนี้ในสังคม มันจะไม่ได้รับความสนใจมากซะเท่าไหร่ ท้ายที่สุดแล้ว ทุกคนก็ธรรมดาและไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นปรมาจารย์ เธออาจจะต้องไปหาสมาคมศิลปะการต่อสู้เพื่อประชาสัมพันธ์เรื่องนี้”
“สมาคมศิลปะการต่อสู้?” ฉินเฉิงขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย นี่มันเป็นครั้งแรกที่เค้าได้ยินชื่อนี้
ผู้บัญชาการกั๋วก็พยักหน้าแล้วพูดว่า “ใช่ สมาคมศิลปะการต่อสู้ที่มีแต่ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องของการต่อสู้ สิ่งที่พวกเค้าพูดมันก็จะมีน้ำหนักมากกว่า”
ฉินเฉิงเงียบไปซักพักแล้วพูดว่า “พวกเค้าไม่กลัวการที่จะไปรุกรานตระกูลซูอย่างงั้นเหรอ?”
“ฮ่าฮ่า เธอประเมินความสามารถของสมาคมศิลปะการต่อสู้ต่ำไปแล้ว” ผู้บัญชาการกั๋วก็ส่ายหัวขึ้นมา “ถ้าในโลกนี้มีปรมาจารย์อยู่เป็นจำนวนมาก แล้วพวกเค้าไม่ได้รับการควบคุม พวกเค้าเหล่านี้จะไม่ทำให้ทั่วทั้งโลกต้องสั่นสะเทือนอย่างงั้นเหรอ? เธอคิดว่าสมาคมศิลปะการต่อสู้เป็นองค์กรเพื่อนการกุศลอย่างงั้นเหรอ?”
ฉินเฉิงก็คิดได้ในทันทีเลยว่าอันที่จริงสมาคมศิลปะการต่อสู้แห่งนี้ใช้เพื่อจำกัดขอบเขตของปรมาจารย์ด้านศิลปะการต่อสู้ที่มีทักษะพิเศษเหล่านี้
“ขอบคุณผู้บัญชาการกั๋วที่เตือน” ฉินเฉิงเอนไปข้างหน้าแล้วพูด
ผู้บัญชาการกั๋วไม่ได้อยู่อะไรต่อนานมาก เค้าออกจากคฤหาสน์หลงไห่ซานไปในทันที
บนรถ เสี่ยวหยู่ก็รู้สึกปวดหลังขึ้นมา
“ผู้บัญชาการ ผมกระเด็นออกไปได้ยังไงกัน ทำไมผมถึงไม่รู้เรื่องอะไรเลย เค้าโกงหรือเปล่าครับ?” เสี่ยวหยู่ก็บ่นขึ้นมา
ผู้บัญชาการกั๋วก็ยิ้มแล้วพูดว่า “เธอหนะ แพ้เค้าก็ดีแล้ว”
“หมายความว่ายังไงครับ” เสี่ยวหยู่ก็ถามด้วยความสงสัย
ผู้บัญชาการกั๋วก็หัวเราะแล้วพูดว่า: “เธอมีโอกาสได้ต่อสู้กับมหาเจ้าแห่งพลังปราณแล้วยังรอดมีชีวิตอยู่ได้ นี่มันจะไม่ดีได้ยังไงกัน?”
“มหาเจ้าแห่งพลังปราณ?” เสี่ยวหยู่ก็ตะลึง หลังจากนั้นเค้าก็พูดขึ้นมาด้วยความตกใจ: “คุณกำลังจะบอกว่า… ฉินเฉิงเค้ามีพลังปราณระดับขั้นปรมาจารย์อย่างงั้นเหรอครับ?”
ผู้บัญชาการกั๋วก็ยิ้มแล้วก็ไม่พูดอะไรและโบกมือขึ้นมา: “ขับรถไปเถอะ”
…
สามวันต่อมา ที่บ้านตระกูลซู
“คุณชายซู คุณชายอี้ซิ่ว เค้า…” พ่อบ้านก็อยู่ในอาการตื่นตระหนกแล้วลังเลอยู่นาน
“เกิดอะไรขึ้นกับเค้า?” ซูหยู่ถามขึ้นมาโดยไม่ใสใจอะไรเลย
พ่อบ้านเช็ดเหงื่อเย็นๆออกจากหน้าผากของเค้าแล้วพูดด้วยน้ำเสียงสั่นว่า: “คุณชายอี้ซิ่ว เค้า… เค้าตายแล้ว… ”
“อะไรนะ!” สีหน้าของซูหยู่ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย “ใครกันที่กล้าฆ่าคนของตระกูลซูของฉัน?”
“มันคือฉินเฉิงนั่น” พ่อบ้านก็เต็มไปด้วยเหงื่อ เค้ารู้สึกเกร็งขึ้นมา
ซูหยู่โกรธจัด ด้วยความโกรธของเค้ามันก็ทำลายหนังสือโบราณที่อยู่ในห้องนั่นในทันที
“นี่มันเป็นไปได้ยังไงกัน! ซูอี้ซิ่วเค้าเป็นถึงขั้นเจ้าแห่งพลังปราณขั้นสอง ฉินเฉิงมันจะไปฆ่าเค้าได้ยังไงกัน!” ซูหยู่กัดฟัน สีหน้าของเค้ามันเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
พ่อบ้านก็รีบพูดขึ้นมาว่า: “ได้ยินมาว่าฉินเฉิงมันได้กินราชาแห่งยาเข้าไปแล้ว หลังจากกินเข้าไปแล้ว ความแข็งแกร่งของเค้าก็เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก คุณชายอี้ซิ่วก็เลยไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเค้าแล้วก็ต้องมาตายด้วยน้ำมือของเค้าอย่างน่าสลดใจ…”
สีหน้าของซูหยู่ก็มืดมนลง เค้าพูดขึ้นมาอย่างเย็นชาว่า: “ฉินเฉิงนี่มันกล้ามากจริงๆ! มันกล้าที่จะฆ่าลูกน้องของตระกูลซู! ไป ไปตามเว่ยเค่อชิงมาหาฉัน ภายในสามวัน ฉันต้องการที่จะได้เห็นหัวของฉินเฉิง”
แต่พ่อบ้านก็ยังคงยืนนิ่งไม่ขยับอะไรเลย
“ยังจะมามัวอ้ำอึ้งอะไรกัน แกไม่เข้าใจในสิ่งที่ฉันพูดอย่างงั้นเหรอ?” ซูหยู่ก็พูดขึ้นมาอย่างเย็นชา
พ่อบ้านก็กระซิบขึ้นมาว่า: “คุณชายซู คุณ… คุณควรดูนี่ก่อน”
เค้ายื่นโน๊ตบุ๊คให้กับซูหยู่และสิ่งที่แสดงบนหน้าจอก็คือวิดีโอการสัมภาษณ์ล่าสุดจากสมาคมศิลปะการต่อสู้
คนที่ถูกสัมภาษณ์ก็คือฉินเฉิง
“ขอถามหน่อยนะคะ คุณนัดถ้าดวลกับซูหยู่เอาไว้จริงๆเหรอค่ะ?”
ฉินเฉิงยิ้มและตอบว่า “ครับ ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งปีครึ่งก่อนจะถึงเวลาที่เราตกลงกันไว้”
“เมื่อวามปีก่อน ซูหยู่เค้าก็มาถึงขั้นของมหาเจ้าแห่งพลังปราณแล้ว คุณแน่ใจหรือว่าจะเอาชนะเค้าได้?”
ฉินเฉิงยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย: “ในเวลาหนึ่งปีครึ่ง ผมมั่นใจว่าผมจะสามารถเอาชนะเค้าได้! แต่คุณก็รู้ว่าตระกูลซูเป็นตระกูลใหญ่ พวกเค้ามีคนที่มีฝีมืออยู่มาก ผมเองก็กลัวว่าตระกูลซูจะไปหาคนเพื่อมาจัดการและหลีกเลี่ยงการต่อสู้แล้วสร้างปัญหากับผม”
“คุณชายซูคงจะได้ก่อเรื่องแบบนี้ขึ้นมาใช่ไหม?”
ฉินเฉิงถอนหายใจ: “ใครจะไปรู้ คนเรามันคาดเดาอะไรกันไม่ได้อยู่แล้ว!”
ซูหยู่อยู่ที่หน้าจอคอม เค้ากัดฟันด้วยความโกรธ
“ไอ่ฉินเฉิงนี่!” ซูหยู่เควี่ยโน็ตบุ๊คลงไปที่พื้นด้วยความโกรธ
สำหรับคนอย่างเค้าที่เป็นตระกูลใหญ่ สิ่งสำคัญที่สุดก็คือชื่อเสียง
ถ้าตระกูลซูส่งคนไปโจมตีฉินเฉิง มันจะไม่โดนพวกเค้าหัวเราะเยาะอย่างงั้นเหรอ?
“เอาหละ ฉันจะให้แกมีชีวิตต่ออีกซักหน่อย” ซูหยู่สูดลมหายใจเข้าลึกๆและพยายามระงับความโกรธของเค้า
“คุณชายหยู่ สมาคมศิลปะการต่อสู้… พวกเราต้องตอบกลับไหม?” พ่อบ้านก็ถามขึ้นมาด้วยท่าทีที่สั่นเทา
ซูหยู่เหลือบมองเค้าอย่างเย็นชาและด่าขึ้นมา: “ตอบหาสวรรค์อะไรหละ! แกดูไอ่ฉินเฉิงไม่ออกหรือไงวะ! ตระกูลซูของฉันเป็นตระกูลใหญ่ ฉันจะไปตอบพวกมันอย่างงั้นได้ยังไงกัน!”
ซูหยู่งรู้ว่านี่เป็นกับดัก แต่เค้าก็ทำอะไรไม่ได้เลย
นี่เป็นจุดที่ฉินเฉิงพยายามที่จะปีนขึ้นมาเทียบกับตัวเอง
“ยังไงก็เถอะ หาโอกาสไปเยี่ยมนายท่านซูบ้างก็ดี ฉันเองก็ควรที่จะไปเอาของของตระกูลซูของฉันคืนมา” ซูหยู่ดูเหมือนจะนึกถึงอะไรบางอย่างได้อีกครั้ง
พ่อบ้านซูก็พยักหน้าอย่างเร็วแล้วพูดว่า “ครับ คุณชายซู”
หลังจากที่พ่อบ้านออกไปแล้ว ซูหยู่ก็ด่าทอขึ้นมาด้วยความโกรธ: “ไอ้สารเลวนี้ ฉันจะไม่มีวันปล่อยมันไปอย่างแน่นอน!”
“จะไปโกรธทำไมกัน” ในตอนนี้เอง เสียวหยู่เชี้ยนก็เดินเข้ามา
หลังจากที่เห็นเสียวหยู่เชี้ยนแล้ว ซูหยู่ก็รีบโค้งคำนับแล้วพูดว่า “แม่”
เสียวหยู่เสี้ยนก็พยักหน้าขึ้นมาเล็กน้อยแล้วพูดว่า: “ของที่เราต้องการ มันมีเพียงนายท่านซูกับฉินเฉิงเท่านั้นที่รู้ ถ้าฆ่าพวกมันแล้ว เราก็จะไม่มีวันได้ของๆเรากลับคืนมา”
ซูหยู่ก็ถามขึ้นมาด้วยความไม่แน่ใจ: “แม่ครับ ของที่เรียกกันว่าสายโลหิตนี่ มันคืออะไรกันแน่?”
เสียวหยู่เชี้ยนก็ส่ายหัวแล้วพูดว่า “มันคืออะไร แม่เองก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“แม้แต่แม่เองก็ไม่รู้เหรอครับ?” ซูหยู่ก็อดไม่ได้ที่จะตกใจขึ้นมา
เสียวหยู่เชี้ยนก็พูดขึ้นมาอย่างเคร่งขรึมว่า: “ถ้าฉันรู้ ฉันจะเก็บตาเฒ่าซูเอาไว้เหรอ? ฉันคงหามันเองตั้งแต่แรกแล้ว!”
“แต่ตอนนี้…” เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ เสียวหยู่เชี้ยนก็หันหน้ามาแล้วพูดด้วยความเสียใจเล็กน้อย: “ไม่เพียงแต่เราไม่สามารถฆ่าพวกมันได้ แต่เราต้องรักษาความปลอดภัยให้พวกมันด้วย เครื่องจักรสวรรค์บอกไว้ว่า อย่างน้อยก็สองปี ของสิ่งนี้จะเป็นที่ประจักษ์แก่โลกเองและเมื่อถึงเวลานั้น พวกมันก็จะไม่จำเป็นที่จะต้องมีชีวิตอยู่อีกต่อไป”