ใบหน้าของฟางเสี่ยวเตี๋ยแดงขึ้นทันที พูดออกมาเสียงเล็กเสียงน้อย “อะไรนะ ฉันฟังไม่เข้าใจ….”
“อะไรนะ ฟังไม่เข้าใจ?” ฉินเฉิงขมวดคิ้วและถามออกมาก
ฟางเสี่ยวเตี๋ยเกิดในแวดวงของสำนักงานความมั่นคง ได้รับผลกระทบมาจากฟางจิ้งเหยา ดังนั้นเธอจึงเป็นเด็กที่น่าเชื่อถือคนหนึ่ง
ในตอนนั้น สีหน้าของเธอแดงระเรื่อ “เจ้านาย…..”
เมื่อเห็นแม่มดน้อยขี้อายที่แสนอ่อนต่อโลกฉินเฉิงก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้
“เรื่องนี้นายห้ามเอาไปพูดกับคนอื่นนะ! โดยเฉพาะพี่วานเอ๋อ!” ฟางเสี่ยวเตี๋ยกำหมัดพร้อมกับพูดออกมา
ฉินเฉิงหัวเราะและไม่ได้พูดอะไร
ในตอนที่กำลังกลับไปที่คฤหาสน์ ก็บังเอิญไปเจอฟางจิ้งเหยาพอดี
เขามาที่นี่เพื่อที่จะมารอฉินเฉิงโดยเฉพาะ
“อาจารย์ ครั้งนี้ฉินเฉิงคงต้องยอมศิโรราบ” ฟางจิ้งเหยาพูดพร้อมกับหัวเราะออกมา
“ฉันไม่คิดว่ามันจะเป็นอย่างนั้น” คุณปู่ซูยิ้มและพูดออกมา
“อาจารย์ คุณประเมินเมืองฉินเฉิงสูงเกินไปหรือเปล่า?” ฟางจิ้งเหยาอดไม่ได้ที่จะพูดออกมา “คุณก็น่าจะรู้ว่าความแข็งแกร่งของปี้เสี่ยวเหยานั้นไม่มีใครเทียบได้สำหรับคนรุ่นใหม่”
คุณปู่ซูยิ้มและพูดออกมาว่า “ไม่ได้พูดมาก เดี๋ยวก็รู้เอง ฉันว่าอีกไม่นานฉินเฉิงก็คงจะกลับมาแล้ว”
ในตอนที่เขากำลังพูดคุยกันฉินเฉิงก็เดินเข้ามา
ฟางจิ้งเหยาดีใจมาก สายตาของเขามีความรอคอยอยู่จางๆ
แต่หลังจากที่เขาได้เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของฉินเฉิง ใจของเขาก็ตกต่ำลงทันที
“คุณปู่ซู” ฉินเฉิงเดินเข้ามาและกล่าวทักทาย
คุณปู่ซูยิ้มและตอบกลับไปว่า “ฉินเฉิง เป็นไงบ้าง ไม่ได้ทำร้ายปี้เสี่ยวเหยาใช่ไหม?”
“ไม่ครับ” ฉินเฉิงพูดออกมาต่อ “ผมยั้งมือเอาไว้”
ฟางจิ้งเหยาที่อยู่ข้างๆก็พยายามมองหาอาการบาดเจ็บของฉินเฉิง
แต่มองจากซ้ายไปขวาไม่มีแม้แต่ร่องรอยของฝุ่นเลย เขาไม่ได้รับบาดเจ็บตรงไหนเลยอย่างนั้นเหรอ?
“พ่อ น่าเสียดายมากเลยที่วันนี้พ่อไม่ได้ไป!” ฟางเสี่ยวเตี๋ยอดไม่ได้ที่จะเล่าออกมา “ฉิน…ฉินเฉิงสุดยอดมากเลย! พ่อไม่รู้อะไรแค่ปี้เสี่ยวเหยาเข้ามาโดนร่างกายของฉินเฉิง เขาก็กระเด็นออกไปโดยที่ยังไม่ได้ทำอะไรเลยด้วยซ้ำ!”
ฟางเสี่ยวเตี๋ยดูตื่นเต้น และเธอก็ปล่อยหมัดของเธอออกมาอย่างน่ารัก
สีหน้าของฟางจิ้งเหยาเคร่งขรึม เขาขมวดคิ้วและพูดออกมาว่า “ฉินเฉิง ที่เสี่ยวเต๋อพูดมามันเป็นเรื่องจริงไหม?”
ฉินเฉิงพยักหน้า “แต่ว่าหัวหน้าฟางไม่ต้องเป็นกังวล เขาไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร”
“มันเป็นไปได้อย่างไร…” ฟางจิ้งเหยาขมวดคิ้วไปมากกว่าเดิม “นอกจากนายจะเป็นปรมาจารย์ด้านพลังภายใน อย่างอื่นแล้วนายคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของปี้เสี่ยวเหยา!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า เอาหละ ความจริงมันก็คือความจริง นายไม่ต้องพูดอะไรให้มากความแล้ว” คุณปู่ซูโบกมือและพูดออกมา
ในตอนนี้ความคิดของคุณปู่ซูค่อยๆเปลี่ยนไปอย่างลับๆ
เขาไม่อยากให้ฉินเฉิงยืนอยู่บนจุดสูงสุดอีกต่อไปแล้ว ตรงกันข้าม เขาอยากจะให้ฉินเฉิงเจริญเติยโตแบบนี้ไปอย่างเงียบๆ
ฟางจิ้งเหยาตกใจและตื่นเต้น
เขาเดินมาอยู่ด้านหน้าของฉินเฉิงและถามออกมาว่า “ฉินเฉิง ฉันขอเชิญนายอีกครั้ง กรุณารเข้ามาอยู่กับพวกเรา….”
“หัวหน้าฟาง ผมบอกไปแล้ว ผมไม่มีทางเข้าไปที่สำนักงานความมั่นคง” ฉินเฉิงปฏิเสธออกไปอย่างไม่ลังเล
แต่ฟางจิ้งเหยายังไม่ยอมแพ้ เขารีบพูดอย่างกระตือรือร้นว่า “ฉินเฉิง ด้วยพรสวรรค์ที่นายมีอยู่ขอแค่นายเข้าร่วมสำนักงานความมั่นคงของพวกเรา พวกเราจะดูแลและฝึกฝนนายเป็นอย่างดี! ทรัพยากรทั้งหมดจถูกเอามาใช้กับนาย!”
“ก็เหมือนกับในปีที่เย่อชิงยุนเข้าร่วมกับพวกเรา ตอนนี้เขาก็ได้เติบโตขึ้นเป็นอย่างมาก” ฟางจิ้งเหยากล่าวอย่างกระตือรือร้น
ฉินเฉิงส่ายหัวและพูดว่า “หัวหน้าฟาง ผมชอบอิสระ และสำนักงานความมั่นคงไม่เหมาะกับผม”
หลังจากที่ถูกคุมขังในตระกูลหลินมาหลายปี ฉินเฉิงเหนื่อยกับชีวิตแบบนั้นมานานแล้ว
“แต่ว่า…ถ้าหากสำนักงานความมั่นคงมีเรื่องอะไรให้ช่วย ผมก็คงไม่ปฏิเสธ” ฉินเฉิงพูดออกมาอีกประโยคหนึ่ง
ฟางจิ้งเหยาตกใจเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นท่าทางที่แน่วแน่ของฉินเฉิง เขาก็ต้อมจำนน
“ได้ เอาอย่างนั้นก็ได้!” ฟางจิ้งเหยาพยักหน้า “สำนักงานความมั่นคงจะช่วยอำนวยความสะดวกให้นายอย่างเต็มที่”
“งั้นขอบคุณมากครับ” ฉินเฉิงตอบกลับไป
จากนั้นไม่นานฟางจิ้งเหยาก็เดินทางออกจากที่นี่อย่างรวดเร็ว
ตอนแรกฟางเสี่ยวเตี๋ยก็ยังอยากจะอยู่ที่นี่ต่อ แต่ก็ถูกฟางจิ้งเหยาบังคับให้กลับไปกับเขา
“ฉินเฉิง ที่จริงการเข้าร่วมกับสำนักงานความมั่นคง….”
“คุณปู่ซู คุณอย่าว่าผมไม่ดีเลย ผมไม่อยากเข้าจริงๆ” ฉินเฉิงตอบกลับมาอย่างแน่วแน่
คุณปู่ซูยิ้มออกมา พยักหน้า “ก็ได้ ก็ได้”
หลังจากที่กลับมาถึงห้อง ฉินเฉิงก็เล่าเรื่องราวการต่อสู้ทั้งหมดให้ซูวานฟัง
แต่ซูวานก็ไม่ได้ตกใจอะไรกับมันสักเท่าไหร่ ราวกับว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นมันเป็นเรื่องปกติ
เธอพูดกับฉินเฉิงว่า “ต่อให้มีเรื่องที่ไร้เหตุผลเกิดขึ้นกบันาย ฉันก็ยังคิดว่านั่นแหละมันคือเหตุผล”
วันนั้นช่วงบ่ายๆ โทรศัพท์ของฉินเฉิงก็ดังขึ้น
เขาหยิบมันขึ้นมาดู พบว่าคนที่โทรมาก็คือหลิวหยางคนนั้น
เขาพูดออกมาจากโทรศัพท์ว่า “คุณฉิน คุณมาที่เมืองหลวงแล้วเหรอ?”
ฉินเฉิงตอบหลับไป “อืม เพื่งมาได้ไม่นาน”
“เคยคุยกันไว้ว่าถ้าหากมาเมืองหลวงให้มาหาฉัน นายลืมไปแล้วเหรอ!” หลิวหยางพูดออกมาในเชิงตลกและถามหาถึงความรับผิดชอบ
ฉินเฉิงไม่รู้ว่าจะตอบสนองต่อความกระตือรือร้นของหลิวหยางยังไง ดังนั้นเขาจึงทำได้แค่หัวเราะออกมา
“คืนนี้ฉันจะเป็นคนเลี้ยงเล่านายเอง และก็จะพานายไปดูรอบๆเมืองหลวง นายจะต้องมาให้ได้นะ!” หลิวหยางพูดออกมาอย่างกระตือรือร้น
เมื่อฉินเฉิงเห็นถึงความตั้งใจของเขา เขาเองจึงไม่ได้ชัดอะไร
ยิ่งไปกว่านั้นที่จริงเองฉินเฉิงก็อยากจะไปเที่ยวรอบเมืองหลวงสักหนึ่งรอบ ดังนั้นเขาจึงตอบตกลงไป
คืนนั้นหลิวหยางพาฉินเฉิงออกไปทานข้าวก่อน หลังจากนั้นก็พาเขาไปที่บาร์แห่งหนึ่ง
สำหรับคนหนุ่มสาว ในตอนกลางคืนมักจะสามารถดึงดูดผู้คนได้เสมอ ไฟหลากสีราวกับว่ามีชีวิตอยู่ ทำให้คนตกอยู่ในภวังค์ที่งดงาม
จากนั้นไม่นานหลิวหยางก็พาฉินเฉิงไปที่บาร์แห่งหนึ่งที่ชื่อ โกลเด้นไมล์
ที่หน้าประตูของบาร์แห่งนี้มีรถหรูๆจอดอยู่เต็มไปหมด แต่ส่วนใหญ่มีแต่คนที่ยังอายุน้อย
“ที่นี่คือบาร์ที่ดีที่สุดในเมืองหลวง” หลิวหยางยิ้มและพูดออกมา “ฉันชอบมาเที่ยวที่นี่อยู่บ่อยๆ รู้จักคนไม่น้อย จะบอกว่าคุ้นเคยกับที่นี่เลยก็ว่าได้”
และในตอนนี้หญิงสาวที่มีขาที่เรียวยาวก็เดินเข้ามา
เธอพูดออกมาอย่างไม่พอใจ “ทำไมถึงมาช้าจัง? นายรู้ไหมว่าฉันรอนายขนาดไหนแล้ว?”
หลิวหยางพูดออกไปด้วยความรู้สึกผิด “พวกเราไปหาอะไรทานมานิดหน่อย ตอนมาที่นี่รถก็ติดมาก ดังนั้น….”
“เอาละ เอาละ ไม่ต้องพูดแล้ว ฉันไม่อยากฟัง!” หญิงสาวคนนี้พูดออกมาอย่างไม่อดทน “รีบไปกันเถอะ เดี๋ยวจะไม่มีที่นั่งแล้วนะ!”
ฉินเฉิงถามออกมา “แฟนนายเหรอ/”
“ตอนนี้ยังไม่ใช่ กำลังจีบอยู่หนะ!” หลิวหยางพูดออกมาด้วยความเขินอาย
ฉินเฉิงพูดหยอกล้อออกไป “ทายาทรุ่นที่สองอย่างนายน่าจะไม่ขาดแคลนเรื่องผู้หญิง แต่ทำไมผู้หญิงคนนี้แลจะไม่สนใจนายเลย?”
หลิวหยางอ้าปากค้าง เขาไม่รู้ว่าจะพูดออกมาอย่างไง
ตอนแรกที่ผู้หญิงคนนี้มาคุยกับเขาก็เพราะว่าเขาเป็นทายาทรุ่นที่สอง แต่หลังจากที่คบกันมาสักระยะหนึ่ง เธอก็รู้ว่าพ่อของหลิวหยางเป็นคนขี้เหนียว ให้เงินเขาแต่ละครั้งก็น้อยมาก ดังนั้นยิ่งผ่านไปเรื่อยๆก็ยังทำให้เธอไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่
หลังจากเข้าไปในบาร์ หลิวหยางก็สั่งเบียร์มาสองสามขวด จากนั้นก็แนะนำฉินเฉิงให้ผู้หญิงคนนี้รู้จัก “นี่คือฉินเฉิงที่ฉันเคยพูดถึง เขามาจากปีนัง เป็นคนที่ยิ่งใหญ่มาก”
ผู้หญิงคนนั้นเหลือบตามองมาที่ฉินเฉิง และยิ้มอย่างเยาะเย้ย “ที่ปีนัง ที่ว่ากันว่ายิ่งใหญ่นี่มันจะสักแค่ไหน?”
หลิวหยางขมวดคิ้ว ในตอนที่เขากำลังจะพูดอะไรออกมา ฉินเฉิงก็โบกมือขึ้นเบื่อบอกว่าไม่เป็นไร
แต่เพื่อเป็นการปกป้องใบหน้าของฉินเฉิง เขาจึงคว้าแขนของผู้หญิงคนนั้นและพูดออกมาว่า “หลี่ฉี เธอหมายความว่าอย่างไร? นี่เขาเป็นเพื่อนของฉันนะ ไม่รู้จักการให้เกียรติหรือไง? รีบขอโทษเพื่อนของฉันเดี๋ยวนี้!”
“นายเป็นบ้าอะไรของนาย?” หลี่ฉีสะบัดมือของหลิวหยางออก “ฉันต้องขอโทษเขา? สมองนายมีปัญหาหรือเปล่า?”
“นี่เธอ….” หลิวหยางอารมณ์ร้อนมาก ยกมือขึ้นและตบไปที่หน้าของหลี่ฉี