ฉินเฉิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ครับ จะพูดให้ถูกก็คือ ผมเองก็พึ่งจะก้าวเข้ามาสู่ระดับขั้นนี้”
ความตื่นเต้นของนายท่านซูมันไม่สามารถที่จะมากเกินไปกว่านี้ได้เลย เค้าแทบจะน้ำตาไหล
เค้าจับมือของฉินเฉิงเอาไว้จนแน่นแล้วพูดอย่างตื่นเต้นว่า: “ฉินเฉิง ที่ฉันพูดออกไปเมื่อกี้ ฉันขอถอนคำพูด! ถ้าเธอมาถึงระดับขั้นของเจ้าแห่งพลังปราณได้แล้ว อย่างงั้นเธอก็จะได้กลายเป็นเย่อชิงยุนคนต่อไป!”
เย่อชิงยุนตำนานแห่งเมืองปีนัง ในตอนนั้นเค้าก็สามารถก้าวเข้ามาสู่ระดับขั้นของเจ้าแห่งพลังปราณได้ จากนั้นมาเค้าก็อยู่เหนือทุกสิ่ง
ดังนั้นในความคิดของนายท่านซู ฉินเฉิงก็พอที่จะสามารถเข้าไปถึงระดับขั้นของเย่อซิงหยุนได้! แบบนี้เอง มันอาจมีความหวังจริงๆที่จะได้กลับเข้าสู่ตระกูลซูอีกครั้ง!
เพียงแต่นายท่านซูเค้าก็ไม่รู้ว่าเย่อชิงยุนฝึกฝนศิลปะการต่อสู้มาตั้งแต่เด็กแล้วเค้าก็ยังมีปรมาจารย์ฝีมือดีที่คอยสอนมาตลอด
แต่ฉินเฉิงสามารถก้าวเข้าสู่ช่วงระยะสร้างรากฐานพลังปราณนี่ได้ เค้าใช้เวลาเพียงแค่ร้อยวันเท่านั้น
อย่างที่บอกไปแล้ว การสร้างฐานรากของพลังปราณเค้าก็ใช้เวลาเพียงแค่หนึ่งร้อยวันก็เท่านั้น แต่ก่อนที่พลังวิญญาณจะสลายไป ฉินเฉิงยังคงใช้เวลาร้อยวันเพื่อเข้าสู่ขั้นตอนการสร้างรากฐานอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน!
ยิ่งไปกว่านั้น ฉินเฉิงยังได้ปลูกฝังพลังผ่านทางจิตวิญญาณ มันไม่ใช้กำลังภายใน
“ฉินเฉิง อนาคตของตระกูลซูมันขึ้นอยู่กับเธอแล้ว” นายท่านซูพยายามต่อต้านความตื่นเต้นของตัวเอง เค้าถอนหายใจแล้วตบหน้าอกของตัวเอง
ก่อนหน้านี้เค้าคิดว่าฉินเฉิงต้องพึงพาตระกูลซู แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่ากลายเป็นตัวเองที่กำลังพึ่งพาฉิงเฉิง
กับท่าทีที่ดูตื่นเต้นของนายท่านซู ฉินเฉิงก็ไม่เข้าใจมันซะเท่าไหร่
การเข้าสู่ระยะสร้างรากฐานพลังปราณในเวลาหนึ่งร้อยวัน มันยากมากเลยเหรอ?
“นายท่านซู ยาที่ผมให้ไป คุณไม่ได้กินมันอย่างงั้นเหรอ?” ในตอนนี้ ฉินเฉิงถามขึ้นมา
นายท่านซูเป็นใบ้แล้วพยักหน้า จากนั้นเค้าก็พูดด้วยรอยยิ้มบิดเบี้ยว: “เรื่องนั้นมันไม่จำเป็นอะไรหรอก ฉินเฉิงเธอบอกความจริงมาเถอะว่าฉันจะสามารถอยู่ได้อีกนานแค่ไหนกัน?”
ฉินเฉิงเงียบไปซักพัก จากนั้นเค้าก็ค่อยๆพูดขึ้นมาว่า “อย่างน้อยก็ครึ่งปี”
“ครึ่งปี…ก็มากพอแล้ว” นายท่านซูยิ้มอย่างพอใจ “ต่อให้ต้องตายตอนนี้ ฉันก็ตายตาหลับแล้วหละ”
“นายท่านซู ผมรู้ว่าคุณดูออก แต่คุณไม่คิดถึงซูวานเลยเหรอครับ” ฉินเฉิงขมวดคิ้ว “ในโลกของเธอ คุณเป็นญาติเพียงคนเดียวของเธอ ถ้าคุณตายไป เธอจะไม่เหลือใครอีกเลย”
นายท่านซูพยักหน้าแล้วพูดว่า: “เรื่องนี้ฉันคิดมาแล้ว ดังนั้นฉันก็เลยเลือกสามีให้ซูวานมาหลายปีแล้ว ตอนนี้ฉันมีเธอแล้ว ฉันค่อยวางใจ”
“คนรักกับความรัก มันไม่เหมือนกันหรอกนะครับ” ฉินเฉิงถอนหายใจออกมา “นายท่านซู ยาเม็ดนั่นผมยังไม่เคยบอก มันไม่มีประโยชน์อะไรมาก พักผ่อนเยอะๆนะครับ เพื่อซูวาน”
เมื่อเห็นแววตาที่จริงใจของฉินเฉิง นายท่านซูก็สัญญาว่า: “เอาล่ะ ฉันจะเชื่อเธอ!”
ในตอนนี้เอง ซูวานก็เดินออกมาพอดี
เธอยิ้มแล้วพูดว่า: “กำลังพูดคุยอะไรกันอยู่ ดูมีความสุขกันมากเลยนะ”
นายท่านซูก็หัวเราะแล้วพูดว่า “ฉันก็กำลังคุยเรื่องงานแต่งงานของเธอกับฉินเฉิงหนะสิ”
เมื่อได้ยินแบบนี้ ใบหน้าของซูวานก็แดงกร่ำไปถึงต้นคอ
เธอแสร้งทำเป็นโกรธแล้วพูดว่า: “ปู่กำลังพูดอะไรของปู่! ความสัมพันธ์ของพวกเรายังไปไม่ถึงไหนเลยนะคะ แต่งงานอะไรกัน”
“งั้นวันนี้ก็มากำหนดเลยสิ” นายท่านซูหัวเราะเสียงดัง
เค้ามองดูท่าทางเขินอายของฉินเฉิง ยิ่งเค้ามองมากเท่าไหร่ เค้าก็ยิ่งชอบมันมากขึ้นเท่านั้น
การที่หาหลานเขยได้แบบนี้ มันเป็นโชคซะจริงๆ
….
เช้าวันรุ่งขึ้น วันนี้มันก็เป็นวันที่ฉินเฉิงกับปี้เสี่ยวเหยาจะต้องสู้กัน
พวกเค้ากำหนดเวลาเอาไว้ที่แปดโมงเช้า สถานที่แห่งนี้มันเป็นโรมยิมศิลปะการต่อสู้ที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเจียง: โรมยิมศิลปะการต่อสู้อ้าวฮั่น
เจ้าของโรงยิมศิลปะการต่อสู้แห่งนี้มีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับปี้เสี่ยวเหยา ทั้งสองเป็นเพื่อนสนิทกัน อย่างงั้นการเข้ามาใช้สถานที่แห่งนี้มันก็เลยเป็นเรื่องที่ง่ายดาย
“พี่ปี้ จะให้ตามพวกนักข่าวมาด้วยไหม?” เพื่อนของปี้เสี่ยวเหยาก็หัวเราะแล้วพูดขึ้นมา
ปี้เสี่ยวเหยาเหลือบมองเค้าแล้วส่ายหัวและพูดว่า “ไม่ต้องหรอก”
“ครับ ยังไงก็ตามคนของเราก็สามารถช่วยพี่เผยแพร่เรื่องนี้ได้อยู่แล้ว”
หลังจากพูดจบ คนพวกนี้ก็หัวเราะออกมา
ปี้เสี่ยวเหยาเงียบ ในแววตาของเค้ามันเต็มไปด้วยเจตนาฆ่า
ที่บ้านของนายท่านซู ฉินเฉิงก็กำลังรับประทานอาหารเช้า
“กินเยอะๆ จะได้มีแรง” ซูวานพูดขึ้นมาในตอนที่เธอกำลังกินข้าว
ฉินเฉิงยังไม่ทันจะได้พูดอะไร นายท่านซูก็หัวเราะแล้วพูดว่า “ต่อให้ฉินเฉิงไม่กิน เค้าก็สามารถที่จะเอาชนะได้อย่างง่ายดาย”
ซูวานแปลกใจเล็กน้อยกับคำพูดเหล่านี้ เมื่อวานคุณปู่ซูยังดูกังวลอยู่เลย ทำไมจู่ๆน้ำเสียงของเค้าถึงเปลี่ยนไป?
“ฉินเฉิง ปี้เสี่ยวเหยาคนนี้ เค้าเป็นลูกน้องของฟางจิ้งเหยา เธอก็ออมมือให้เค้าหน่อยก็แล้วกัน” นายท่านซูก็พูดเตือนขึ้นมา
ฉินเฉิงพยักหน้าแล้วยิ้ม: “ไม่ต้องห่วง ผมจะไม่ทำให้เค้าได้รับบาดเจ็บ”
นายท่านซูพยักหน้าแล้วอ้าปากกำลังจะพูด ทันใดนั้นเอง เค้าก็หายใจไม่ออก ใบหน้าของเค้ามันก็แดงกร่ำขึ้นมาในทันที
ทันทีหลังจากนั้น เค้าก็ตบหน้าอกแล้วพิงเก้าอี้ด้วยความเจ็บปวดสุดขีด
“คุณปู่!” เมื่อเห็นแบบนี้ ซูวานก็ตื่นตระหนก เธอวิ่งเข้าไปประคองคุณปู่ซูและพูดด้วยความตื่นตระหนกว่า: “คุณปู่ ปู่เป็นอะไรไป!
ฉินเฉิงขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างทำอะไรไม่ได้ แม้ว่านายท่านซูจะแก่มากแล้ว แค่เค้าก็ฝึกกังฟูตลอดทั้งปี ดังนั้นสภาพร่างกายของเค้ามันก็เลยไม่มีอะไรมาก เพียงแต่ว่าเค้าอายุมากแล้ว
แม้ว่าเค้าจะต้องตาย เค้าก็จะต้องไม่ตายอย่างทุกข์ทรมานอย่างแน่นอน
เค้าเดินไปหานายท่านซูอย่างรวดเร็ว เค้าขมวดคิ้วและพูดว่า “อย่างพึ่งเป็นกังวลไป”
ฉินเฉิงวางมือลงบนหน้าผากของนายท่านซูแล้วปราณของพลังจิตวิญญาณก็เคลื่อนตัวไปรอบๆร่างของนายท่านซูในทันที
จากนั้นไม่นาน ฉินเฉิงก็รู้ถึงเหตุผล
เค้ามองไปที่อาหารแล้วขมวดคิ้วและพูดว่า “นี่มันมียาพิษอย่างงั้นเหรอ?”
“มียาพิษ?!” สีหน้าของซูวานเปลี่ยนไป จากนั้นเธอก็รีบไปที่ห้องครัว
ฉินเฉิงไม่คิดอะไรมาก สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือการรักษาชีวิตของนายท่านซู
โชคดีที่ตอนนี้ ฉินเฉิงก็ได้ก้าวเข้าสู่ช่วงระยะฐานรากของการสร้างพลังปราณ ความแข็งแกร่งของเค้าเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากและการควบคุมปราณของเค้ามันก็เกือบจะถึงระดับขั้นแล้ว ยาพิษเล็กน้อยแค่นี้เค้าสามารถจัดการได้อย่างง่ายดาย
“แม้บ้านไปแล้ว!” ซูวานวิ่งกลับมาแล้วพูด
ฉินเฉิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ฉันรู้แล้ว”
เค้าใช้เวลาไปกว่าครึ่งชั่วโมง ก่อนที่สีหน้าของนายท่านซูจะผ่อนคลายลงเล็กน้อย
เค้าลูบหน้าอกแล้วขมวดคิ้วขึ้นมา “มีคนต้องการฆ่าฉันอย่างงั้นเหรอ?”
“หรือบางทีมันอาจจะมาฆ่าผม” ฉินเฉิงขมวดคิ้ว “แม่บ้านคนนี้อยู่กับคุณมานานแล้ว ถ้าเธอต้องการจะฆ่าคุณ เธอคงทำไปตั้งนานแล้วและพิษนี่มันก็ยังไม่แรงพอที่จะทำให้ตาย”
ร่างกายของนายท่านซูก็แก่มากแล้ว ดังนั้นมันก็เลยดูร้ายแรงแบบนี้
ถ้าฉินเฉิงโดนพิษนี่เข้าไป อย่างมากเค้าก็แค่อ่อนแรง
“ปี้เสี่ยวเหยา?” ซูวานนึกถึงใครบางคนขึ้นมา
“เป็นไปไม่ได้” นายท่านซูโบกมือขึ้นมา “ปี้เสี่ยวเหยาเป็นคนหยิ่งผยอง เค้าไม่มีทางที่จะใช้วิธีการแบบนี้อย่างแน่นอน”
“เค้าไม่ทำแบบนี้ มันก็ไม่ได้หมายความว่าคนรอบข้างเค้าจะไม่กล้าทำใช่ไหม” ฉินเฉิงหรี่ตาลง
“อืม ไม่ต้องสนใจเค้า รอผมเอาชนะเค้าได้ก่อน ทุกอย่างมันก็จะกระจ่างเอง” ฉินเฉิงโบกมือ
หลังจากนั้นเค้าก็มองขึ้นไปที่นาฬิกาแขวนบนผนัง พระเจ้า นี่มันเจ็ดโมงสี่สิบแล้ว
“ผมไปก่อนนะ เธออยู่ที่นี่กับนายท่านซูก็แล้วกัน” ฉินเฉิงรีบพูดกับทั้งสอง จากนั้นเค้าก็รีบตรงไปที่โรงยืมศิลปะการต่อสู้อ้าวฮั่น
ในตอนนี้เอง ที่โรงยิมศิลปะการต่อสู้อ้าวฮั่นก็เต็มไปด้วยผู้คน ปี้เสี่ยวเหยาในฐานะพี่ใหญ่ แน่นอนว่ามีหลายคนที่อยากที่จะเข้ามาดูเค้า
“จะแปดโมงแล้ว ทำไมฉินเฉิงยังไม่มาล่ะ” มีคนบ่นขึ้นมา
“คงจะไม่ได้กลัวใช่ไหม?”
“หึหึ ที่แท้ก็พวกไก่อ่อน!”
ฟางเสี่ยวเต๋อที่อยู่ท่ามกลางฝูงชน เธอก็อดไม่ได้ที่จะพูดกับตัวเองขึ้นมาว่า: “ยังดีที่ฉันมองว่าเค้าเป็นผู้ชาย แต่แบบนี้มัน…ไม่ได้ไหมอะ ฉันต้องเกลี้ยกล่อมให้พี่วานเอ๋อแล้วสินะ”