เมื่อชายหนุ่มได้ยินคำพูดของฟางเสี่ยวเต๋อ สีหน้าของเค้าก็เปลี่ยนไปในทันที
เค้ารีบเดินเข้าไปหาฟางเสี่ยวเต๋อช้าๆอย่างเกร็งๆแล้วพูดว่า: “คุณ…คุณคือคุณ ฟางเสี่ยวเต๋อคุณหนูฟางใช่ไหม?”
“ทำไมหละ?” ฟางเสี่ยวเต๋อกัดฟันเคี้ยวของเธอ “รอฉันเลย ฉันจะไม่ปล่อยนายไปแน่!”
ชายหนุ่มตกใจและรีบอ้อนวอนขอความเมตตา: “คุณฟาง ผมไม่รู้ว่าเป็นคุณ ผมมีตาหามีแววไม่ โปรดอภัยให้ผมด้วย…”
ในตอนที่พูดอยู่นี้เอง เค้าก็คุกเข่าลงกับพื้นและตบตัวเอง
ฟางเสี่ยงเต๋อก็ถอนหายใจออกมาแล้วพูดว่า “งั้นนายก็คุกเข่าอยู่ตรงนี้ไปก็แล้วกัน รอจนฉันหายโกรธแล้วค่อยลุกขึ้นมา”
“ครับ ครับ” ชายหนุ่มไม่กล้าพูดอะไรมาก เค้าคุกเข่าลงกับพื้นแล้วตบหน้าตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า
สายตาของทุกคนที่อยู่รอบๆต่างก็มองดูแล้วซุบซิบกัน
หลินชิงชือรู้สึกว่าเธอไม่สามารถอยู่ได้อีกต่อไป เธอกระทืบเท้าหันหลังแล้วเดินหนีไป
“หยุด ฉันอนุญาตให้เธอไปได้แล้วอย่างงั้นเหรอ?” ฟางเสี่ยวเต๋อพูดขึ้นมา “เธอก็ต้องมาคุกเข่ากับเค้าด้วย!”
“ทำไม!” หลินชิงซือพูดอย่างไม่มั่นใจ
ฟางเสี่ยวเต๋อเหลือบมองชายหนุ่มแล้วพูดว่า “ดูเหมือนว่าแฟนของนายจะไม่ค่อยเชื่อฟังเลยนะ”
เมื่อได้ยินแบบนี้ ชายหนุ่มก็รีบลุกขึ้นแล้วคว้าแขนของหลินชิงขื่อมาแล้วพูดว่า “คุกเข่าลง!
หลินชิงชือดิ้นรนอย่างสิ้นหวัง แต่ท้ายที่สุดแล้ว เธอก็อ่อนแอเกินไปแล้วเธอก็ถูกกดลงไปกับพื้น
ฟางเสี่ยวเต๋อพยักหน้าอย่างพึงพอใจแล้วพูดว่า “นี่มันก็พอได้!”
ฉินเฉิงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจในใจ ฟางเสี่ยวเต๋อคนนี้สมคำล่ำลือจริงๆ
หลังจากที่ทั้งสามคนกินข้าวเที่ยงกันแล้ว ในตอนที่พวกเค้าลงมาที่ชั้นล่าง หลินชิงชือกับชายหนุ่มก็ยังคงคุกเข่าอยู่ที่พื้น
“เอาหละ รีบไปซะ” ซูวานดูสับสนเล็กน้อยและโบกมือให้พวกเค้า
ชายหนุ่มไม่กล้าส่งเสียอะไรเลย เค้ามองไปที่ฟางเสี่ยวเต๋อโดยไม่รู้ตัว
“ปล่อยพวกเค้าไปเถอะ” ซูวานขมวดคิ้ว
ฟางเสี่ยวเต๋อโบกมือแล้วพูดว่า “ไปซะ อย่าให้ฉันเจอแกอีก ได้ยินไหม?”
“ครับ ผมสัญญาว่าจะไม่มีให้คุณเห็นหน้าอีก!” หลังจากที่ชายหนุ่มได้รับการยกโทษ เค้าก็คว้าแขนของหลินชิงชือ จากนั้นก็หันหลังวิ่งออกไปจากห้าง
“ง่ายๆแบบนี้ได้ยังไงกัน ฉันไม่ชอบเลย” ฟางเสี่ยวเต๋อบ่นขึ้นมา “ยังไงที่นี่ก็เป็นเมืองปีนัง ถ้าเป็นเมืองเอกในมณฑลหละก็ ฉันจะให้คนมาจัดการ…”
“เอาหละ เอาหละ” ซูวานพูดตัดบทฟางเสี่ยวเต๋อ
….
แล้วพวกเธอก็เดินกันอีกตลอดทั้งบ่าย ในตอนที่กลับมาบ้าน มันก็ประมาณสามทุ่มกว่าแล้ว
ฉินเฉิงนั่งอยู่ในห้องนอนแล้วหยิบยาบ่มเพาะจิตวิญญาณออกมา
ยาบ่มเพาะจิตวิญญาณมันยังแบ่งออกตามคุณภาพของสิ่งที่เอามาใช่ปรุงยาและเวลาในการกลั่น
เช่นเดียวกับสิ่งนี้ที่อยู่ในมือของฉินเฉิง มันคือยายาบ่มเพาะจิตวิญญาณสุด
“ถ้าความแข็งแกร่งของฉันไปไกลกว่านี้ บางทีมันอาจจะกลั่นยาได้ดีกว่านี้” ฉินเฉิงคิดกับตัวเอง
เพื่อปรับแต่งยาบ่มเพาะจิตวิญญาณแบบนี้ มันไม่สามารถทำได้ในระยะเวลาสั้นๆ
ดังนั้นฉินเฉิงก็เลยวางแผนที่จะหาที่อื่นเพื่อไปบ่มเพาะมัน
เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น ฉินเฉิงก็บอกกับซูวานว่า: “สองสามวันนี้ฉันจะออกไปข้างนอกนะ เธอก็อยู่บ้านกับฟางเสี่ยวเต๋อก็แล้วกัน”
“นายจะไปไหนเหรอ นายคงจะไม่ได้ออกไปเที่ยวไปทั่วแบบครั้งก่อนใช่ไหม?” ฟางเสี่ยวเต๋อก็มองแล้วพูดออกมา
ฉินเฉิงไม่สนใจเธอ เค้าพาชายที่มีรอยแผลเป็นที่หน้าออกจากชุมชนหลงไห่ซานไปกันสองคน
หลังจากค้นหามาทั้งวัน ฉินเฉิงก็เจอสถานที่ๆไม่ค่อยมีคนอยู่อาศัย
เป็นป่าที่ล้อมรอบด้วยภูเขาและแม่น้ำ หลายปีมาแล้ว ไม่มีใครมาที่นี่
“งั้นก็ที่นี่ก็แล้วกัน” ฉินเฉิงมองไปรอบๆแล้วพูดเบาๆขึ้นมา
“คุณฉิน คุณจะทำอะไรเหรอครับ?” ชายที่มีรอยแผลเป็นที่หน้าก็พูดขึ้นมา
ฉินเฉิงก็ยิ้มและพูดว่า: “เก็บตัวหนะ สองสามวันนี้ก็ลำบากนายหน่อยนะ”
ชายที่มีรอยแผลเป็นที่หน้าก็พยักหน้าอย่างรวดเร็วแล้วพูดว่า “คุณครับ ไม่ต้องเป็นห่วงผม”
เมื่อมองไปที่ชายที่มีแผลเป็นที่หน้า ฉินเฉิงก็อดคิดในใจไม่ได้ว่า: หาเวลา ปรุงยาสำหรับชายที่มีรอยแผลเป็นที่หน้านี่แหละ
เขาหยิบยาบ่มเพาะจิตวิญญาณออกมาแล้วนั่งลงที่ริมน้ำ
ทันทีที่เม็ดยาบ่มเพาะจิตวิญญาณถูกนำออกมา พลังงานของจิตวิญญาณโดยรอบมันก็เพิ่มขึ้นในทันที
ฉินเฉิงไม่ยอมเสียเวลา เค้ากลืนยาบ่มเพาะจิตวิญญาณนี้เข้าไปในท้องของเค้าแล้วเริ่มบ่มเพาะกำลัง
ชายที่มีแผลเป็นที่หน้าก็ยืนอยู่ข้างต้นไม้แล้วมองไปที่ฉินเฉิง
“หืม? นี่มันอะไรกัน?” จากนั้นไม่นานเค้าก็มองเห็นร่างกายของฉินเฉิงที่เปล่งประกายออร่าสีน้ำเงินออกมา
พลังปราณเหล่านี้มันห่อล้อมรอบร่างของเค้า มันก่อตัวเป็นกระแสน้ำวนขนาดเล็ก
เมื่อมองแวบแรก เค้าดูเหมือนอมตะ มันทำให้ชายที่มีแผลเป็นที่หน้าก็สะดุ้งขึ้นมาในทันที
“คุณฉินเค้าเป็นเทพจริงๆ…” ชายที่มีแผลเป็นที่หน้าก็พูดด้วยความประหลาดใจ
แม้แต่ตงเทียนหนานเอง เค้าก็ไม่เคยเห็นฉากแบบนี้มาก่อน!
ในเวลาเดียวกันนี่เอง กลุ่มคนก็กำลังย่องเข้าใกล้อย่างเงียบๆ
“อาจารย์เเถียน ฉินเฉิงคนนี้มีทักษะที่ยอดเยี่ยมมาก แม้แต่พลังปราณระดับปรมาจารย์ก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเค้าเลย” ชายวัยกลางคนพูดขึ้นมาด้วยความกังวลเล็กน้อย “ครั้งก่อนอู่หาวก็มาตายในเงื้อมมือของเค้า”
ชายชราที่รู้จักกันในชื่ออาจารย์เถียนก็ยิ้มและพูดว่า “คุณเคยได้ยินประโยคที่บอกว่าปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้ที่จะไม่ยั่วยุปรมาจารย์พลังเวทไหม?”
“อาจารย์เทียนเป็นพ่อมดจากตะวันตกเฉียงใต้ ในตอนนั้นก็มีคนดังคนหนึ่งที่ผีเอาไว้และนั่นคือสิ่งที่อาจารย์เถียนพูดถึง” อีกคนหนึ่งก็พูดขึ้นมา
เมื่อชายวัยกลางคนได้ยินคำนั้น จู่ๆสีหน้าของเค้าก็หดลงในทันที
เค้าเคยได้ยินเรื่องนี้ มันว่ากันว่าหลังจากที่คนดังเลี้ยงผี อาชีพของเค้าก็ยิ่งเฟื่องฟู แต่ต่อมาเค้าก็ถูกกลืนกินแล้วชื่อเสียงของเค้าลดลง
ฉันไม่คิดเลยนะว่านี่มันจะเป็นเรื่องจริง
ระหว่างที่คุยกัน คนพวกนี้ก็เข้ามาถึงที่ห้วยแล้ว
แต่พวกเค้าไม่รีบเร่งอะไรเลย พวกเค้าเริ่มที่จะจัดทุกสิ่งที่อยู่ที่รอบตัวเค้า
สำหรับปรมาจารย์พลังเวทแล้ว พลังการต่อสู้เป็นวิธีที่โง่ที่สุด สิ่งที่พวกเค้าต้องทำก็คือการฆ่าคนอย่างเงียบๆ
อาจารย์เถียนหยิบเครื่องรางที่มีหน้าตาแปลกๆออกมาพร้อมกับหม้อสีดำเล็กๆออกมาจากกระเป๋าของเค้า
“เอาของเหล่านี้ไปฝังไว้ในแปดทิศและรอให้ฉันร่ายคาถาเพื่อดักจับสองคนนี้” อาจารย์เถียนพูดขึ้นมาอย่างเย็นชา
“ครับ!” ลูกศิษย์ของเค้ารีบทำตามคำแนะนำของอาจารย์เถียนและใช้เวลาทั้งคืนฝังยันต์เหล่านี้ในทิศทั้งแปดนี้
เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น อาจารย์เถียนก็เริ่มร่ายคาถา ทันใดนั้นมีแปดแผ่นในแปดทิศทางและอาจารย์เถียนก็ย้ายแผ่นใทั้งแปดแผ่นด้วยเทคนิคที่ยอดเยี่ยม
มันเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่านี่มันเป็นเทคนิคใขั้นสูงและในช่วงเวลาสั้นๆ เสื้อผ้าของเค้าก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ
“ได้แล้วหละ” จนกระทั่งถึงเวลาเย็น อาจารย์เถียนก็หยุดการเคลื่อนไหวในมือของเค้า
ความแตกต่างจากเมื่อตอนเช้าก็คือการก่อตัวของรูปแบบจิตวิญญาณของเค้าก็ดีขึ้นมากในทันทีและดูเหมือนว่าเค้าจะอายุน้อยลงไปอีกหลายปี
“ท่านอาจารย์เถียน ดูเหมือน…ดูเหมือนจะไม่มีความแตกต่างอะไรเลยนะครับ”
อาจารย์เถียนเหลือบมองมาที่เค้า เค้าสูดลมหายใจเบาๆแล้วก้าวออกมาทันที ทันทีที่ออกมามันก็ไปไกลกว่าหลายสิบเมตร
“พระเจ้า” ทันใดนั้นเอง ทุกคนต่างก็ตกใจ
“รูปแบบนี้มันเรียกว่าล็อคหัวใจแปดทิศ สิ่งนี้มันทำให้ไม่มีใครสามารถสู้กับอาจารย์ของฉันได้เลย” ชายหนุ่มพูดออกมาอย่างภาคภูมิใจ
ในตอนที่พูดนี้เอง อาจารย์เถียนก็เดินตามไปจนถึงที่ด้านหลังของชายที่มีแผลเป็นบนหน้าแล้ว
ทันใดนั้นเอง ชายที่มีแผลเป็นที่หน้าก็หรี่ตาขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นเค้าก็หันกลับมาแล้วตะโกนว่า “ใคร?!”
อาจารย์เถียนไม่พูดอะไร เค้ายื่นนิ้วออกไปเบาๆแล้วชายที่มีแผลเป็นที่หน้าก็กระเด็นออกไปในทันที