ขณะที่เธอกำลังพูดนั้น กริชได้เคลื่อนจากหูไปที่คอ
ใบมีดอันเย็นเฉียบ ทำให้ผิวของเธอสั่นสะท้านจนเกือบจะร้องไห้ออกมา
“เฉียวฉี อย่า คุณอย่าทำแบบนี้สิ มีอะไรค่อยๆพูดกันก็ได้……”
ต่อให้หลินเยว่เอ๋อร์จะกล้าดีอย่างไร แต่เธอก็เป็นเพียงหญิงสาวที่ถูกเลี้ยงมาอย่างดีเหมือนไข่ในหิน ไม่ต่างอะไรกับดอกไม้ในเรือนกระจก เธอจะเคยถูกคนถือมีดมาข่มขู่แบบนี้เหรอ?
ดังนั้น เมื่อรู้สึกได้ว่าใบมีดอันเย็นเฉียบสัมผัสเข้ากับผิวของตน เธอก็แทบจะทนไม่ไหว
แต่อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนเฉียวฉีจะไม่ปล่อยเธอไปง่ายๆ
แววตาของเธอดูมืดมนลงเล็กน้อยและพูดต่อไปว่า “อ้อ ใช่สิ! ดูเหมือนคุณจะไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้ฉันทำอาชีพอะไรสินะ?”
หลินเยว่เอ๋อร์ส่ายหน้า “ไม่ ฉันไม่รู้”
“เอ หรือว่า……คุณจะลองเดาดูไหม? ถ้าเดาถูกบางทีฉันอาจจะปล่อยคุณไปก็ได้”
เมื่อหลินเยว่เอ๋อร์ได้ยินดังนั้น เธอก็รู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้โรคจิตมาก แต่ก็ได้แต่ด่าเธออยู่ในใจไม่กล้าพูดอะไรออกมา ทำได้เพียงรวบรวมความกล้าและเหลือบตาไปมอง
พบเพียงว่าผู้หญิงคนที่อยู่ด้านหน้านี้มีหน้าตาสะสวย เธอเสมือนอยู่ระหว่างความบริสุทธิ์และฝุ่นผง ผมของเธอสั้นสะอาดสะอ้าน คิ้วอันได้รูปที่อยู่ใต้ลูกผมของเธอก็ดูสะอาดสะอ้านเช่นกัน
หลินเยว่เอ๋อร์ครุ่นคิดอยู่สักพัก ก่อนจะส่ายหัวแล้วตอบว่า “ฉันไม่รู้”
เธอเดาไม่ออกจริงๆ
รู้เพียงแต่ว่าจากรูปลักษณ์และท่าทางของเฉียวฉี มองได้ว่าชีวิตก่อนหน้านี้ของเธอคงไม่แย่หนัก ไม่เช่นนั้นเธอจะมีพฤติกรรมแบบนี้ไม่ได้
แต่จะให้พูดชัดเจนว่าเธอเคยทำอะไรมาก่อน ก็เดาไม่ออกเหมือนกัน
รู้เพียงแต่ว่า เมื่อสัมผัสกับความเยือกเย็นบนร่างกายที่แผ่ออกมา ในใจลึกๆเดาบางอย่างขึ้นมาได้แต่ไม่กล้าพูดมันออกมา
เมื่อเฉียวฉีเห็นดังนั้นเธอก็ไม่ได้โกรธเพียงแต่ยิ้มขึ้น
ตอนที่เธอไม่ยิ้มก็ยังดีอยู่ แต่เมื่อเธอยิ้มขึ้นมา ทำให้หลินเยว่เอ๋อร์รู้สึกเสียวสันหลังวาบ แทบอยากจะร้องขอให้เธออย่ายิ้มเลย มีเรื่องอะไรก็รีบพูด พูดจบแล้วตนจะได้เดินทางจากไปเสียที
แต่เฉียวฉีกลับยื่นหน้าเข้ามาใกล้หูของเธอและพูดด้วยน้ำเสียงกระซิบเบาๆว่า “ก่อนหน้านี้…… ฉันเป็นนักฆ่ามืออาชีพ”
“อะไรนะ?”
หลินเยว่เอ๋อร์ชะงักลง
นักฆ่ามืออาชีพ?อะไรกัน?
จากนั้นเธอก็ได้ยินเฉียวฉีพูดขึ้นมาว่า “มือของฉันเคยฆ่าคนมาก่อน และจำนวนมากเกินกว่าที่คุณจะจินตนาการได้ คุณน่าจะไม่เคยเจอกับนักฆ่าตัวเป็นๆสินะ? ที่จริงเพียงแค่ฉันต้องการคุณก็มีมากกว่าหมื่นวิธีที่จะตาย อีกทั้งรับรองว่าคนภายนอกจะไม่เห็นอย่างแน่นอน คุณจะลองดูไหมล่ะ?”
ประโยคนี้ของเธอทำให้คนฟังรู้สึกหนาวเหน็บ
และหลินเยว่เอ๋อร์สัมผัสได้ว่าในวันนี้เฉียวฉีไม่ได้ล้อเล่นกับเธอ
แม้ว่าใบหน้าของหล่อนจะยังคงนิ่งเงียบไม่ได้มีอารมณ์โมโหหรือสีหน้าใดๆแม้แต่น้อย
แต่หลินเยว่เอ๋อร์รู้ดีว่าหล่อนไม่พอใจ และอารมณ์เสียมากๆ!
ยิ่งเธออารมณ์ไม่ดี ใบหน้าของเธอก็จะยิ่งสงบเงียบซ่อนความรู้สึกนั้นเอาไว้!
ราวกับทะเลที่นิ่งสงบ มองไปแล้วอาจจะดูเรียบง่าย แต่ใต้น้ำกับมีคลื่นซัดอยู่
หลินเยว่เอ๋อร์รู้สึกกลัวมาก!
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร จู่ๆเธอก็รู้สึกว่า เฉียวฉีกล้าจะทำแบบนั้นจริงๆ และมีความสามารถเช่นนั้นด้วย นั่นคือการที่จะฆ่าตน และนำร่างของเธอไปซุกซ่อนเอาไว้ให้ไม่มีใครหาพบ และไม่มีใครค้นเจอ
ตอนนี้เธอรู้สึกเสียใจมากที่มาหาเรื่องยั่วยุผู้หญิงคนนี้
ยังโชคดีที่เฉียวฉีไม่ได้อยากจะฆ่าเธอจริงๆ
เมื่อเห็นเธอทำสีหน้าซีดเผือดไร้เส้นเลือดฟาดบนหน้า จึงค่อยๆปล่อยมือลงและวางกริชก่อนจะยืดตัวขึ้น
แต่ท่าทางของเฉียวฉีก็ยังคงสงบนิ่งและมั่นคงตามเดิม คิ้วของเธอไม่ได้ขยับเขยื้อน ราวกับเมื่อสักครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เธอถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ตอนนี้คุณยังคิดว่าฉันขโมยสร้อยคอคุณไปอยู่หรือเปล่า?”
หลินเยว่เอ๋อร์รีบส่ายหัวอย่างกับเครื่องจักร
เฉียวฉีเลิกคิ้วขึ้น
“แล้วยังไงต่อ?”
“ฉันจะไปเดี๋ยวนี้!”
เธอรีบตะโกนออกมาราวกับนึกอะไรบางอย่างได้ จากนั้นก็ลุกขึ้นอย่างรวดเร็วก่อนจะพูดว่า “ฉันจะไปเดี๋ยวนี้และไม่มารบกวนคุณอีก ขอโทษด้วยนะคะ ก่อนหน้านี้ฉันมีตาหามีแววไม่ คุณเองมีเป็นคนมีคุณธรรม อย่ามาใส่ใจเรื่องเล็กน้อยแบบนี้กับฉันเลยนะคะ?”
เฉียวฉีเผยอยิ้มขึ้นที่มุมปาก เธอพยักหน้าแล้วพูดว่า
“จำคำพูดของคุณเอาไว้ให้ดี ความอดทนของฉันมีขีดจำกัด ครั้งหน้า ……”
“ไม่มีครั้งหน้าแน่นอนค่ะฉันสัญญา!”
วินาทีนี้ หลินเยว่เอ๋อร์ บ่งบอกถึงความปรารถนาเอาตัวรอดอย่างแรงกล้า เมื่อพูดจบเธอก็ชูนิ้วขึ้นมาทำท่าสาบาน ราวกับกลัวว่าหล่อนจะไม่เชื่อ
เฉียวฉี บดขยี้ริมฝีปาก และส่งสายตาไปให้ เมื่อหลินเยว่เอ๋อร์ได้รับสายตานั้นเธอก็วิ่งออกไปทันที
เมื่อร่างของเธอวิ่งออกไปแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าของเฉียวฉีก็จางหายไป
เสี่ยวเยว่ที่เห็นทุกสิ่งทุกอย่างเมื่อสักครู่นี้ เธออดไม่ได้ที่จะกลัวและให้ความเคารพนับถือ
สิ่งที่เธอกลัวคือพูดของเฉียวฉีเมื่อสักครู่ เสี่ยวเยว่มาอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้ไม่นานนัก เธอไม่รู้เรื่องราวก่อนหน้านี้สักเท่าไหร่ ดังนั้นวินาทีที่ได้ยินว่าหล่อนเคยฆ่าคนตาย จึงทำให้เธอกลัว
แต่สิ่งที่ทำให้เธอเคารพนับถือ ก็คือวิธีการกำราบหลินเยว่เอ๋อร์ และออร่าที่เปล่งประกายออกจากภายในสู่ภายนอก
คนเช่นนี้ไม่ใช่คนธรรมดาแน่ๆ
เมื่อคิดได้ดังนั้น เธอก็อดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองดูเฉียวฉีอีกครั้งหนึ่ง
เธอเห็นผู้หญิงคนนี้สายตาจางลงเล็กน้อย จากนั้นจึงละสายตาหันกลับมาจัดแจงสิ่งของบนโต๊ะ ที่เมื่อสักครู่ถูก หลินเยว่เอ๋อร์รื้อค้น
เธอไม่ได้หันไปมองดูเสี่ยวเยว่เพียงแค่ก้มหน้าก้มตาและพูดออกมาด้วยน้ำเสียงต่ำทุ้มว่า “ไม่มีอะไรแล้ว คุณออกไปเถอะ”
เสี่ยวเยว่เม้มริมฝีปาก และอยากจะเอ่ยเตือนเธอว่าการที่หลินเยว่เอ๋อร์ มาหาเรื่องถึงที่นี่ หากถูกคุณชายรู้เข้าคงจะไม่ปล่อยเธอไว้แน่
เฉียวฉีน่าจะไปฟ้องกู้ซือเฉียนเรื่องการกระทำของหล่อนสักหน่อย หล่อนต้องการให้เฉียวฉีออกไปจากคฤหาสน์นี้ไม่ใช่เหรอ? ดีไม่ดีเมื่อถึงเวลานั้นคนที่ถูกขับไล่อาจจะเป็นตัวหล่อนเองก็ได้
แต่ต่อมา ก็คิดได้ว่าตนเพิ่งจะติดตามเฉียวฉีไม่เท่าไร เธอยังไม่เข้าใจถึงอารมณ์และความคิดของเฉียวฉีนัก
หากตนพูดออกไปแบบนั้น อาจจะถูกเธอเกลียดก็ได้ หรือบางทีเธออาจจะไม่ชอบคนแบบนี้
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เสี่ยวเยว่รู้สึกลึกๆว่า เฉียวฉี ไม่ต้องการไปหากู้ซือเฉียนเพื่อที่ต้องให้เข้ามาจัดการเรื่องนี้ให้
ดังนั้นท้ายที่สุดแล้วเธอจึงไม่ได้พูดอะไรออกมา เพียงตอบรับเบาๆว่า “ค่ะ” หลังจากนั้นก็หันหลังเดินจากไปอย่างว่าง่าย
เมื่อเธอเดินจากไปแล้วภายในห้องก็เงียบสนิท
เฉียวฉียังคงนั่งอยู่ที่เดิม ในสมองของเธอว่างเปล่า ราวกับโลกอันโหวกเหวกโวยวายอึกทึกครึกโครมเมื่อสักครู่ได้เงียบสงบลง แต่ก็ยังมีร่องรอยอยู่บ้างเล็กน้อย
แต่นั่นก็เป็นเพียงเรื่องราวแค่ไม่กี่วินาที ในไม่ช้าเธอก็ได้สติกลับคืนมา เมื่อนึกถึงท่าทางของหลินเยว่เอ๋อร์เมื่อสักครู่เธอก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
ที่จริงแล้วหลินเยว่เอ๋อร์ผู้หญิงคนนี้เธอไม่เคยนำมาใส่ใจเลยจริงๆ
หล่อนไม่ใช่คนสำคัญอะไร ไม่จำเป็นที่จะต้องเสียเวลาคิดหาวิธีจัดการด้วย ดังนั้นช่วงที่ผ่านมา แม้จะรู้ว่าหล่อนมีแผนการมากมายแต่เธอก็ทำเป็นมองไม่เห็น หากมีเรื่องน้อยลงสักเรื่องคงดีกว่ามีเรื่องเพิ่มมากขึ้นอยู่แล้ว
คนที่มีผลกระทบของกับเธอในตอนนี้คือกู้ซือเฉียน ผู้ชายคนนั้นจึงจะเป็นคนฉลาดนักเหลี่ยมอย่างแท้จริง มือทั้งห้าของเขาดุจดั่งขุนเขาห้านิ้ว ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ประหลาดหรือปีศาจชนิดใดๆ หากอยู่ในน้ำมือของเขาก็ยากที่จะรอดออกมาได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อให้เป็นเธอเอง ก็ยังมองออกว่ากู้ซือเฉียนไม่ได้จริงใจกับผู้หญิงคนนี้เลย
หล่อนเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งเท่านั้น ดังนั้นการที่เธอจะเสียเวลากับหล่อน จะไม่ไร้ประโยชน์ไปหน่อยหรือ?
ด้วยเหตุนี้ เฉียวฉีจึงไม่เคยหันมาสนใจเธอเลย และไม่เคยคิดแม้แต่จะหาเรื่องเธอ
แต่อย่างไรก็ตามเมื่ออีกฝ่ายหนึ่งมาหาเรื่องเธอก็อดไม่ได้