เฉียวฉีไม่สนใจว่าเธอเป็นผู้หญิงในสายตาของหลินเยว่เอ๋อร์หรือเปล่า
ตอนนี้เธอรู้สึกว่ากู้ซือเฉียนไม่มีความเป็นลูกผู้ชายเลยแม้แต่น้อย
สู้กันมาตั้งหลายยก เขาแพ้แล้วแต่กลับยังยืนกรานไม่ยอมรับ จะเอายังไง? จะต้องเอาให้ตายเลยถึงจะยอม?
คิดแบบนี้ สายตาของเฉียวฉีก็มีกลิ่นอายของความโหดเหี้ยม
แต่ว่ามีหลินซงอยู่ เขาไม่มีทางปล่อยให้พวกเขาต่อยกันจนเกิดเรื่องจริงๆ
เขารีบไปจับเฉียวฉีเอาไว้เเล้วพูดดีๆ:“พอได้แล้วพอได้แล้ว ซือเฉียนเขาปากแข็ง เราไม่ต้องไปสนใจเขา ความแค้นของพวกคุณสองคนพวกคุณไปจัดการกันเอง ถ้าเกิดอะไรขึ้นที่นี่จริงๆ จะให้ผมเข้าข้างใคร?อาเฉียว เห็นแก่มิตรภาพมาหลายปีที่ผ่านมา อย่าทำให้ผมลำบากใจ ผมขอร้องคุณล่ะ”
กู้ซือเฉียนพ่นเลือดในปากออกมาแล้วยิ้มแห้ง:“หลินซง นายไปขอร้องเธอทำไม? นายจะเข้าข้างใครนายไม่รู้เหรอ?”
ถึงตอนนี้ หลินซงจะนิสัยดีแค่ไหน แต่เขาก็ถูกขัดเกลาออกไปหมดแล้ว
เขาหันหน้าไปตะโกนใส่เขา “หุบปาก!”
สีหน้าของกู้ซือเฉียนซีดเซียว เขามองที่เฉียวฉีแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
หลินซงถึงได้ปลอบเฉียวฉี ตอนนี้ แม้แต่หลินเยว่เอ๋อร์ก็ยังดูออก การต่อสู้ระหว่างพวกเขาสองคนไม่ใช่เพราะเธอทั้งหมด
เพราะพวกเขามีไฟในใจตั้งแต่แรก ต้องการที่ระบาย คราวนี้ ถือว่าระบายออกมาหมดแล้ว
เธอก้าวไปข้างหน้า พยุงกู้ซือเฉียนขึ้นมา เบ้าตาแดงก่ำเหมือนกำลังจะร้องไห้
“ซือเฉียน ฉันขอโทษ เป็นความผิดฉันที่ทำให้คุณบาดเจ็บขนาดนี้ ฉันไม่น้อยใจแล้ว จริงๆ คุณอย่าสู้กันอีกเลย”
เธอพูดพร้อมกับเอาแขนเสื้อเช็ดเลือดที่มุมปากของเขาเบาๆ
กู้ซือเฉียนมองไปที่เธอ
แต่หางตากลับเหลือบมองไปที่เฉียวฉี เห็นว่าเธอหันหลังให้ตัวเอง ยืนกอดอกฟังสิ่งที่หลินซงพูด เขาก็โมโหขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
ทันใดนั้นเขาก็ดึงหลินเยว่เอ๋อร์ขึ้นมากอดไว้ในอ้อมแขน
ยิ้มมุมปากอย่างชั่วร้ายและพูดว่า:“ไม่เป็นไร เพื่อผู้หญิงที่ตัวเองรัก เจ็บนิดหน่อยจะเป็นอะไรไป ขอแค่คุณมีความสุข อย่าว่าแต่สู้เพื่อคุณ แม้แต้เด็ดดวงดาวบนท้องฟ้าผมก็จะทำ”
ประโยคนี้พูดจนหลินซงยังรู้สึกเย็นชา
เขาเงยหน้าขึ้นเหลือบไปมองเฉียวฉีอย่างระมัดระวัง แต่กลับเห็นเธอไร้อารมณ์ราวกับว่าเธอไม่ได้ยินอะไร
หลินซงกระแอมและตะโกนออกมา:“โอเค ในเมื่อพวกคุณไม่ว่าอะไร งั้นเรื่องนี้ก็จบแค่นี้ ต่อยก็ต่อยกันแล้ว ซือเฉียน ไม่อนุญาตให้คุณบอกให้เฉียวฉีขอโทษหลินเยว่เอ๋อร์ อาเฉียว คุณก็ไม่ต้องลงไม้ลงมือกับกู้ซือเฉียนแล้ว”
เฉียวฉีหันหน้าไปมอง เหลือบไปมองกู้ซือเฉียนด้วยสายตาที่มืดมน
ยิ้มแห้ง “ถ้าเขาไม่ยั่วฉัน ฉันไม่มีทางลงไม้ลงมือกับเขาแน่นอน”
กู้ซือเฉียนได้ยินแบบนี้ เขาโมโหจนเลือดในใจเดือนพล่าน ราวกับว่ามีเลือดติดอยู่ที่หน้าอก ไม่ไหลลงไปและก็ไม่ไหลขึ้นมา โมโหจนพูดไม่ออก
เขาแอบคิดว่า สี่ปีที่ผ่านมานี้ ฝีมือของตัวเองด้อยลงจริงๆ ดูเหมือนว่าเขาจะต้องฝึกฝนให้หนักขึ้น
แต่ปากกลับไม่ยอม เขาเหอะออกมาทีหนึ่ง “วันนี้ผมแค่ไม่พร้อม พูดเหมือนกับว่าคุณเอาชนะผมได้”
เมื่อสิบกว่าปีก่อน ตอนที่เฉียวฉีรู้จักเขา เธอรู้ดีอยู่แล้วว่าเขาเป็นคนปากแข็งแค่ไหน
ได้ยินแบบนี้เธอก็แค่มองบน ขี้เกียจจะสนใจ เธอหันหน้าและก้าวขาเดินออกไป
“ไม่มีอะไรแล้วฉันขอตัว!”
พูดเสร็จ เธอก็เดินออกไปที่ทางออก
หลินซงตกใจ ตามออกไปอย่างไม่ทันตั้งตัว:“คุณจะไปไหน?”
แต่เฉียวฉีไม่ได้ให้คำตอบกับเขา เงาของเธอหายไปอย่างรวดเร็ว
กู้ซือเฉียนยืนอยู่ที่เดิน มองดูเธอเดินจากไป สายตาของเขามืดมนลงอีกครั้ง
หลักจากเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น พวกเขาก็ไม่มีอารมณ์เล่นกันต่อ หลังจากพักแปปหนึ่งพวกเขาก็กลับบ้าน
กลับมาถึงปราสาทถึงได้รู้ว่าเฉียวฉียังไม่กลับมา
หลังจากที่กู้ซือเฉียนได้ยินแบบนี้ สีหน้าของเขาก็แย่ลง เขาไม่สนใจใครทั้งนั้น เดินตรงขึ้นไปชั้นบนแล้วขังตัวเองอยู่ในห้องนอน
หลินเยว่เอ๋อร์ยืนอยู่ในห้องรับแขกไม่กล้าตามขึ้นไป เธอเหลือบมองหลินซงที่ยืนอยู่ข้างๆ หันหน้าไปแล้วถามว่า:“คุณหลิน คุณเป็นเพื่อนซือเฉียนใช่ไหม ทำไมวันนี้ฉันเห็นคุณช่วยเฉียวฉีคนนั้น คุณคงไม่ได้ชอบเธอใช่ไหม?”
หลินซงได้ยินแบบนี้ก็ขมวดคิ้วและหันหน้าไปมองเธอ
เขาพูดอย่างเคร่งขรึม: “ในสายตาของคุณหลิน ผู้ชายและผู้หญิงที่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน นอกจากความรักแล้วมันเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลยเหรอ?”
หลินเยว่เอ๋อร์ตกใจ
หลินซงยิ้มแห้ง:“คำที่ว่าคนสกปรกทำเรื่องสกปรก คุณหลิน อย่าคิดว่าทุกคนในโลกเป็นเหมือนคุณ ที่คุณมายุ่งกับซือเฉียนเพื่ออะไร คุณรู้ผมรู้ทุกคนรู้ อย่าเสแสร้งทำตัวเป็นคนหยิ่งยโสโอหังอยู่ทั้งวัน คุณลำบากที่ต้องเสแสร้ง คนอื่นเห็นก็ขยะแขยง”
เขาพูกจบก็หันหลังเดินออกไปอย่างไม่เกรงใจ
หลินเยว่เอ๋อร์ยืนอึ้งอยู่ที่เดิม เธอตกใจ เธอคิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดแบบนี้ออกมา
ผ่านไปไม่นาน เธอถึงได้กลับมามีสติ ตะโกนออกไปว่า:“หลินซง! นายคิดว่าคุณเป็นใคร ฉันจะบอกนายให้ ไม่ช้าก็เร็วฉันจะต้องได้เป็นนายหญิงของปราสาทนี้ ไม่ช้าก็เร็วฉันจะต้องได้แต่งงานกับซือเฉียน ถึงตอนนั้น ที่นี่จะไม่ต้อนรับนายอีกต่อไป นายไสหัวไปไกลเท่าไหร่ก็ยิ่งดี!”
เสียงของเธอดังและล่องลอยไปไกล
หลินซงน่าจะได้ยิน แต่เขาก็ไม่หยุดเดิน
และในขณะเดียวกัน กู้ซือเฉียนที่พึ่งกลับเข้าไปในห้องนอนชั้นบนก็ได้ยินเหมือนกัน
หลินเยว่เอ๋อร์ตะโกนเสร็จ เธอก็หายใจแรง เธอได้ยินเสียงที่เย็นชาดังขึ้นมาเหนือหัวของเธอ
“ใครอนุญาตให้คุณกล้าคิดว่าตัวเองจะได้เป็นคุณนายกู้?”
หลินเยว่เอ๋อร์ตกใจอย่างรุนแรง
เธอตัวแข็งทื่อ เงยหน้าขึ้นไปมองด้านบนอย่างไม่กล้าเชื่อ
เห็นแค่กู้ซือเฉียนยืนอยู่ตรงนั้นนิ่งๆ เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ เขาสงบลงอย่างเห็นได้ชัด
แต่เขาเป็นแบบนี้มันทำให้คนรู้สึกกลัว มันลึกซึ้งและเย็นชา ราวกับมีดที่เฉียบคม แค่มองดูอย่างสงบก็สัมผัสได้ถึงอากาศเย็นชาที่พุ่งเข้ามา
หลินเยว่เอ๋อร์อดตัวสั่นไม่ได้
เธอส่ายหน้าและอธิบายว่า “ไม่ ฉัน ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้น ซือเฉียน เมื่อกี้ฉันแค่……”
“พอแล้ว!”
กู้ซือเฉียนพูดอย่างเย็นชา ขมวดคิ้วและพูดอย่างเย็นชาว่า:“ไสหัวออกไป! ไม่มีคำสั่งของผม ไม่อนุญาตให้มาที่ตึกใหญ่ อีกอย่าง หยุดความคิดของคุณ อย่าให้ผมได้ยินอีก ไม่อย่างนั้น……”
เขายังไม่ได้บอกผลที่ตามมาได้ หลินเยว่เอ๋อร์ก็ตกใจพยักหน้าซ้ำๆ
“ฉันรู้ ฉันรู้ ฉันจะกลับไปเดี๋ยวนี้ ต่อไปฉันจะไม่พูดอีกแล้ว ฉันจะไปเดี๋ยวนี้”
พูดเสร็จเธอก็หยิบกระเป๋าของตัวเองหันหลังเดินหนีไปทันที
กู้ซือเฉียนมองดูเธอเดินออกไป สายตาของเขาไม่มีความอบอุ่นเลยแม้แต่น้อย ผ่านไปไม่นาน เขาก็หันหลังกลับเข้าไปในห้อง ปิดประตูเสียงดัง“ปัง”
ประตูกระแทกอย่างแรง
ลุงโอที่อยู่ชั้นล่างเห็นภาพทั้งหมด เขาส่ายหน้าและถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้