ด้วยแรงกระแทกอย่างรุนแรงนี้เอง มันก็ทำให้หัวของ หวังซูกระแทกเข้าไปที่พวงมาลัยอย่างรุนแรง
หากไม่มีถุงลมนิรภัย ตอนนี้เค้าก็น่าจะหมดสติไปแล้ว
“บัดซบ!” หวังซูตะโกนอย่างโกรธเคือง “ไม่มีใครกล้าทำกับเราแบบนี้มาก่อน เฟ่ยเหล่า ฆ่ามันซะ!”
ชายชราที่สวมชุดแบบดั้งเดิมที่รู้จักกันในชื่อของ เฟ่ยเหล่าก็ลงมาจากรถ เค้ามองไปที่ฉินเฉิงที่อยู่ตรงหน้าอย่างเย็นชาและพูดว่า “หรือว่าแกยังอยากจะฆ่าฉันอยู่อย่างงั้นเหรอ?”
“ไม่เลวเลยนี่” ในใจของฉินเฉิงเค้าก็ลงมือฆ่าไปแล้ว
เฟ่ยเหล่าก็หัวเราะขึ้นมาอย่างเย็นชาแล้วพูดว่า: “ทำใจดีสู้เสือไป มึงยังไม่รู้จักสำนักชื่อหลงของพวกเรา…”
“พัฟ!”
ก่อนที่เขาจะพูดจบ ฉินเฉิงก็ตบเข้าไปที่หน้าของเค้าโดยตรง
การตบครั้งนี้มันทำให้เค้าหันหน้าไป 720 องศาและฟันสี่หรือห้าซี่ก็กระเด็นหลุดออกมาจากปากของเค้า
“เจ้าบ้า…”
“ผั๊วะ!”
ฉินเฉิงยกมือขึ้นมาและตบอีกครั้ง
“นี่คือสำนักชื่อหลงเหรอ? มีความแข็งแกร่งเพียงเท่านี้เหรอ?” ฉินเฉิงก้าวเข้ามาทีละก้าว เจตนาฆ่าในแววตาของเค้ามันก็ชัดเจนขึ้นมา
เดิมทีเฟ่ยเหล่าไม่ใช่นักรบ เขาเป็นแค่นักสู้ก็เท่านั้น
ในการต่อสู้แบบระยะประชิด เค้าจะไปเป็นคู่ต่อสู้ของ ฉินเฉิงได้อย่างไร
“รนหาที่ตายจริงๆเลย!” เฟ่ยเหล่าก็กัดฟันแล้วคายเข็มเงินออกจากปากของเค้าในทันที
เข็มเงินนี้มันเร็วมาก มันมาถึงที่ตรงกลางหน้าผากของฉินเฉิงในทันที
“ไปลงนรกซะ!” เฟ่ยเหล่าก็ยิ้มขึ้นมาอย่างโหดร้าย
เข็มเงินนี่มันถูกเสกมาด้วยเวทย์มนตร์ เมื่อคนธรรมดาโดนมันเข้า อวัยวะภายในทั้งหมดของเค้าจะเน่าไปในทันที หากปังลงไปตรงกึ่งกลางของคิ้ว คนๆนั้นก็จะถูกฆ่าตายในทันที!
“พัฟ!”
มันเป็นไปตามคาด เข็มเงินมันก็ปักลงไปที่ตรงกลางคิ้วในทันที
เฟ่ยเหล่าดีใจมาก “เสร็จฉัน!”
ฉินเฉิงขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย เขาแตะเข้าไปที่หน้าผากของเขา จากนั้นเค้าก็ขมวดคิ้วขึ้นมาและพูดว่า “นี่มันคืออะไรกัน?”
เฟ่ยเหล่าก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง
นี่…ทำไมมันไม่เห็นผล?
“ยังมีกลเม็ดอะไรอีกไหม?” ฉินเฉิงเอื้อมมือออกไปแล้วคว้าผมสีขาวของเฟยมา จากนั้นเค้าก็ถามขึ้นมาด้วยสีหน้าที่เย็นชา
เฟ่ยเหล่ากัดฟันแล้วพูดว่า “แกโดนมนต์สะกดของฉันแล้ว ภายในสามวัน แกจะต้องตายอย่างแน่นอน! รอวันตายได้เลย!”
“แน่นอน ถ้าหากว่าแกปล่อยพวกเราไป ฉันอาจจะเอายาถอนพิษให้แกก็ได้” น้ำเสียงของเฟ่ยเหล่ามันก็เปลี่ยนไป
ฉินเฉิงก็พูดขึ้นมาอย่างเย็นชาว่า: “ตั้งแต่ที่แกเข้ามาที่เมืองปีนัง แกน่าจะวางแผนเอาไว้แล้วนะว่าถ้ากลับออกไปไม่ได้จะทำยังไง”
หลังจากพูดจบ ฉินเฉิงก็ยกมือขึ้นและตบเข้าไปที่หัวของเฟ่ยเหล่า
สมองของเฟ่ยเหล่าก็ได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง เค้ากรอกตาแล้วก็ตายไปในทันที
สีหน้าของหวังซูที่อยู่ในรถก็ดูไม่ได้เลย เค้าไม่เป็นกังฟูเลยด้วยซ้ำ เค้าจะไปสู้กับฉินเฉิงได้อย่างไรกัน
“บูม บูม บูม”
ในตอนนี้เอง ฉินเฉิงก็เคาะเข้าไปที่ประตูรถแล้วพูดว่า: “ลงมา”
หวังซูกัดฟันและเอาร่างของเขาออกมาจากรถ
“ฉินเฉิง หากคุณปล่อยฉัน ฉันจะยกโสมนี้ให้กับคุณ” หวังซูก้มหน้าแล้วพูดขึ้นมาด้วยความกลัว
“ฆ่าแกแล้ว โสมก็ต้องตกเป็นของฉัน” น้ำเสียงที่เย็นชาของฉินเฉิงก็ทำให้หวังซูกลัวจนตัวสั่นขึ้นมา
“ถ้าแกฆ่าฉัน สำนักชื่อหลงจะไม่มีวันปล่อยแกไปอย่างแน่นอน!” หวังซูพูดขึ้นมาอย่างชั่วร้าย
ฉินเฉิงเยาะเย้ย: “ต่อให้ฉันปล่อยแกไป สำนักชื่อหลงก็จะไม่มีวันปล่อยฉันไป”
ในตอนนี้เอง หวังซูก็หยิบปืนพกขึ้นมาจากกระเป๋าของเค้า เค้าเอามันจ่อไปที่ฉินเฉิง
“ไม่เอาน่า!” หวังซูหัวเราะขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง “ต่อให้แกไวมากแค่ไหน แกคิดว่าแกจะสู้ลูกปืนได้เหรอ? ไสหัวไปซะ ไม่อย่างงั้นฉันจะฆ่าคุณกระสุนเพียงนัดเดียว!”
“ผั๊วะ!”
ทันใดนั้นเองฉินเฉิงก็คว้าเข้าไปที่ปืนในมือของหวังซู
“นั่นสินะ?” ฉินเฉิงหัวเราะเยาะขึ้นมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า “แกมีอะไรอีก ก็เอาออกมาซะสิ”
หวังซูถึงกับเข่าออกและคุกเข่าลงไปที่พื้นพร้อมกับเสียงดัง”พัฟ”
“ได้โปรด… ได้โปรดปล่อยผมไปเถอะ…” หวังซูไม่แสดงท่าทีโอหังอีกต่อไป เพื่อที่จะเอาชีวิตรอด เค้าก็ไม่สนศักดิ์ศรีอะไรเลย! ตราบใดที่สามารถหลบหนีกลับไปที่สำนักชื่อหลงได้ มันก็จะสามารถที่จะแก้แค้นและล้างอายได้!
แต่ฉินเฉิงก็ไม่ได้คิดที่จะให้โอกาสเค้าเลย เค้าเอามือวางลงไปบนหัวของหวังซู จากนั้นก็ถอนหายใจออกมาเล็กน้อย: “ถ้าชีวิตหลังความตายมันมีจริง ก็อย่าลืมมากหลอกหลอนฉันหละ”
หลังจากพูดจบ มือของฉินเฉิงก็บิดเล็กน้อย จากนั้นแววตาของหวังซูก็หมองลง
แล้วเค้าก็อ่อนตัวลงและล้มลงกับพื้น
“ฉันจะรับโสมนี้ไว้” ฉินเฉิงเก็บโสมมาและรอยยิ้มแห่งความสุขก็ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของเขา
“มันก็แค่… การฆ่าคนเยอะไปหน่อย เกรงว่ามันจะมีปัญหา” ฉินเฉิงเหลือบมองไปที่กล้องวงจรปิดโดยรอบแล้วเค้าก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา
เมื่อเก็บโสมมาแล้ว ฉินเฉิงก็หายเข้าไปในตรอกอย่างรวดเร็ว
หลังจากกลับบ้าน ซูหวานก็ถามว่า: “นายไปไหนมา? ทำไมกล้ามาช้าขนาดนี้?”
ฉินเฉิงถอนหายใจเล็กน้อย เค้าไม่รู้ว่าจะต้องอธิบายให้ซูหวานฟังอย่างไรดี
“มีเรื่องนิดหน่อย” ท้ายที่สุดแล้ว ฉินเฉิงก็ตัดสินใจที่จะไม่เล่าให้ซูหวานฟัง
เค้ามักจะสร้างปัญหาให้กับตระกูลซูอยู่เรื่อยๆ เค้าเองก็รู้สึกผิดเล็กน้อย
เมื่อเห็นแบบนี้ ซูหวานก็ไม่ได้ถามอะไรมาก
วันรุ่งขึ้น ฉินเฉิงก็ใช้เวลาหมดไปกับความกลัว แต่น่าแปลกที่ไม่มีใครมาเคาะประตูเลย
อีกวันต่อมา ฉินเฉิงก็เห็นพาดหัวข่าวว่านักโทษจากต่างประเทศถูกฆ่าตายในที่เกิดเหตุและคนร้ายก็ไม่สามารถที่จะระบุตัวตนได้
ภาพถ่ายและข้อมูลของคนพวกนี้มันถูกเผยแพร่ที่ด้านล่าง คนพวกนี้ก็คือหวังซูกับเฟ่ยเหล่า
จากข้อมูลก็พบว่าคนพวกนี้ทำเรื่องไม่ดีมามาก แต่ก็เก็บตัวอยู่ในต่างประเทศก็เลยไม่สามารถจับตัวได้
จากนั้นก็มีภาพกล้องวงจรปิดจากสาธารณะ ในกล้องวงจรปิดมันเห็นเพียงแค่หลังของฉินเฉิงเท่านั้น มันไม่เห็นหน้าของเค้าเลย
“อย่างงั้น พวกเค้าไม่รู้ว่าฉันเป็นคนลงมืออย่างงั้นเหรอ??” ฉินเฉิงขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อยแล้วถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
แบบนี้มันก็น่าจะพอหลีกเลี่ยงปัญหาได้
ในตอนบ่าย ฉินเฉิงก็กำลังนั่งสมาธิอยู่บนยอดเขา ในตอนนี้เอง ชายที่มีแผลเป็นที่หน้าก็เดินเข้ามาแล้วพูดว่า “คุณฉิน มีคนต้องการพบคุณ”
“มีคนต้องการพบฉัน?” ฉินเฉิงก็ขมวดคิ้วขึ้นมาแล้วถามว่า: “ใคร?”
“เจ้าสำนักฟาน” ชายที่หน้ามีแผลเป็นก็พูดขึ้นมา
ฉินเฉิงขมวดคิ้วขึ้นมา เจ้าสำนักฟาน? เค้ามาทำอะไรกัน?
ที่ห้องโถงของคฤหาสน์ ฉินเฉิงก็นั่งรออยู่ที่โซฟา
หลังจากนั้นไม่นาน เจ้าสำนักฟานก็เดินเข้ามา
“ได้เจอคุณซูซักที” เค้าทักทายซูหวานก่อน จากนั้นก็มองไปที่ฉินเฉิง
“เจ้าสำนักฟาน เชิญนั่งครับ” ฉินเฉิงยืนขึ้นและพูด
เจ้าสำนักฟานก็เดินไปที่ด้านตรงข้ามของฉินเฉิงและนั่งลง เขายิ้มและพูดว่า “งานเลี้ยงครั้งก่อน ฉันก็ลืมทักษะของคุณฉินไม่ได้เลย”
ฉินเฉิงยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าสำนักฟานเองก็ฝีมือไม่เลวเลย”
เจ้าสำนักฟานก็รู้สึกกระอักกระอ่วมขึ้นมาเล็กน้อย เค้าไอแล้วพูดว่า: “คุณฉิน วันนี้ที่ฉันมา ฉันมีเรื่องจะขอความช่วยเหลือจากคุณ ฉันไม่รู้ว่าคุณจะตอบตกลงหรือไม่…”
“เรื่องอะไรเหรอ?” ฉินเฉิงก็จิบน้ำ
เจ้าสำนักฟานก็เงียบไปซักพัก จากนั้นเค้าก็พูดว่า: “ฉันเป็นนักศิลปะการต่อสู้คนหนึ่ง ตอนที่ฉันยังเด็กฉันก็แลกเปลี่ยนประสบการณ์ศิลปะการต่อสู้มาแล้วมากมาย เหนือใต้ฉันไปมาหมด ฉันมักจะประลองกับคนอื่นๆอยู่เสมอ ตอนนี้ฉันก็แก่แล้ว สู้ไม่ได้ อย่างงั้น…”
“เจ้าสำนักฟานช่วยพูดออกมาให้ตรงประเด็นได้ไหม” ฉินเฉิงฟังต่อ เค้าไม่ได้หยุดเจ้าสำนักฟาน
เจ้าสำนักฟานก็พูดขึ้นมาอย่างกระอักกระอ่วมว่า: “มีเพื่อนเก่าของฉันพาลูกศิษย์มาซ้อมที่ยิม แต่คู่ต่อสู้ของที่ฉันมี ฉันก็ค่อนข้างกังวลใจ ดังนั้น…”
“คุณต้องการให้ฉันไปเป็นลูกศิษย์ของคุณสินะ?” ฉินเฉิงก็ขมวดคิ้วขึ้นมา
เจ้าสำนักฟานก็พยักหน้าอย่างรวดเร็วและพูดว่า: “ใช่แล้ว”
ฉินเฉิงยิ้มและพูดว่า “ตราบใดที่มีเงิน มันก็ไม่มีปัญหา”
เจ้าสำนักฟานก็พูดด้วยรอยยิ้ม: “เรื่องนี้ไม่ต้องกังวล หลังจากที่ทำเรื่องนี้แล้ว ฉันมีผลตอบแทนให้อย่างแน่นอน!”
“มาคุยกันให้ชัดเจนก่อน” ฉินเฉิงวางถ้วยน้ำชาของเขาลง “ถ้าฉันชนะ ฉันต้องการส่วนแบ่งจากโรงยิมของคุณอย่างน้อยยี่สิบเปอร์เซ็น”
สีหน้าของเจ้าสำนักฟานก็เปลี่ยนไปและเขาก็อดไม่ได้ที่จะด่าขึ้นมาในใจ: “ไอ่เด็กนี่มันโลภมากจริงๆ! ค่าคอมมิชชั่นยี่สิบเปอร์เซ็น กล้าพูดออกมาได้ยังไงกัน!”
แม้ว่าโรงยิมศิลปะการต่อสู้มันจะเล็ก แต่ชื่อเสียงของโรงยิมมันก็เป็นทุกสิ่ง เมื่อโรงยิมแพ้ผู้ท้า โรงยิมศิลปะการต่อสู้นั้นก็จะไม่มีสิทธิเปิดอีกต่อไป
ดังนั้นเจ้าสำนักฟานก็ได้เพียงแค่กัดฟันแล้วถามกลับว่า: “ได้! แต่… ถ้าคุณแพ้ล่ะ?”
“ฉันไม่มีวันแพ้” ฉินเฉิงพูดขึ้นมาอย่างเฉยชา
ครึ่งชั่วโมงต่อมา ฉินเฉิงกับเจ้าสำนักฟานก็มาที่โรงยิมศิลปะการต่อสู้
โรงยิมศิลปะการต่อสู้ตระกูลฟานถือได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งในปีนัง แหล่งรายได้ของพวกเขาไม่ใช่แค่ค่าเรียนเท่านั้น แต่ยังส่งลูกน้องออกไปเก็บค่าคุ้มครองอีกด้วย
สิ่งนี้เองมันก็ทำให้สถานะของเจ้าสำนักฟานเหนือกว่าที่จะคิดได้ แม้แต่คนอย่างจินฮู่เองก็ไม่กล้าที่จะยั่วยุเค้าเลย
เมื่อมาถึงที่ห้องรับรองชั้นบนของโรงยิม ในตอนนี้ก็มีชายหนุ่มสาวคู่หนึ่งที่กำลังรออยู่
ชายหนุ่มดูหล่อ สูงและผมสีบลอนด์ยาว มันดูราวกับโอปป้าในซีรี่เกาหลี
ส่วนผู้หญิงข้างๆ เขาอายุยังน้อยอยู่ เธอน่าจะอายุประมาณสิบเจ็ดหรือสิบแปดปี
“พ่อค่ะ ทำไมพ่อมาหาเค้า! พี่จินก็อยู่ พ่อยังจะต้องการใครอีก!” เด็กสาวพูดพร้อมกับทำหน้าบึ้งตึงเล็กน้อย