หลังจากที่ถอนสมุนไพรทั้งหมดออกมาแล้วเก็บลงห่อแล้ว ฉินเฉิงก็เตรียมที่จะกลับ
ในตอนสองทุ่ม ฉินเฉิงก็กำลังปรุงสมุนไพรอยู่ จู่ๆ ชาหนิงก็โทรเข้ามา
เค้าพูดขึ้นมาอย่างกระตือรือร้นว่า: “พี่ชาย คืนนี้ฉันจะพานายออกไปชมวิวตอนกลางคืนของเมืองจิง”
ฉินเฉิงก็ปฎิเสธขึ้นมาว่า: “ฉันไม่ไป พวกนายไปเที่ยวกันเถอะ”
“โอ่ อย่างงั้นได้ยังไงกัน การที่นายจะมาถึงที่นี่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ เราต้องทำตัวในฐานะเจ้าบ้านที่ดีสิ” เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ ชาหนิงก็หยุดแล้วกระซิบขึ้นมาว่า: “นี่คือความหมายของกงฮุ้ย”
ฉินเฉิงก็ยิ้มขึ้นมาอย่างขมขื่น เค้าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากตอบตกลง
หลังจากที่บอกที่อยู่กับชาหนิงไปแล้ว ประมาณครึ่งชั่วโมงต่อมา รถก็มาถึงที่หน้าประตูโฮมสเตย์
“นายอยู่ที่นี่เหรอ?” เมื่อลงจากรถมา กงฮุ้ยก็ขมวดคิ้วขึ้นมา
ฉินเฉิงก็อธิบายขึ้นมาว่า: “วิวที่นี่มันดีกว่าแล้วมันก็ใกล้ชิดธรรมชาติมากยิ่งกว่า”
“ไม่มีเงินก็คือไม่มีเงิน ไม่ต้องมาแก้ต่างหาข้ออ้างให้ตัวเองหรอกน่า ฉันไม่สนคนอย่างนายหรอก” กงฮุ้ยก็บ่นขึ้นมา
ฉินเฉิงเองก็ไม่ได้โกรธแล้วโบกมือของเค้าขึ้นมา: “ขึ้นรถเถอะ”
รถก็ขับมุ่งหน้าไปยังเมือง ระหว่างทางชาหนิงก็พูดขึ้นมาว่า: “นายรู้ไหมว่าเมืองจิงมีชื่อเสียงในเรื่องอะไรมากที่สุด?”
ฉินเฉิงก็ครุ่นคิดอยู่ซักพัก จากนั้นเค้าก็พูดขึ้นมาว่า: “น่าจะเป็นวิวอย่างงั้นเหรอ?”
“ฮ่าๆ” ชาหนิงก็ส่ายหัวของเค้าขึ้นมาแล้วพูดว่า: “วิวมันก็ถือว่าเป็นส่วนสำคัญของเมืองจิง แต่ที่โด่งดังมากที่สุดก็คือสนามมวย นายไม่รู้เหรอ เมืองจิงนี่มันเป็นต้นกำเนิดของศิลปะการต่อสู้เลยนะ”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ ชาหนิงก็ดูภูมิใจเล็กน้อย เค้าโบกมืองของเค้าขึ้นมาแล้วพูดว่า: “อย่างเช่นฉัน มองผ่านแล้วก็ดูธรรมดาๆ ใช่ไหม? แต่คนทั่วไปสามถึงห้าคนก็ไม่สามารถเข้าใกล้ตัวฉันได้เลยนะ!”
“จริงเหรอ?” ฉินเฉิงก็ยิ้มขึ้นมาแต่เค้าก็ไม่ได้ขัดอะไร
“เดี๋ยวฉันจะพาไปดูมวย มันมีเวทีมวยใต้ดิน ที่นั่นมันมีพวกลูกคนรวยหลายคนไปรวมตัวกัน” ชานหนิงก็พูดขึ้นมาอีกว่า: “แน่นอนว่าที่นั้นมันก็มีคนที่มีฝีมืออยู่มากเช่นกัน”
ฉินเฉิงก็ไม่ค่อนที่จะสนใจอะไรกับเรื่องนี้ ดังนั้นเค้าก็เลยได้แต่ตอบตกลง
รถมาถึงที่สนามมวยใต้ดิน ที่นี่มันเหมือนลานประมูลมันต้องมีบัตรเข้าด้วย
หลังจากรับบัตรแล้วก็หาที่นั่ง
ชาหนิงมีความตั้งใจเป็นอย่างยิ่งที่จะเป็นเจ้าบ้านที่ดี เค้าชี้ไปที่นักมวยแล้วพูดว่า: “บอกแล้วไงว่าที่นี่ฉันไม่เคยแพ้เลย ฉันสามารถที่จะบอกได้เลยว่าใครแพ้หรือชนะในเวลาเพียงแค่พริบตา! หลังจากที่เดิมพันเงินแล้ว ก็รอรับเงินได้เลย!”
ฉินเฉิงกับชายที่มีแผลเป็นบนใบหน้าก็มองหน้ากัน จากนั้นทั้งสองก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน
กงฮุ้ยกับกงเหยาก็ไม่ได้สนใจอะไรกับเรื่องนี้มากนัก พวกเค้าเธอก็เลยไปที่ลานเครื่องดื่มของเวทีมวย
บนเวทีมันก็มีนักมวยสองคนที่กำลังต่อสู้กันอยู่ กังฟูของพวกเค้ามันสูสีกันมาก พวกเค้าต่างก็เป็นศิลปะการต่อสู้แบบดั้งเดิมกับการต่อสู้แบบฟรีสไตล์สมัยใหม่ แต่พวกเค้าต่างก็มีเพียงแค่วัตถุประสงค์เดียวก็เท่านั้น มันคือการล้มคู่ต่อสู้โดยที่ไม่คำนึงถึงวิธีการของมันเลยด้วยซ้ำ
หลังจากที่ผ่านไปแล้วสองสามรอบ ฉินเฉิงก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา: “ดูเหมือนว่าที่เมืองจิงนี่มันจะไม่ไร้สาระเลยนะ ที่เวทีมวยใต้ดินนี่มีคนที่มีฝีมือไม่น้อยเลยนะ”
ชายที่มีรอยแผลเป็นที่หน้าก็พยักหน้าขึ้นมาเล็กน้อยแล้วพูดว่า: “หลังจากที่ผ่านไปแล้วสองสามรอบ ผมได้เห็นกระบวนท่าต่างๆ มากมาย มวยไทเก็ก มวยถงจี้ มวยใต้หรือแม้แต่มวยบ้าน”
“นี่พี่เองก็รู้จักกังฟูพวกนี้ด้วยเหรอครับ?” ชาหนิงก็มองไปที่ชายที่มีแผลเป็นบนใบหน้าด้วยความแปลกใจ
ชายที่มีแผลเป็นที่หน้าก็พูดไม่ค่อยเก่ง เค้าเลยแค่พยักหน้าขึ้นมา
ทันใดนั้นเองชาหนิงก็ดูเหมือนว่าจะเปิดสนทนาแล้วคอยพูดอยู่ที่ข้างๆ อย่างไม่หยุด
แต่ฉินเฉิงก็ไม่ฟังอะไร เค้าจ้องมองไปที่เวทีอย่างใกล้ชิดเพื่อเปรียบเทียบความแข็งแกร่งของพวกเค้าอย่างต่อเนื่อง
“ถ้าเป็นฉันขึ้นไปหละก็ ฉันน่าจะชนะทั้งหมดนี่ได้อย่างแน่นอน” ฉินเฉิงก็คิดกับตัวเอง
“นี่ไม่ใช่ชาหนิงเหรอ?” ในตอนนี้เอง สาวน้อยคนหนึ่งที่สวมกระโปรงสั้น เธอก็เดินเข้ามา
หลังจากที่มองเห็นคนๆ นี้ ชาหนิงก็ขมวดคิ้วของเค้าขึ้นมาเล็กน้อยแล้วหันหน้าหนีไปทางอื่นในทันที
สาวที่สวมกระโปรงอยู่ก็เยาะเย้ยแล้วพูดขึ้นมาว่า: “นายมาทำอะไรที่นี่? ครั้งก่อนที่สั่งสอนไปลืมไปหมดแล้วเหรอ?”
สีหน้าของชาหนิงก็แดงขึ้นมา เค้าเองก็ไม่อย่างที่จะพูดอะไรเลย
สาวที่สวมกระโปรงสั้นเธอก็ใช้มือของเธอดันเข้าไปที่ไหล่ของชาหนิงแล้วตะโกนออกมาว่า: “ฉันพูดกับนายอยู่นะ นายไม่ได้ยินที่ฉันพูดอย่างงั้นเหรอ?”
ชาหนิงก็กัดฟันแล้วพูดออกมาว่า: “กูอยากจะไปไหน มันเกี่ยวอะไรกับมึง?”
เมื่อได้ยินอย่างงั้นสาวที่สวมกระโปรงสั้นเธอก็โกรธขึ้นมา เธอก็ชี้เข้าไปที่ชาหนิงแล้วด่าขึ้นมาว่า: “กล้ามากสินะ ได้ มึงรอกูได้เลย”
หลังจากพี่พูดประโยคนี้จบ เธอก็สะบัดก้นแล้วเดินจากไป
“นายรู้จัก?” ฉินเฉิงก็ถามขึ้นมา
ชาหนิงก็พูดขึ้นมาอย่างกระอักกระอ่วมว่า: “แฟนเก่าหนะ ต่อมาก็โกงมวยที่นี่แล้วโดนฉันตบไป”
“หลังจากนั้นหละ?” ฉินเฉิงก็ถามขึ้นมาด้วยความสนใจ
“หลังจากนั้น….หลังจากนั้นก็บังเอิญมาเจอกันที่นี่….” ชาหนิงยิ่งพูดก็ยิ่งเสียงเบาลง
“หลังจากนั้นก็โดนแฟนหนุ่มนักมวยของเธอต่อยเหรอ?” ฉินเฉิงก็พูดติดตลกขึ้นมา
ใบหน้าของชาหนิงก็แดงกร่ำขึ้นมา แต่เค้าก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา มันเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าเค้ายอมรับมันไปโดยปริยาย
“พวกเรารีบไปกันเถอะ” หลังจากที่ฟังมาครั้งแล้วครั้งเล่า ชาหนิงก็พูดแล้วลุกขึ้นมา
“ไปแล้วเหรอ? ฉันยังดูไม่พอเลยนะ” ฉินเฉิงก็พูดขึ้นมา
“วันหลังค่อยกลับมาก็แล้วกัน โอเคไหม?” ชาหนิงก็ดูท่าว่าจะกลัวขึ้นมาอย่างเห้นได้ชัด เค้าดึงแขนของฉินเฉิงอย่างแรงแล้วเดินไปทางเครื่องดื่ม
ฉินเฉิงกับชายที่มีแผลเป็นที่หน้าก็เดินตามเค้ามาตลอดทางจนถึงที่เครื่องดื่ม
ในตอนนี้เอง กงฮุ้ยกับกงเหยาก็กำลังนั่งคุยกันอยู่ หลังจากที่ชาหนิงเดินเข้ามา เค้าก็เร่งเร้าขึ้นมาว่า: “งั้น พวกเราไปกันเถอะ ไปที่อื่นกันดีกว่า”
“ทำไมรีบหละ?” กงฮุ้ยก็พูดขึ้นมาอย่างประหลาดใจ
“อืม” ชาหนิงก็ไม่อายที่จะอธิบาย แต่แววตาของเค้าก็กวาดมองไปทุกทิศทุกทาง
ในตอนนี้เอง สาวที่สวมกระโปรงสั้นเธอก็เดินเข้ามาพร้อมกับชายนักกล้ามร่างโต
สีหน้าของชาหนิงก็เปลี่ยนไปในทันทีแล้วเค้าก็กลัวขึ้นมา
“ที่รัก จัดการมันให้ฉันทีสิ!” สาวที่สวมกระโปรงสั้นก็ชี้ไปที่ชาหนิงแล้วพูดขึ้นมาอย่างชั่วร้าย
นักมวยตัวใหญ่เท่าเขา เค้าบีบเข้าไปที่ไหล่ของชาหนิงแล้วพูดออกมาพร้อมกับรอยยิ้มว่า: “แกกล้ามากนะ กล้าที่จะมายั่วโมโหแฟนฉัน รอบก่อนที่ต่อยแกไป แกลืมไปแล้วใช่ไหม?”
แม้ว่าชาหนิงจะกลัว แต่ต่อหน้าของผู้คนมากมาย เค้าก็ทำใจดีสู้เสือแล้วพูดว่า: “แก…แกเก่งมากจากไหนกัน ถ้าในสังเวียนฉันไม่มีทางแพ้แกอย่างแน่นอน…..”
นักมวยคนนั้นก็ตกตะลึง จากนั้นเค้าก็หัวเราะออกมาแล้วพูดว่า: “แกเอาจริงสิ? ถ้าอย่างงั้นเราสองคนก็มาขึ้นสังเวียนแล้วเดิมพันกันด้วยชีวิต แกกล้าไหม?”
จู่ๆ สีหน้าของชาหนิงก็ยิ่งดูน่าเกลียดขึ้นไปอีก ความแตกต่างระหว่างสองคนมากขนาดนี้ เค้าจะไปสู้ได้ยังไงกัน
“ฉัน….วันนี้ฉันไม่ค่อยสบาย ฉันไม่อยากทะเลาะด้วย” ชาหนิงก็หน้าแดงแล้วพูดขึ้นมา
นักมวยนั่นก็หัวเราะเยาะขึ้นมา: “ไปตายซะ กล้ามาบอกว่าไม่สบาย พูดไร้สาระให้มันน้อยๆ หน่อย จะคุกเข่าลงขอโทษแฟนฉันหรือว่าขึ้นสังเวียงก็เลือกเอาเองก็แล้วกัน”
“นายเป็นนักมวยอย่างงั้นเหรอ นี่กำลังรังแกคน?” กงเหยาก็พูดขึ้นมาอย่างโกรธเคือง
“มันเกี่ยวอะไรกับเธอไม่ทราบ? เธอเองมาจากที่ไหนกัน? ไม่รู้เหรือว่าฉันสามารถโยนเธอทิ้งไว้ที่หลังเวทีแล้วเอาให้ตายไปได้เลย?” สาวที่สวมกระโปรงสั้นเธอก็พูดขึ้นมา
กงเหยาก็ดูเหมือนว่าต้องการที่จะพูดอะไรบางอย่าง ชาหนิงก็โบกมือของเค้าขึ้นมาเพื่อห้ามเธอเอาไว้
“ทำไมหละ คุณชาชา หรือว่าจะคุกเข่าขอโทษกันนะ หรือว่าจะไปขึ้นสังเวียนดี?” นักมวยก็ยังคงแตะเข้าไปที่ไหล่ของชาหนิงแล้วถามขึ้นมา
ชาหนิงก็เปิดปากของเค้าขึ้นมา เค้าไม่รู้เลยว่าเค้าจะต้องทำอย่างไรดี
“เพื่อนของฉันก็เป็นมวย ทำไมนายไม่ลองสู้กับเค้าซักหน่อยหละ”
นักมวยก็เหลือบมองไปที่ฉินเฉิงแล้วถอนหายใจออกมา: “ได้สิ ถ้าคนอยากตาย ฉันก็จะสนองมันเอง”
ฉินเฉิงก็พยักหน้าขึ้นมา เค้ามองไปที่ชายที่มีแผลเป็นที่หน้าแล้วพูดว่า: “เค้าบอกว่าเล่นกันถึงตายวะ”
ชายที่มีรอยแผลเป็นที่หน้าก็โน้มตัวเล็กน้อยแล้วพูดว่า: “ทราบแล้วครับ คุณฉิน”