แม้ว่าตี๋รุ้ยเจี๋ยจะไม่อยากที่จะเชื่อ แต่ร่างกายของเค้ามันก็ทรมานมาก ในตอนนี้เค้าก็แทบอยากที่จะตาย!
ในสถานการณ์แบบนี้เอง เค้าก็ไม่ได้สนใจอะไรเลย เค้าปัดมือของเค้าขึ้นมาด้วยความเจ็บปวด: “โทรหา….ไอ่เด็กนั่นซิ…..”
“ครับ!” คนรอบข้างก็ไม่กล้าที่จะเฉยเมย พวกเค้ารีบหยิบโทรศัพท์ของเค้าขึ้นมาแล้วโทรหาฉินเฉิง
แต่น่าเสียดายที่โทรไม่ติด หลังจากที่ฉินเฉิงเห็นว่าเป็นเบอร์ที่โทรมาจากในมณฑล เค้าก็กดตัดสาย
“คุณตี๋ เค้า….เค้าไม่รับครับ…..”
ตี๋รุ้ยเจี๋ยหยิกผมของตัวเอง เค้าแทบจะร้องลั่นออกมา: “ไปหาคุณซู ไปหาคุณซู!”
ที่คฤหาสน์ตระกูลซู
ชายชราซูก็กำลังรำมวยไทเก็ก
ตั้งแต่ที่กินยาที่ได้มาจากฉินเฉิง สุขภาพของเค้าก็ดีขึ้นมาเรื่อยๆ มันราวกับว่าอายุของเค้าน้อยลงไปกว่าสิบปี
บนสนามหญ้าขนาดใหญ่ มันก็มีสาวสวยคนหนึ่ง เธอกำลังนั่งกุมแก้มของเธอคิดอะไรบางอย่าง
“ซูหวาน เธอกำลังคิดอะไรของเธออยู่?” ชายชราซูก็เช็ดเหงื่อของเค้าแล้วนั่งลงที่ข้างๆ ซูหวาน
ซูหวานก็ส่ายหัวขึ้นมาแล้วพูดว่า: “หนูไม่ได้คิดอะไร”
“กำลังคิดถึงฉินเฉิงอยู่ใช่ไหม?” ชายชราซูก็ทำท่าทีเหมือนกันว่ากำลังวางแผน
ซูหวานก็หน้าแดงแล้วส่ายหัวขึ้นมา เธอพูดขึ้นมาว่า: “ไม่….หนูก็แค่เป็นห่วงเค้านิดหน่อย ได้ยินเรื่องที่พวกเค้าพูดคุยกันเมื่อคืนนี้ หนูก็แอบไม่สบายใจนิดหน่อย”
“กังวล?” ชายชราซูก็จิบชา “เธอคิดว่าฉินเฉิงก็สามารถที่จะจัดการกับตี๋รุ้ยเจี๋ยได้ไหม?”
ซูหวานก็ถอนหายใจออกมา: “ไม่ใช่ว่าหนูไม่เชื่อเค้า แต่….แต่ฉินเฉิงก็ยังเด็กเกินไป แล้วเค้าก็ตัวคนเดียว……”
“บางครั้ง คนๆ เดียวก็สามารถที่จะเอาชนะทหารกับม้านับพันได้” ชายชราซูเองก็พูดเบาๆ ขึ้นมา “ในตอนนั้น ที่เมืองปีนังก็มีชายแปลกหน้าที่มีความสามารถปรากฎตัวขึ้นมา ในที่สุดเค้าก็กระตุ้นฝ่ายความมั่นคงแล้วหัวหน้าฝ่ายความมั่นคงระดับสูงก็เชิญเค้าเป็นการส่วนตัว เค้าเองก็เป็นแค่คนๆ เดียวเหมือนกัน”
ซูหวานก็มองไปที่ชายชราซู จากนั้นเธอก็พูดขึ้นมาอย่างประหลาดใจ: “คุณปู่หมายถึง เย่อชิงยุนเหรอค่ะ?”
“ถูกต้อง” ชายชราซูก็ยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย
ซูหวานเองก็ยิ่งประหลาดใจขึ้นไปอีก ในตอนนี้เย่อชิงยุนก็ไม่ได้เป็นแค่ตำนานของเมืองปีนังเท่านั้น แต่เค้ายังโด่งดังมากในเมืองจิงตูอีกด้วย!
และชายชราซูเองก็เอาฉินเฉิงมาเปรียบเทียบกับเย่อชิงยุรอย่างงั้นเหรอ? การประเมินของเค้ามันจะสูงไปไหม?
“ดูสิ ใครมา” ในตอนนี้เอง ชายชราซูก็ชี้นิ้วของเค้าขึ้นมา
ที่ประตูก็มองเห็นตี๋รุ้ยเจี๋ยที่มีหลายคนกำลังพยุงกันเข้ามา
“นายท่านซู……” ตี๋รุ้ยเจี๋ยก็ดูทุลักทุเลและน่ากลัวมากในตอนนี้ ด้วยเวลาเพียงแค่ไม่ถึงหนึ่งวันเท่านั้น น้ำหนักของเค้าก็หายไปมากกว่ายี่สิบกิโล สภาพของเค้าในตอนนี้มันดูราวกับผี
“เสี่ยวตี๋ เธอเป็นอะไรไป?” แม้ว่าชายชราซูจะเดาออกอยู่แล้ว แต่เค้าก็ยังคงสงบนิ่ง
“นายท่านซู….ได้โปรด…..ช่วยฉัน….” ตี๋รุ้ยเจี๋ยจิกเข้าไปที่ผมของเค้าด้วยความเจ็บปวด “ตามฉินเฉิงให้ผมหน่อย…..ได้ไหม…..”
ชายชราซูก็ค่อยๆ วางแก้วชาในมือของเค้าลง เค้ายิ้มขึ้นมาเล็กน้อยแล้วพูดว่า: “ฉันบอกเธอแล้วไงว่าฉันจะไม่เข้าไปยุ่งกับเรื่องของพวกเธอ เธอควรที่จะจัดการมันด้วยตัวของเธอเองนะ”
เมื่อได้ยินแบบนี้ ตี๋รุ้ยเจี๋ยก็คุกเข่าลงไปที่พื้นพร้อมกับเสียง “พัฟ” เค้าอ้อนวอนขึ้นมาอย่างขมขื่น: “ผมขอร้องหละ ถือซะว่าคุณเป็นเก่าของพ่อผม ช่วยผมด้วย….ผมทรมานมากจริงๆ นะครับ…..”
ชายชราซูก็ส่ายหัวขึ้นมาแล้วพูดว่า: “ความยุติธรรมก็คือความยุติธรรม เมื่อเธอต้องการที่จะจัดการกับฉินเฉิง ฉันเองก็ไม่ได้ห้าม ตอนนี้จะมาให้ฉันขอร้องเค้าแทน งั้นฉันจะเอาหน้าของฉันไปไว้ที่ไหนกัน?”
สีหน้าของหวงหลงก็แดงขึ้นมา คำพูดเหล่านี้มันเห็นได้อย่างชัดว่าเค้ากำลังด่าทอกันอยู่
“ถ้าหากว่าเป็นตัวต้นเหตุ อย่างงั้นจะให้ใครแก้ให้มันก็ไม่ได้หรอก” ชายชราซูก็พูดขึ้นมาอย่างจริงจัง “แต่ฉันบอกได้เลยว่าตอนนี้ฉินเฉิงเค้าไม่ได้อยู่ที่ปีนังนี่แล้ว”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้แล้ว ชายชราซูก็เหลือบมองไปที่นาฬิกาของเค้า: “ตอนนี้ เค้าก็น่าจะอยู่ที่เมืองจิงแล้ว”
“เมื่องจิง….” สีหน้าของตี๋รุ้ยเจี๋ยก็เปลี่ยนไป ก่อนที่เค้าจะคิดได้ คนที่อยู่ที่รอบตัวของเค้าก็พูดขึ้นมาแล้วว่า: “ไปที่เมืองจิง…..”
หลังจากที่ตี๋รุ้ยเจี๋ยจากไปแล้ว ซูหวานก็พูดขึ้นมาอย่างมีความสุขด้วยว่า: “คุณปู่ ปู่เองก็รู้ตั้งแต่แรกอยู่แล้วเหรอ?”
ชายชราซูก็ยิ้มขึ้นมาแล้วพูดว่า: “แม้ว่าปู่จะบอกว่าปู่ไม่ควรเข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้ แต่ปู่จะไปปล่อยให้คนอื่นทำร้ายหลานเขยของปู่ได้ยังไงกัน ไม่อย่างงั้นหลานสาวตัวน้อยของปู่ก็คงจะเกลียดปู่ไปตลอดทั้งชีวิตที่เหลือสินะ?”
ซูหวานก็หน้าแดงขึ้นมา เธอก็พูดอย่างโกรธเคืองขึ้นมา: “หนูไม่สนใจปู่แล้ว!”
ชายชราซูก็หัวเราะออกมา เค้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วพูดขึ้นมาอย่างช้าๆ ว่า: “มันกำลังจะเปลี่ยนไป”
…
ที่ บขส เมืองจิง ชายที่มีรอยแผลเป็นที่หน้าก็ถือกระเป๋าใบใหญ่แล้วโค้งคำนับ
ฉินเฉิงกับกงเหยาเดินนำหน้า พวกเค้าพูดคุยกันอย่างมีความสุข
“รถลุงรองของฉันอยู่ข้างหน้า ไป ฉันจะไปส่งนายเอง” กงเหยาก็พูดขึ้นมา
“ไม่ต้องหรอก พวกเราจะไปรถแท็กซี่กันเอง” ฉินเฉิงก็ส่ายหัวขึ้นมา
“โอ้ ทำไมนายถึงได้ขี้เกรงใจขนาดนี้ ไปเถอะน่า” กงเหยาก็พูดขึ้นมาอย่างกระตือรือร้น
การปฎิเสธมันเป็นเรื่องยากแล้วฉินเฉิงเองก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากตอบตกลง
ที่ทางออก มันก็มีรถเบ้นซ์คลาสเอสที่จอดรออยู่
หลังจากที่กงเหยามองเห็น หน้าต่างของรถมันก็เลื่อนลงมา จากนั้นก็เห็นใบหน้าของหญิงสาวคนหนึ่งที่อยู่ข้างในนั้น
ผู้หญิงคนนี้เธอสวมแว่นกันแดด เธอโบกมือแล้วร้องตะโกนออกมา
“พี่” กงเหยาก็รีบเดินเข้าไปแล้วกล่าวทักทาย จากนั้นก็แนะนำขึ้นมาว่า: “นี่คือเพื่อนร่วมชั้นเรียนของหนู ฉินเฉิง”
ลูกพี่ลูกน้องของเธอก็มองไปที่ฉินเฉิง: “เสื้อยืดราคาสิบหยวน น้องเท้าที่ซื้อมาจากร้านข้างถนน กางเกงผ้าฝ้าย”
“ขึ้นรถเถอะ” ลูกพี่ลูกน้องของเธอก็พูดขึ้นมาว่า: “เดี๋ยวฉันจะพาเธอไปกินข้าว”
กงเหยาก็รีบเปิดประตูรถแล้วส่งสัญญาณให้ฉินเฉิงขึ้นรถในทันที
ในตอนนี้เอง ลูกพี่ลูกน้องของเธอก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง: “ในรถทีถุงพลาสติก ใส่มันซะ อย่าทำให้รถฉันสกปรกหละ”
ฉินเฉิงก็ขมวดคิ้วขึ้นมาในทันที เค้าเหลือบมองไปที่กงเหยาแล้วพูดว่า: “พวกเธอไปกันก่อนเถอะ เราจะไปรถแท็กซี่กันเอง”
“โอ้ย แท็กซี่อะไรกัน มันไม่สะดวกหรอก รีบขึ้นรถเถอะ” กงเหยาก็เชิญอย่างกระตือรือร้น
ฉินเฉิงก็เหลือบมองไปที่ลูกพี่ลูกน้องของเธอ ในที่สุดเค้าก็ขมวดคิ้วขึ้นมาแล้วขึ้นรถไป
ระหว่างทางลูกพี่ลูกน้องของเธอก็พูดขึ้นมาว่า: “เหยาเหยา พี่ไม่ได้บอกไปแล้วหรอกเหรอ ความสัมพันธ์ที่ไร้ประโยชน์บางอย่างมันก็ไม่จำเป็นต้องรักษาเอาไว้หรอกนะ มันจะกลายเป็นภาระกับเธอซะมากกว่านะ”
เห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่านี่มันเป็นการพูดถึงฉินเฉิง เมื่อกงเหยาได้ยิน เธอก็ดูกระอักกระอ่วมขึ้นมา เธอไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี
ฉินเฉินเงียบ เค้าทำราวกับว่าเค้าไม่ได้ยินอะไรเลย
ในตอนที่รถขับมาถึงที่ร้านอาหาร พอลงจากรถ มันก็มองเห็นชายหนุ่มหล่อรูปร่างสูงที่รออยู่
หลังจากที่ลงมาจากรถ ลูกพี่ลูกน้องของกงเหยาก็แนะนำขึ้นมาสั้นๆ ว่า: “นี่คือน้องของฉัน กงเหยา ส่วนสองคนนี้ก็เป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนของเธอ เค้าชื่อ อะไรนะ…..ชื่ออะไรนะ?”
ฉินเฉิงก็พูดขึ้นมาโดนไม่เปลี่ยนสีหน้าว่า: “ฉินเฉิง”
ชายหนุ่มคนนั้นเค้าก็พูดขึ้นมาอย่างประหลาดใจว่า: “ฉินเฉิง? ฉันได้ยินมาว่าเค้าเป็นชายหนุ่มคนหนึ่งที่มีชื่อเสียงในปีนังที่พึ่งจะดังขึ้นมาเร็วๆ นี้ แล้วก็ฉินเฉิงก็ยังเป็นลูกเขยของตระกูลซูด้วยใช่ไหม?”
ฉินเฉิงก็ยังไม่ทันจะได้พูดอะไร ลูกพี่ลูกน้องของเธอก็หัวเราะเยาะขึ้นมาแล้วพูดว่า: “เค้ามีชื่อเสียงขนาดนั้น ลูกเขยของตระกูลซูจะมานั่งรถทัวร์อย่างงั้นเหรอ?”