หลังจากที่ได้ยินในสิ่งที่ฉินเฉิงพูดออกมา จ้าวซานก็ตกตะลึงไปในทันที
ทันใดนั้นเอง ทุกคนต่างก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราออกมา
“ไอ่เวรนี่มันเสียสติไปแล้วอย่างงั้นเหรอ? พี่ซาน พี่ได้ยินที่มันพูดไหม?”
“ฮ่าๆ มันบอกว่ามันจะปล่อยพวกเราไปอย่างงั้นเหรอ ครั้งก่อนไม่ใช่ว่ามันโดนตีจนหัวแตกหรอกเหรอ?”
“ดูกำปั้นน้อยๆ มองมันสิ โถ่พ่อหนุ่ม!”
ฉินเฉิงเองก็เพิกเฉยต่อคำเยาะเย้ยของคนพวกนี้ เค้าเพียงแค่มองไปที่จ้าวซานอย่างเย็นชา
แม้ว่าตอนนี้ฉินเฉิงจะอยู่ที่ขั้นที่ต่ำที่สุดของการกลั่นพลังปราณของเค้า แต่การที่จะจัดการกับพวกนักเลงนี่ มันก็ไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรมากเลย
จ้าวซานก็เอามือแนบไปที่หู เค้าถือไม่กระบอกเอาไว้ข้างหนึ่งแล้วเอนหูเข้าไปที่ฉินเฉิง จากนั้นเค้าก็ถามขึ้นมาว่า: “แกพูดอะไรนะ? ฉันได้ยินไม่ชัด แกพูดมาอีกรอบซิ?”
“ฉันบอกว่า….แกต้องการเหรอ”
“แม่มึงตาย!” ก่อนที่ฉินเฉิงจะพูดจบจ้าวซานก็คว้าไม้กระบองนั่นแล้วทุบเข้าไปที่หัวของฉินเฉิง
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่ไม้กระบอกของเค้าฟาดไปได้ครึ่งทาง ฉินเฉิงก็คว้าเข้าไปที่มือของเค้า
หลังจากนั้น ฉินเฉิงก็ยกมือของเค้าขึ้นมาแล้วตบเข้าไปที่หน้าของจ้าวซาน
มันมีเพียงแค่เสียง “ผั๊วะ” ที่ดังขึ้นมา จากนั้นเอง จ้าวซานก็ลอยกระเด็นออกไป
สีหน้าของคนที่พึ่งจะหัวเราะเยาะฉินเฉิงเมื่อกี้ ในตอนนี้พวกเค้าต่างก็หยุดนิ่งกันไปในทันที
บางคนเองก็ถึงกับขยี้ตาของตัวเองอย่างแรง มันราวกับว่าพวกเค้าไม่อยากที่จะเชื่อในสิ่งที่อยู่ตรงหน้าของพวกเค้าเลย
“แกกล้าที่จะตบฉัน…..” จ้าวซานก็พ่นเลือดออกมา เค้าลุกขึ้นมาจากพื้นแล้วพูดด้วยความโกรธเคืองว่า: “วันนี้กูเอามึงตายแน่! จัดการมัน!”
ตามคำสั่งนั่น ชายสี่ห้าคนพวกเค้าก็กระโจนเข้าใส่ในทันที
แต่หลังจากที่ผ่านไปเพียงแค่ครึ่งนาทีเท่านั้น พวกเค้าทั้งหมดก็กระเด็นออกไปแล้วล้มลงไปกองกันอยู่ที่พื้น
จ้าวซานเองก็กลืนน้ำลายของตัวเอง สีหน้าของเค้ามันเต็มไปด้วยความประหลาดใจและความกลัว
ฉินเฉิงนี่มันก็เป็นเพียงแค่ไก่อ่อนก็เท่านั้น มันจะไปมีทักษะขนาดนี้ได้ยังไงกัน?
ในตอนนี้เอง จ้าวซานก็ตกตะลึงกับการที่ฉินเฉิงได้ก้าวข้ามไปอีกขั้น
“แก….แกคิดที่จะทำอะไรของแก!” จ้าวซานก็กล่าวขึ้นมาด้วยความกลัว “ฉันของเตือนก่อนนะ แกอย่ามาแตะต้องตัวฉัน ไม่อย่างงั้น…..โอ้ยยยยย!!”
ก่อนที่เค้าจะพูดจบ ฉินเฉิงก็แตะเข้าไปที่หัวเข่าของเค้า
จ้าวซานก็รู้สึกราวกับว่าขาของเค้าหัก มันมีความเจ็บปวดที่รุนแรงจนทำให้เค้าทรุดตัวลงไปอยู่ที่พื้น “พัฟ”
“กลับไปบอกหลินชิงเฉิงซะว่าฉันหย่ากับเธอแล้ว เธอก็ไม่ควรที่จะมายั่วยุอะไรฉันอีก” ฉินเฉิงพูดขึ้นมาอย่างเย็นชา
หลังจากที่พูดประโยคนี้ออกไปแล้ว ฉินเฉิงก็หันหน้าแล้วจากไป
จ้าวซานก็กัดฟันของเค้า เค้าตะโกนขึ้นมาว่า: “รอกูก่อน กูไม่ปล่อยมึงไปแน่!!”
…
หลังจากที่ฉินเฉิงออกมาจากชุมชนหลงไห่แล้ว เค้าก็ตรงไปที่ตลาดปีนัง
ในใจของเค้าก็รู้สึกตื่นเต้นแล้วก็เป็นกังวลขึ้นมาเล็กน้อย
ในที่สุดเค้าก็สั่งสอนจ้าวซานไอ่คนสารเลวนี่ได้ เค้าเองก็ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
ความเป็นกังวลที่เค้ามีก็คือปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต
ภูมิหลังของจ้าวซานมันก็พอๆ กันกับตระกูลหลิน จ้าวซานเองก็มีรู้จักกับคนในปีนังไม่น้อย การที่เค้าสามารถที่จะเอาชนะได้ในครั้งนี้ จ้าวซานไม่มีวันที่จะยอมแพ้อย่างแน่นอน
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ฉินเฉิงก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาเล็กน้อย
“ค่อยเป็นค่อยไปก็แล้วกัน” ฉินเฉิงพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มที่บิดเบี้ยว
หลังจากที่เดินไปรอบๆ ตลาดปีนังแล้วทั้งวัน เค้าก็ไม่ได้อะไรติดมือมาเลย
ในตอนเย็นนี้เอง ฉินเฉิงก็ถอนหายใจออกมาเล็กน้อย: “ดูเหมือนว่าหนทางการฝึกฝนนี่…..มันยากกว่าที่คิดไว้นะ”
ในตอนนี้เองก็มีคนโทรเข้ามา
เค้าหยิบโทรศัพท์ของเค้าขึ้นมา ฉินเฉิงก็เห็นว่าคนที่โทรเข้ามาก็คือหลินชิงชือ
เมื่อมองเห็นเบอร์ของเธอ ฉินเฉิงก็ขมวดคิ้วของเค้าขึ้นมา แววตาของเค้าที่เต็มไปด้วยความรังเกียจมันก็ปรากฎขึ้นมา
อย่างไรก็ตาม ฉินเฉิงก็รับสาย
“เอาหละ ไอ่คนไร้ค่า แกกล้าที่จะลงไม้ลงมือกับจ้าวซานอย่างงั้นเหรอ! ฉันจะบอกแกให้นะว่าตอนนี้เค้าเข่าหัก! แกบอกว่าสิว่าจะทำยังไง!” หลังจากที่กดรับสายแล้ว หลินชิงชือก็ด่าทันที….
ฉินเฉิงก็พูดขึ้นมาอย่างเย็นชาว่า: “นั่นคือสิ่งที่มันสมควรได้รับ”
“แก!” หลินชิงชือโกรธมาก เธอหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดว่า: “ฉินเฉิง แกรอจ้าวซานติดต่อจินฮู่ได้เลย ฉันเองก็อยากจะรู้ว่าแกจะทำยังไง!”
หลังจากที่พูดออกมาแบบนี้แล้ว หลินชิงชือก็ตัดสายไปในทันที
การแสดงออกของฉินเฉิงเปลี่ยนไปเล็ใกน้อย จินฮู่เป็นที่รู้จักกันดีในปีนัง เค้าเริ่มต้นธุรกิจของเค้าด้วยวิธีการที่ไร้ยางอาย หลังจากนั้นธุรกิจของเค้ามันก็เข้าสู่กลุ่มอุตสาหกรรมอสังการิมทรัพย์แล้วก็มีลูกน้องอยู่ภายใต้การควบคุมของเค้ามาก
มันพูดได้เลยว่า ในปีนังนี่ มันไม่มีใครกล้าที่จะยั่วยุจินฮู่เลย!
“ถ้าหากว่าตอนนี้ฉันอยู่ที่ขั้นของพลังปราณขั้นที่สอง ฉันก็ไม่จำเป็นต้องกลัวอะไรเค้า” ฉินเฉิงก็แอบถอนหายใจออกมา
แต่เค้าเองก็ไม่ได้กังวลอะไรมาก เพราะตอนนี้เค้าเองก็มีทักษะทางการแพทย์แล้ว ต่อให้เค้าโดนทำร้าย เค้าก็สามารถที่จะฟื้นตัวเองได้ในไม่ช้า
….
ที่โรงน้ำชาจิงเต่า จ้าวซานก็กำลังเดินกะเผลกขึ้นไปที่ชั้นบน
ที่ล็อบบี้ชั้นสอง มันก็มีชายหัวล้านร่างใหญ่พร้อมกับชายอีกเจ็ดแปดคนที่อยู่ข้างกายเค้า
“พี่ฮู่ พี่ต้องจัดการมันให้ผมนะ!” จ้าวซานก็ทนต่อความเจ็บปวดที่ขาของเค้า เค้าแทบจะร้องไห้ออกมา
จินฮู่ก็เหลือบมองไปที่เค้าแล้วพูดว่า: “นายเป็นใครกัน ทำไมฉันจะต้องช่วยแกด้วย?”
จ้าวซานก็ฝผงะ เค้ากัดฟันแล้วพูดว่า: “พี่ฮู่ หากพี่ช่วยฉันจัดการกับไอ่เวรนี่ ฉันจะตอบแทนพี่อย่างงามเลย!”
“โอ้?” จินฮู่ก็เลิกคิ้วของเค้าแล้วกางนิ้วของเค้าออกมาอย่างเงียบๆ
สีหน้าของจ้าวซานก็เปลี่ยนไป แต่เค้าว่ามันเป็นเพราะหยางอี้แล้วเค้าจะต้องได้เงินมาอย่างแน่นอน
ดังนั้นจ้าวซานเองก็พยักหน้าของเค้าขึ้นมาแล้วพูดว่า: “เอาหล่ะ! ตราบใดที่สามารถจัดการมันได้ เท่าไหร่ฉันก็ยอม”
…
หลังจากสองทุ่ม ฉินเฉิงก็กลับไปที่ชุมชนหลงไห่
ทันทีที่เค้ามาถึงที่ทางเข้าของชุมชนหลงไห่ ฉินเฉิงก็มองเห็นสาวงามที่รูปร่างสูงหุ่นดี
เธอยืนอยู่ที่ตรงนั้น มันเป็นฉากที่งดงาม นี่ก็ไม่รู้เลยว่าเธอดึงดูดสายตาให้จับจ้องไปที่เธอแล้วกี่คนกัน
“นายไปไหนมา? ทำไมถึงได้กลับมาช้าจัง” หลังจากที่มองเห็นฉินเฉิง ซูหวานก็เดินเข้ามาแล้วถาม
ฉินเฉิงก็เกาหัวของเค้าแล้วพูดว่า: “ฉันออกไปซื้อของ…..ทำไมจู่ๆ เธอถึงมาที่นี่หละ?”
“ฉันกลัวว่านายจะไม่คุ้ยเคยกับที่นี่” ซูหวานพูดขึ้นมาด้วยสายตาที่เย็นชา “ฉันรอนายมานานมาก อย่างงั้นนายก็ต้องเลี้ยงข้าวเย็นฉันแล้วแหละ!”
“ได้สิ ไม่มีปัญหา!” ฉินเฉิงพยักหน้าของเค้าขึ้นมาอย่างไว “คืนนี้ฉันจะทำอาหารเอง งั้นเธอก็ลองชิมฝีมือฉันหน่อยก็แล้วกัน!”
ฉันเฉิงเองก็ทำงานบ้านมาแล้วกว่าสามปี นี่มันก็พูดไม่ได้เลยว่าเค้าจะทำกับข้าวไม่เป็น
ในตอนที่พูดคุยกันนี้เอง ก็มีรถตู้ของจิงฮู่ที่ขับเข้ามา
“ไอ่เวรนี่มันมาอาศัยอยู่ที่ชุมชนหลงไห่ได้ยังไงกัน?” จินฮู่ที่อยู่ข้างในรถเค้าก็ขมวดคิ้วของเค้าขึ้นมา
“พี่ฮู่ ไอ่เวรนี่มันก็แค่คนไม่มีหัวนอนปลายเท้า มันเป็นลูกเขยอยู่ในบ้านตระกูลหลินมาสามปีแล้ว มันจะมาอยู่ที่สถานที่แบบนี้ได้ยังไงกัน!” จ้าวซานก็รีบพูดขึ้นมา
“มันจะต้องมารอเมียเก่าของมันที่นี่อย่างแน่นอน ไม่ต้องห่วง ผมรู้จักมันดี มันเป็นแค่เด็กกำพร้าที่ไม่มีพ่อแม่!” จ้าวซานก็พูดออกมาอย่างมั่นใจ
เมื่อจินฮู่ได้ยินแบบนั้น เค้าก็ถอนหายใจออกมา
จากคน เค้าก็พาคนของเค้าลงไปจากรถในทันที
ในมือของพวกเค้ามันก็มีมีดและอาวุธ มันดูน่ากลัวเป็นอย่างมาก
เมื่อเห็นฉินเฉิง เค้าก็ขมวดคิ้วขึ้นมาในทันที
“คุณซู คุณขึ้นไปรอฉันที่ข้างบนก่อนเถอะ” ฉินเฉิงก็เอาซูหวานไปปกป้องไว้ที่ด้านหลังของเค้าโดยไม่รู้ตัว
ท่าทีแบบนี้เองมันก็ทำให้ซูหวานรู้สึกอบอุ่นหัวใจเล็กน้อย
“คนพวกนี่เค้ามาหานายอย่างงั้นเหรอ?” ซูหวานก็ถามขึ้นมา
ฉินเฉิงก็พยักหน้าของเค้าแล้วก็เร่งให้เธอไป: “เธอเข้าไปก่อนเร็ว ฉันไม่อยากเอาเธอเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้”
แม้ว่าฉินเฉิงจะรู้ว่าตระกูลซูนั้นมีอิทธิพลมาก แต่เค้าก็ไม่รู้ว่าสามารถที่จะยั่วยุจินฮู่ได้หรือไม่
“ฉันก็จะดูอยู่นี่แหละ” ซูหวานก็กระพริบตาอย่างเฉยเมย
ในตอนที่พูดนี้เอง จินฮู่กับจ้าวซานและพวกก็เดินเข้ามาใกล้แล้ว
“พี่ฮู่ มัน!” จ้าวซานชี้ไปที่ฉินเฉิง เค้ากัดฟันแล้วก็พูดออกมา
จินฮู่ก็ถอนหายใจออกมาเล็กน้อย เค้าเดินเข้าไปที่ฉินเฉิงแล้วพูดขึ้นมาอย่างเย็นชาว่า: “ไอ่เวร แกตีคนของฉันอย่างงั้นเหรอ?”
เมื่อเผชิญหน้ากับจินฮู่ ฉินเฉิงเองก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเกร็งขึ้นมาเล็กน้อย
เค้าหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดว่า: “มันสมควรโดนแล้ว”
“สมควรแล้ว?” จินฮู่ก็เยาะเย้ยออกมา: “ฉันจะบอกแกให้ ที่ปีนังนี่ มันตีมึง มึงก็ต้องทน!”
“เห่อๆ จินฮู่ ทำไมฉันดูไม่ออกเลยว่าแกมีความสามารถอะไรขนาดนั้น?”
ในตอนนี้เอง ซูหวานที่อยู่ข้างหลัง เธอก็พูดออกมา