แต่ในเวลานี้ เธอว้าวุ่นใจโดยไม่มีเหตุผล
สัญชาตญาณเกี่ยวกับอันตรายติดอยู่ในใจ ทำให้เธอขมวดคิ้ว
โชคดีที่ ความปั่นป่วนยังคงดำเนินต่อไปเพียงชั่วขณะหนึ่ง แล้วต่อมาจึงทรงตัว
ผู้คนที่เหลือในห้องโดยสาร เมื่อพวกเขาเห็นว่าเครื่องบินมีเสถียรภาพดีแล้ว และถือว่าเครื่องบินตกหลุมอากาศปกติเท่านั้น ก็ไม่ได้สนใจ
คนที่นอนอยู่แต่ละคนเริ่มนอนอีกครั้ง คนที่คุยอยู่ก็คุยต่อ และคนที่กำลังอ่านหนังสือก็อ่านหนังสือต่อ
แต่ใจของจิ่งหนิงกลับไม่สามารถสงบลงได้
ไม่นานหลังจากนั้น โม่หนานก็กลับมา
“ฉันบอกพวกเขาแล้ว และพวกเขาก็คิดว่าคนสองคนดูแปลก ๆ เหมือนกัน ขึ้นเครื่องบินเป็นเวลาสามชั่วโมงครึ่ง ก็เดินไป ๆ กลับ ๆ สี่ห้ารอบแล้ว”
โม่หนานกระซิบ ขณะทิ้งตัวลงนั่งข้างเธอ
จิ่งหนิงพยักหน้า เหลือบมองที่ส่วนท้ายของห้องโดยสารอีกครั้ง และกระซิบกับเธอว่า “เครื่องบินเพิ่งสั่นโคลง เธอรู้สึกไหม?”
โม่หนานตะลึงงัน และกะพริบตา “ฉันรู้สึกได้ บางทีอาจมีกระแสลม เป็นเรื่องปกติ”
แต่จิ่งหนิงส่ายหน้า
“ไม่รู้ว่าทำไม ฉันรู้สึกว่ามีอะไรแปลก ๆ”
“แปลกอย่างไร?”
“ฉันก็ไม่รู้”
เธอลังเล แต่ก็ยังไม่สามารถสรรหาคำพูดมาบรรยายความรู้สึกในใจได้
ในที่สุด ก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “บางทีฉันอาจจะคิดมากเกินไป! แต่ไม่ได้เกิดอะไรขึ้นก็ดีแล้ว”
โม่หนานมองดูเธอครู่หนึ่ง และยิ้มออกมา “บางทีคุณอาจเหนื่อยเกินไปในช่วงสองสามวันนี้ เมื่อครู่คุณก็นอนหลับไม่สบายบนเครื่องบินเลย คุณจะไม่นอนอีกเหรอ?”
จิ่งหนิงรู้ว่า ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ กังวลไปก็ไม่มีประโยชน์
หลับตาลงและพักสมองจะดีกว่า หากมีบางอย่างเกิดขึ้นจริง ก็จะได้มีแรงเพื่อจัดการกับมันได้
ดั้งนั้น จึงพยักหน้า เห็นด้วย
หลังจากที่จิ่งหนิงพักผ่อนแล้ว โม่หนานไม่ได้เลือกที่จะนอนต่อ แต่นั่งเฝ้าอยู่ข้าง ๆ คอยปกป้องเธอ
ห้องโดยสารเงียบ และในขณะนี้ ก็บินมาเป็นเวลาเกือบสี่ชั่วโมงแล้ว
คนส่วนใหญ่ที่พูดคุยหรือนอนหลับขณะเครื่องเพิ่งขึ้น ขณะนี้ก็เริ่มล้าแล้ว และทุกคนก็เริ่มหลับทีละคน
ลูกเรือหรี่ไฟให้ทุกคนอย่างรู้ใจ และเมื่อดึงม่านลง แสงสลัวจนคนที่ไม่อยากนอนก็ยากที่จะไม่หลับ
อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ โม่หนานก็ได้ยินเสียงแปลก ๆ เป็นเสียง “แคร้ก”“แคร้ก”
การแสดงออกของเธอเปลี่ยนไป และร่างกายของเธอก็เกร็งขึ้นทันทีโดยไม่รู้ตัว
จิ่งหนิงก็ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นด้วยเสียงที่ว่า เธอลืมตาขึ้นมา สบตาหล่อนหนึ่งที พวกเธอเห็นความวิตกกังวลและความตื่นตระหนกในดวงตาของกันและกัน
ขณะเดียวกัน ผู้โดยสารที่เหลือก็ได้ยินเสียงนี้
ทุกคนมองไปรอบๆ อย่างว่างเปล่า มองหาที่มาของเสียง
มีคนค้นพบว่า เสียงนั้นดังมาจากทางด้านหลังของห้องโดยสาร
ฝูงชนต่างตื่นตระหนกและวิตกกังวลกับสิ่งที่มองไม่เห็น บางคนเริ่มเรียกลูกเรือเสียงดัง และบางคนกดกริ่งขอความช่วยเหลือที่อยู่เหนือศีรษะอย่างสิ้นหวัง
แต่น่าแปลก ไม่มีใครเข้ามา
ตอนนั้นเองที่ทุกคนพบว่า ไม่รู้ว่าเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่ลูกเรือทุกคนในห้องโดยสารหายตัวไป
ทั้งห้องโดยสารชั้นหนึ่ง ไม่มีพนักงานแม้แต่คนเดียว เดิมทีนี่เป็นสถานการณ์ที่ไม่ปกติ แต่ยิ่งกว่านั้น ทุกคนพยายามกดกริ่งขอความช่วยเหลือ แต่ไม่มีใครมา
เสียง“แคร้ก”“แคร้ก”จากด้านหลังยังคงดำเนินต่อไป และทันใดนั้นเครื่องบินก็เริ่มปั่นป่วนอย่างรุนแรง
ทุกคนต่างตกใจอย่างมากกับการกระแทกกะทันหัน แม้แต่จิ่งหนิงและโม่หนานก็เกร็ง และรีบร้อนคว้าอีกคนไว้
“เกิดเรื่องแล้ว!”
ทั้งสองตอบสนองพร้อมกัน ทั้งคู่ก็ตะโกนด้วยเสียงต่ำ
บริเวณโดยรอบเริ่มโกลาหล หลังจากพบว่าไม่ว่าจะเรียกอย่างไร ก็ไม่มีลูกเรือเข้ามา คนอื่นๆ ที่เหลือก็พบว่ามีบางอย่างผิดปกติ
“เป็นอะไรไป? ทำไมเครื่องบินโคลงเคลงแรงจัง”
“เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า?”
“แล้วลูกเรือล่ะ? พนักงานล่ะไปไหน?”
คนที่นั่งอยู่ในห้องโดยสารนี้ ส่วนใหญ่เป็นคนที่มีความรู้และมีประสบการณ์
สถานการณ์ในตอนนี้ ทุกคนอดไม่ได้ที่จะตื่นตระหนก
สีหน้าของจิ่งหนิงแย่ลง รู้สึกถึงห้องโดยสารที่สั่นคลอนมากขึ้นเรื่อย ๆ และกล่าวว่า “มีบางอย่างเกิดขึ้นที่ห้องนักบิน!”
โม่หนานคิดแบบเดียวกับเธอ หล่อนหันหน้าออกไปมองนอกหน้าต่าง แต่เพราะระยะทางไกลเกินไป จึงมองไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นข้างหลัง แต่หล่อนรู้สึกว่าการสั่นสะเทือนครั้งใหญ่นี้เริ่มต้นมาจากด้านหลังนั่น
หล่อนพูดเสียงทุ้ม “ฉันต้องไปดูข้างหน้า”
จิ่งหนิงขมวดคิ้ว
“อันตรายเกินไป!”
ทันทีที่พูดจบ เครื่องบินก็สั่นสะเทือนอีกครั้ง และก็เหมือนถูกกระแทกอย่างต่อเนื่อง
สีหน้าของจิ่งหนิงและโม่หนานก็เปลี่ยนไป
ทุกคนทำได้เพียงคว้าที่นั่งข้างๆ ตัวเองให้แน่นเท่านั้น รวมทั้งคาดเข็มขัดนิรภัยเพื่อยึดตัวเองไว้กับที่
เกิดความโกลาหลขึ้นในห้องโดยสารแล้ว หลังจากที่เรียกพนักงานไปแล้วไม่เป็นผล ทุกคนต่างสิ้นหวัง และพวกเขาไม่รู้แน่ชัดด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น
ในขณะนั้นเอง เสียง “ครืนครืน”ก็ดังขึ้น
“ปัง!”
ถุงลมนิรภัยและหน้ากากก็เด้งออกมา และจากนั้นปรากฏมีเสียงผู้ชายที่เย็นชาไร้อารมณ์ดังจากทางวิทยุ
“ต่อไปฉันจะประกาศว่า เครื่องบินลำนี้ถูกยึดโดยพวกเราเรียบร้อยแล้ว ถ้า คุณเลือกกระโดดร่มหนีเอาตัวรอด เราจะไม่ห้าม แต่คนอื่น ๆ ที่เหลือ จะไม่มีทางรอด ฉันขอย้ำอีกครั้ง ..”
ในเวลานี้ เสียงคร่ำครวญยิ่งดังขึ้นอีก
จิ่งหนิงและโม่หนานก็ประหลาดใจมากเช่นกัน
สีหน้าของโม่หนานซีดลง เธอกระซิบ: “สองคนนั้นเหรอ?”
จิ่งหนิงขมวดคิ้ว “คนที่เท้าเอียงนั่นเหรอ?”
“ใช่”
เธออดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายลงคอ ราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่างได้ เธอจึงถือร่มชูชีพไปให้จิ่งหนิงทันที
“ไม่มีเวลาแล้ว เครื่องบินกำลังจะพัง กลุ่มคนพวกนั้นมาจากกลุ่มผู้ก่อการร้าย ฉันเดาว่ามันทำนองเดียวกันกับการสิ่งที่ใช้ฆ่าตัวตาย! บางทีพวกเขาอาจมาหาใครสักคนบนเครื่องบินลำนี้”
ในวินาทีถัดมา ก็ได้ยินเสียงวิทยุพูดต่อไปว่า “ต่อไป เราจะตามหาคนสองคนจากในจำนวนพวกคุณ ถ้ายังไม่อยากตายก็นั่งอยู่ที่นั่งของคุณให้เรียบร้อย หรือไม่ก็โดดร่มหนีเอาตัวรอด เราไม่ต้องการที่จะฆ่าผู้บริสุทธิ์อย่างไม่เลือกหน้า ตราบใดที่เราพบคนสองคนนั้น เราจะไม่ทำร้ายคนอื่น”
“บัดซบ! จะระเบิดเครื่องบิน แล้วยังจะมาบอกว่าไม่อยากฆ่าคนบริสุทธิ์อย่างไม่เลือกหน้า”
ไม่รู้ว่าใครสบถออกมา
จิ่งหนิงคิดขึ้นมาทันทีว่า คนเหล่านั้นจะมาเพราะตัวเองและโม่หนานหรือไม่?
สองคน…
แต่ทว่า ไม่มีเวลาคิดแล้ว
โม่หนานจัดการดึงเธอขึ้นมา แล้วเดินไปที่ประตูหลัง
เครื่องบินปั่นป่วนอย่างหนักหน่วง จนเดินตรงไม่ได้ ถ้าไม่ใช่โม่หนานที่คอยพยุงเธอ เธอก็คงจะเดินผ่านไปไม่ได้
เมื่อคนอื่นเห็นสิ่งนี้ พวกเขาก็รีบมาตรงนี้ด้วย
อย่างไรก็ตาม จิ่งหนิงมองเห็นได้จากระยะไกล ที่ประตู มีชายขาเป๋ยืนอยู่ตรงนั้นพร้อมกับปืนหนึ่งกระบอก กำลังยิ้มหยันมองเธออยู่
มาแล้ว!
คือพวกเขาเอง!
เป็นไปตามคาดพวกมันพุ่งเป้ามาที่พวกเธอ!