วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน – ตอนที่ 709 คนประหลาด

ก่อนจากไป เธออดไม่ได้ที่จะปลอบจิ่งหนิง

“หนิงหนิง ไม่ต้องคิดมากแล้ว มันอาจจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในสองสามเดือนนั้น อย่างน้อยชีวิตปัจจุบันก็ดีมาก ต่อให้มีอะไรเกิดขึ้นจริง ก็ไม่ส่งผลกระทบอะไรหรอก”

จิ่งหนิงพยักหน้าหงึก ๆ แล้วยิ้มให้เธอ

“ฉันเข้าใจแล้ว เธอรีบไปพักผ่อนเถอะ”

“อืม”

แล้วโม่หนานก็ออกไป

หลังจากที่เธอไปแล้ว จิ่งหนิงก็นอนอยู่บนเตียงกว้างเพียงลำพัง มองดูความมืดมิดในยามค่ำคืนที่ไม่มีที่สิ้นสุด แต่ในหัวกลับไม่สามารถลืมภาพทรงจำไม่ปะติดปะต่อที่แวบเข้ามาได้

เธอนึกถึงเหตุการณ์เมื่อนานมาแล้ว หลังจากที่เพิ่งถูกกู้ซือเฉียนช่วยเหลือขึ้นมา หลังจากมีสติฟื้นขึ้นมา

ในเวลานั้น เธออยากรู้จริง ๆ เกี่ยวกับความทรงจำนี้ และต้องการคิดให้ออกว่าแท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้น

แต่ในขณะนั้นเธออ่อนแอเกินไป ซึ่งนั่นทำให้ เธอไม่มีกำลังที่จะสามารถตรวจสอบสิ่งนี้ได้

ทั้งวันทำได้เพียงถูกขังอยู่ในการฝึกวันแล้ววันเล่า และไม่มีเวลาสำหรับตัวเองเลย

ต่อมาเมื่อเธอกลับประเทศ เนื่องจากมู่ยั่นเจ๋อ หล่อนทุ่มเททำทุกอย่างเพื่อดูแลบริษัทให้เธอ

เห็นว่าธุรกิจมีประสิทธิภาพแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกหงุดหงิดอยู่

มาถึงจุดนี้ ท้ายที่สุดก็ไม่มีเวลาว่างเลยแม้แต่น้อย ที่จะคิดเรื่องของตัวเองอีกแล้ว

จิ่งหนิงหลับตาลง และถอนหายใจจากก้นบึ้งของหัวใจโดยไร้เสียงออกมา

พลิกตัวไปมา ถึงช่วงหลังเที่ยงคืนก็ผล็อยหลับไปจริง ๆ

ในค่ำคืนนั้น เธอฝันอีกแล้ว

ยังคงเป็นความฝันที่เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว ฝันถึงการจมดิ่งลงสู่ก้นทะเล

ในฝันเธออยู่ในน้ำและจมดิ่งลงไปเรื่อย ๆ ลึกลงไปเรื่อย ๆ…

จากนั้น ก็มีอีกมือหนึ่งคว้าเธอไว้อย่างแรง

เธอหันกลับมา และเห็นใบหน้าอันหล่อเหลาที่คุ้นเคย แม้ในน้ำจะมืดสลัว เขาก็ยังดูเปล่งประกาย

เธอพยายามส่ายหน้าอย่างสุดกำลัง ให้เขาปล่อยมือ

แต่เขาไม่ปล่อย เขาเพียงแค่กดริมฝีปากแน่น สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว

ตาของเธอเบิกกว้าง และไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นน้ำทะเลหรือน้ำตาที่ไหลลงบนใบหน้าของเธอ

ในท้ายที่สุด คลื่นลูกใหญ่ก็ซัดเข้ามา และทั้งร่างก็รู้สึกเหมือนถูกคลื่นซัดพาตัวออกไป

และมือที่โอบอยู่บนเอวก็คลายออก แต่เพราะไม่มีอะไรรั้งไว้แล้ว เธอจึงถูกคลื่นซัดเข้าไปในก้นทะเลที่ไม่มีที่สิ้นสุด

“อ๊าาา!”

จิ่งหนิงหอบหายใจเฮือก ลุกขึ้นนั่งบนเตียง

ข้างนอกท้องฟ้าสว่าง พบว่านี่เป็นเวลาเช้าแล้ว

และเธอ ที่ไม่ได้นอนสักชั่วโมงเลย ก็ต้องตกใจตื่นขึ้นเพราะฝันร้าย

เธอหลับตาลง เช็ดเหงื่อเย็น ๆ จากหน้าผาก ยกผ้าห่มออกแล้วลุกขึ้น ออกไปเทน้ำกินหนึ่งแก้ว

พอกลับถึงห้อง เมื่อดูเวลา ก็เพิ่งเจ็ดโมงเช้าเอง

เนื่องจากเที่ยวบินเป็นรอบสิบโมงเช้า ดังนั้น เธอกับโม่หนานจึงตกลงกันว่าพวกเขาจะตื่นเวลาเจ็ดโมงครึ่ง เก็บสัมภาระและออกไปด้วยกัน

ตอนนี้ ก็จวนจะถึงเวลาตื่นแล้ว

จิ่งหนิงก็จึงตัดสินใจไม่กลับไปนอนต่อ แต่ไปจัดแจงเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วเดินออกไปข้างนอก

เมื่อออกไปข้างนอก พบว่าโม่หนานก็ตื่นแล้ว

เมื่อเห็นเธอ โม่หนานยิ้มและทักทายเธอ

“อรุณสวัสดิ์ เมื่อคืนนอนเป็นอย่างไรบ้าง หลับดีไหม?”

จิ่งหนิงรู้ว่าหล่อนกำลังกังวลเรื่องอาการปวดหัวกะทันหันของเธอเมื่อวานนี้ ดังนั้นเธอจึงส่ายหัว “ดีมากเลย”

เธอพูด พร้อมกับเหลือบมองดูเวลา

“ได้เวลาแล้ว พวกเราเก็บข้าวของเสร็จลงไปกินอาหารเช้าแล้วก็ค่อยออกไปกันเนอะ”

“อืม”

ทั้งสองเดินไปที่ร้านอาหารชั้นล่างเพื่อกินอาหารเช้า หลังจากกินเสร็จ จิ่งหนิงและโม่หนานก็ขึ้นเครื่องบินกลับไปยังประเทศจีน

เพราะต้องใช้เวลาเจ็ดชั่วโมงกว่าจะบินได้ครึ่งทาง ดังนั้น ทั้งคู่จึงพากันพักผ่อน

จิ่งหนิงนอนไม่หลับเมื่อคืนนี้ เธอเลยใช้โอกาสนี้พักบนเครื่องบิน

ดังนั้น เธอจึงสวมผ้าปิดตา หลับตาและเริ่มเข้าสู่นิทรา

ห้องโดยสารเงียบมาก บางครั้งก็มีคนพูดเสียงต่ำพึมพำบ้าง แต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกว่าเสียงดัง แต่กลับทำให้รู้สึกโล่งใจเล็กน้อย

ก่อนขึ้นเครื่องบิน เธอส่งข้อความถึงลู่จิ่งเซิน โดยบอกเวลาเที่ยวบินและเวลาลงจากเครื่องบินของเธอเอง

ลู่จิ่งเซินเมื่อถึงเวลาจะมารับเธอที่สนามบิน อานอานและจิ้งเจ๋อน้อยเมื่อรู้ว่าเธอจะกลับมาในวันนี้ ก็ดีใจกันมาก

จิ่งหนิงเอนตัวลง มุมปากก็กระตุกยิ้ม

ในใจเต็มเปี่ยมไปด้วยความสงบสุขและความสุขที่หายาก

ผ่านไปครึ่งทาง เธอหลับไปสองชั่วโมง เมื่อเธอตื่นขึ้น เธอพบว่าเครื่องบินยังคงอยู่เหนือน่านฟ้าชั้นสตราโตสเฟียร์ เธอเปิดมุมม่านแล้วมองออกไป ทั้งหมดเต็มไปด้วยเมฆสีขาว

โม่หนานนั่งถัดจากเธอ กำลังหลับตาพักผ่อน

เมื่อรู้สึกว่าเธอตื่นแล้ว โม่หนานก็ลืมตาขึ้น และพูดว่า “ยังเหลือเวลาอีกสี่ชั่วโมง นอนต่อกันเถอะ”

จิ่งหนิงส่ายหน้า “นอนอิ่มแล้ว ไม่อยากนอนแล้ว”

โม่หนานเห็นอย่างนั้น ก็เลยไม่นอนต่อแล้ว นั่งตัวตรงขึ้นมาคุยเป็นเพื่อนเธอ

พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินมาแจกอาหารกลางวัน แต่จิ่งหนิงไม่อยากอาหาร จึงไม่กิน

โม่หนานกินส่วนหนึ่ง และพูดกับเธอว่า “เมื่อครู่ฉันเห็นชายสองคนเดินผ่านไปข้างหลัง เท้าข้างหนึ่งเอียงเล็กน้อย เมื่อมองรูปร่างหน้าตาของพวกเขาแล้ว มันดูแปลก”

จิ่งหนิงตกตะลึง และถามอย่างไม่เข้าใจ “คนพิการเหรอ? แล้วมีอะไรแปลกล่ะ?”

โม่หนานขมวดคิ้วนึกถึงเรื่องเมื่อครู่ แล้วส่ายหัวอีกครั้ง

“ฉันบอกไม่ถูก มันอาจจะเป็นแค่สัญชาตญาณ แต่พวกเขาไปตรงนู้นแล้ว และมันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรา ฉันเลยไม่สนใจ”

จิ่งหนิงเงียบไปครู่หนึ่ง และสุดท้ายก็พูดว่า “ถ้าเธอคิดว่าคนคนนั้นมีปัญหาจริง ๆ เธอก็ควรบอกลูกเรือ เพื่อไม่ให้กระทบต่อความปลอดภัย”

โม่หนาน พยักหน้า เหลือบมองพนักงานที่ส่วนท้ายของห้องโดยสาร และพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นฉันจะไปพูดเดี๋ยวนี้”

“อืม”

จิ่งหนิงทำแบบนี้ไม่ใช่ไม่มีเหตุผล

สิ่งสำคัญคือต้องรู้ว่าโม่หนานเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างมืออาชีพ ด้วยวิสัยทัศน์ที่มองสิ่งชั่วร้ายออก และที่ผ่านมากแทบไม่เคยมีปัญหาใด ๆ

ตอนนี้เธอได้เห็นแล้วว่าสองคนนั้นมีอะไรผิดแผกไป นั่นหมายความว่า พวกเขามีบางอย่างแปลกไปจริง ๆ

แม้ว่าจะไม่รู้ว่าหมายถึงสิ่งไหน แต่ก็เกริ่นกับลูกเรือไปก่อน จะได้ไม่มีอะไรผิดพลาด

หลังจากที่จิ่งหนิงอธิบายกับโม่หนานเรียบร้อย ก็ไม่ได้คิดอะไรมากเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก

เพราะนั่งเครื่องบิน ก็ต้องผ่านการตรวจสอบความปลอดภัยอย่างเข้มงวดก่อนขึ้นเครื่อง ปกติแล้ว จะไม่มีปัญหาใหญ่โตอะไร

เธอหลับตาลง และงีบต่อ แต่ในขณะนี้ เครื่องบินก็ถูกกระแทกอย่างกะทันหัน

จิ่งหนิงก็มีสติในชั่วพริบตา

มีผู้คนมากมายรอบตัวที่สังเกตรู้สึกถึงการกระแทกเล็ก ๆ นี้ ก็ทยอยลืมตาขึ้นทีละคน และมองไปรอบ ๆ ด้วยความประหลาดใจ

จิ่งหนิงขมวดคิ้ว เธอจำได้ว่าเมื่อเช้านี้ตอนเธอออกไปข้างนอก เธอตั้งใจดูพยากรณ์อากาศและสภาพของเส้นทางส่วนนี้ แสดงให้เห็นว่ามีเสถียรภาพมาก ไม่มีอันตรายแน่นอน

ถ้าอย่างนั้นเมื่อครูเกิดอะไรขึ้น?

ในเวลานี้โม่หนานก็กลับไปบอกลูกเรือเกี่ยวกับสองคนนั้น จึงไม่อยู่ตรงนี้

เธอนั่งอยู่คนเดียวตรงที่นั่ง และไม่รู้ว่าทำไม จู่ ๆ ก็รู้สึกใจสั่น

จิ่งหนิงไม่ใช่คนที่ชอบกระต่ายตื่นตูม หลายปีมานี้กับเรื่องพายุฝน ไม่นานเธอก็คุ้นชินแล้ว

แถมยังฝึกฝนตัวเองให้ไม่สะทกท้าน อย่างน้อยก็นับว่าเป็นอารมณ์นิ่ง ๆ

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset