วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน – ตอนที่ 170 จัดการด้วยตัวเอง

บทที่ 170 จัดการด้วยตัวเอง

ต้องบอกว่าทั้งหมดในวันนี้ เขาเป็นคนวางแผนเองทั้งหมด

รวมไปถึงการออกแบบชุด จัดเรือสำราญ เลือกแหวน อีกทั้งยังมีเซอร์ไพรส์ในคืนนี้ เป็นเขาที่ลงมือทำด้วยตนเองไม่ใช้คนอื่น

ถึงแม้ในแง่ของความรู้สึกบางครั้งมันอาจจะน่าเบื่อเล็กน้อย แต่ถ้าคนแบบนี้ใช้หัวใจจริงๆ ผลที่ได้รับก็จะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า

อย่างรวดเร็ว จิ่งหนิงก็แต่งหน้าเสร็จ

สไตลิสต์ช่วยพยุงเธอและช่วยเธอใส่ชุด

จิ่งหนิงปล่อยให้พวกเขาจัดการแต่สุดท้ายก็ทนไม่ได้ จึงถามด้วยความอยากรู้: “วันนี้พวกคุณทำอะไรกันแน่คะ? ทำไมจะต้องแต่งตัวจัดเต็มแบบนี้ด้วย? ฉันไม่เห็นจะจำได้ว่าวันนี้เป็นวันพิเศษอะไรนี่คะ?”

สไตลิสต์ยิ้มอย่างมีเลศนัยให้เธอ แต่ไม่ได้บอกความจริงกับเธอ

“ขอโทษนะคะคุณนายลู่ เรื่องนี้พวกเราพูดไม่ได้ไม่งั้นคุณลู่จะลงโทษพวกเรา”

ช่างแต่งหน้าอีกคนก็ยิ้มและพูดขึ้น: “อันที่จริงคุณก็ไม่ต้องเดา อีกเดี๋ยวก็รู้แล้วค่ะ”

จิ่งหนิงเห็นแบบนั้นและคิดว่าก็ใช่

ยิ่งกว่านั้นพวกเธอไม่ยอมพูดแน่ ตนเองก็หมดหนทาง สุดท้ายจึงทำได้เพียงแค่ปัดเป่าความคิดที่จะพยายามหาข่าวออกไป

หลังจากเปลี่ยนชุดเสร็จแล้ว เธอมองหญิงสาวหน้ากระจกที่ดูเหมือนลูกพีชก็ตกตะลึง

สไตลิสต์ข้างๆ ยิ้มและพูด: “ชุดนี้อยู่บนตัวคุณแล้วดูดีมาก ประธานลู่มีสายตาแหลมคมเหมือนเคย”

จิ่งหนิงนิ่งไปเล็กน้อยแล้วถาม: “เขาเป็นคนเลือกเองเหรอคะ?”

“ใช่ค่ะ นี่คือผลงานของFrank นักออกแบบระดับแนวหน้าของโลก ประธานลู่ร่างแบบด้วยตัวเองแล้วให้คุณFrankแก้ จากนั้นก็ลงมือทำเอง”

หัวใจของจิ่งหนิงสั่นไหวเล็กน้อย

เธอจำได้ว่าก่อนหน้านี้ลู่จิ่งเซินถ้าไม่เดินทาง ก็ทำโอทีอยู่ที่ออฟฟิศ ยุ่งอยู่ตลอด

หลังจากกลับมาก็พาเธอมาเที่ยว จะมีเวลาที่ไหนมาออกแบบชุดนี้อีกทั้งยังตัดเย็บอีก?

แต่ว่าทั้งสองก็ไม่กล้าพูดมาก เธอก็ไม่ถามอะไรต่ออีก

เมื่อเปลี่ยนชุดเสร็จช่างแต่งหน้าก็เอาสร้อยคออีกเส้นมาสวมให้เธอแล้วช่วยพาเธอเดินออกมา

ด้านนอก ชายหนุ่มยืนรออยู่นานแล้ว

เมื่อเห็นเธอออกมา ดวงตาก็อดส่องประกายไม่ได้

ไม่พูดไม่ได้ จิ่งหนิงนั้นถือเป็นไม้แขวนเสื้อที่เดินได้จริง ๆ

ด้วยรูปร่างที่สูงโปร่ง เอวคอดกิ่ว ผิวขาวราวหิมะ ภายใต้ชุดสีชมพูนั้นยิ่งดูบอบบางและอ่อนโยนและใบหน้าแดงระเรื่องดังดอกท้อ อดไม่ได้ที่จะทำให้ใจเต้น

ลู่จิ่งเซินยกยิ้มมุมปาก เดินเข้าไปกุมมือเธอ ทั้งสองหันไปพูดกับช่างแต่งหน้า: “ลำบากคุณแล้ว”

ทั้งสองยิ้มกริ่มและโบกมือไปมา “ไม่เลยค่ะ เรื่องพวกนี้เป็นหน้าที่ของพวกเราอยู่แล้ว ถ้าหากไม่มีเรื่องอื่นแล้วพวกเราขอตัวก่อนนะคะ”

ลู่จิ่งเซินพยักหน้า พวกเธอจึงออกไป

เมื่อพวกเธอไปแล้ว สุดท้ายจิ่งหนิงก็อดไม่ได้ เงยหน้ามองเขาและพบว่าเขาเองก็เปลี่ยนชุดแล้ว

ชุดสูทสีขาวที่เขาสวมเมื่อครู่ ตอนนี้เปลี่ยนเป็นชุดสูทพิธีการสีดำที่ดูทางการมากกว่าเดิม อีกทั้งยังเป็นแบบลองเทล

รูปร่างของผู้ชายนั้นสูงเป็นสง่าอยู่แล้ว ดังนั้นการใส่แบบนี้จึงทำให้เขาดูเยือกเย็น มีเกียรติและเป็นสุภาพบุรุษ

เธอประหลาดใจอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็อดไม่ได้ที่จะถาม “นี่คุณคิดกำลังทำอะไรกันแน่คะ? ทำลับ ๆ ล่อ ๆ? ยังมีอีกทำไมพวกเราต้องแต่งตัวเป็นทางการแบบนี้ด้วย? วันนี้ต้องไปร่วมงานพิเศษอะไรเหรอคะ?”

ลู่จิ่งเซินยื่นมือออกมาและลูบผมที่แตกแถวข้างหูของเธอให้เรียบ หัวเราะเบา ๆ แล้วพูด: “ใช่แล้ว คืนนี้ต้องไปงานสำคัญเป็นพิเศษงานหนึ่ง”

จิ่งหนิงเบิกตาโพลงด้วยความอยากรู้ “งานอะไรคะ?”

ลู่จิ่งเซินเลิกคิ้ว “รออีกเดี๋ยวคุณก็จะรู้”

เขาพูดแล้วจูงเธอเดินออกไปด้านนอก

จิ่งหนิงถูกเขาจูงมือทำได้เพียงก้าวเท้าเดินตาม ชายหนุ่มไม่ยอมเปิดเผยมากเกินไป ยิ่งทำให้เธอยิ่งอยากรู้เข้าไปอีก

เธอถามด้วยความอยากรู้ตลอดทาง: “ตอนนี้พวกเราจะไปไหน?”

ลู่จิ่งเซินเหลือบมองเธอและชี้ไปที่นาฬิกาในมือของเขา “สองทุ่มแล้ว คุณไม่หิวเหรอ?”

จิ่งหนิงจึงเพิ่งคิดได้ว่าตนเองยังไม่ได้ทานอาหารเย็นเลย!

ต้องโทษเขานั่นแหละ! ทำอะไรซับซ้อน ก่อนหน้านี้เธอก็รอเขากลับมาทานข้าวพร้อมกัน

คิดไม่ถึงพอรีบมา ก็ถูกพามาห้องแต่งตัว ทรมานเธอกว่าสองชั่วโมง จำได้ที่ไหนว่าต้องกินข้าว

ตอนนี้พอเขาพูดขึ้นมา จึงเพิ่งนึกได้ว่าตนเองหิวอยู่นานแล้ว

เมื่อคิดถึงตรงนี้ เธอก็มองเขาอย่างโกรธเคือง “คุณยังจะมีหน้ามาพูดอีก? ก่อนหน้านี้โม่หนาน บอกว่าคุณบาดเจ็บ มันเรื่องอะไรแน่?”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ลู่จิ่งเซินก็กระอักกระอ่วนเล็กน้อย

เขาแตะจมูกและอธิบายอย่างประหม่า: “ผมไม่ได้รับบาดเจ็บ เขาพูดโกหกคุณ”

จิ่งหนิงส่งเสียงเย็น ๆ “เรื่องแบบนี้ยังกล้าพูดมั่วซั่ว ฉันว่าพวกคุณสองคนสมรู้ร่วมคิดกันแน่!”

ลู่จิ่งเซินสลดเล็กน้อยเขาแค่ให้ โม่หนาน ส่งข้อความถึงเธอ แล้วจะคิดได้อย่างไรว่าเขาจะใช้วิธีที่เงอะงะแบบนี้?

แต่เรื่องมาถึงนี่แล้ว จะมาเปิดโปงไม่ได้ ทำได้เพียงหัวเราะเบา ๆ: “ขอโทษนะ ผมผิดไปแล้ว ไม่ควรให้เขาพูดจาโกหกคุณแบบนี้เลย แต่พอได้เห็นคุณเป็นกังวลเพราะผม ผมดีใจมาก”

จิ่งหนิงพูดไม่ออกเล็กน้อยจ้องมองเขา แต่ไม่ได้จุกจิกอะไรกับเขาจริงจัง

ทั้งสองคนไปที่ห้องรับประทานอาหารซึ่งเป็นที่โล่งและตั้งอยู่บนชั้นสองของเรือสำราญ

รอบ ๆ ถูกปกคลุมไปด้วยผ้าคลุมสีขาว โต๊ะยาวตรงกลางปูด้วยผ้าปูโต๊ะที่สวยงามและมีแจกันดอกไม้อีกสองสามอันวางอยู่ ดูเรียบง่ายและโรแมนติก

หลังจากทั้งสองเขาไปนั่งแล้ว พนักงานเสิร์ฟที่เตรียมพร้อมแล้วนำอาหารที่หลากหลายมากจัดขึ้นโต๊ะ

อาหารก็ถูกจัดเตรียมไว้ก่อนแล้ว ดูสวยงามและน่ากิน ด้วยรสชาติแสนพิเศษ

ลู่จิ่งเซินจัดกุ้งที่จิ่งหนิงชอบทานเป็นพิเศษและวางไว้ตรงหน้าเธอ

เขาแกะกุ้งแล้วใส่ลงในจานของเธอและกระซิบ: “ตอนกลางคืนอากาศเย็น อากาศเย็นแบบนี้อาหารพวกนี้กินนิดหน่อยก็พอ กินเยอะไม่ได้”

จิ่งหนิงพยักหน้าตอนทานอาหารค่อนข้างสงบ ในระหว่างนั้นชายหนุ่มก้มลงมองโทรศัพท์สองครั้งเหมือนมีคนส่งข่าวอะไรเข้ามา

ในตอนที่เขามองครั้งที่สาม เธอก็ทานอิ่มแล้ว

ลู่จิ่งเซินเช็ดมือแล้วลุกขึ้นยืน ยื่นมือออกไปจูงมือของเธอ

“เอาล่ะ พวกเราไปเถอะ”

ในตอนนี้เป็นเวลาสี่ทุ่มแล้ว

ลมบนเรือพัดแรงและอุณหภูมิก็เริ่มลดลง

จิ่งหนิงถามขึ้น: “พวกเราไม่กลับวิลล่ากันเหรอ?”

“ยังไม่กลับ”

ชายหนุ่มพูดขึ้นและโทรศัพท์

“ขับมาเลย!”

จิ่งหนิงมองดูเขาแล้วไม่รู้ว่าเขากำลังทำอะไร เธอสวมเสื้อโค้ตผ้าแคชเมียร์หนาและยืนอยู่กับชายคนนั้นบนดาดฟ้าโดยไม่รู้สึกหนาว

ผ่านไปไม่นานก็ได้ยินเสียงใบพัดบนท้องฟ้า

จิ่งหนิงนิ่งไปและแหงนหน้ามองและพบจุดดำบนท้องฟ้ายามค่ำคืน

เธอมองไปที่ชายคนนั้นด้วยความประหลาดใจ

“พวกเราจะไปไหนกันคะ?”

ลู่จิ่งเซินเม้มปากเล็กน้อยลดสายตาลงมองเธอแล้วพูด “ไว้ใจผมไหม?”

จิ่งหนิงพยักหน้า

“งั้นก็หลับตาสิ”

เธอผงะไปชั่วขณะมองไปที่ดวงตาที่อ่อนโยนและลึกซึ้งของชายคนนั้นและในที่สุดก็หลับตาลงด้วยความมั่นใจ

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset