“พรุ่งนี้แล้วสินะ………..ในที่สุด…….”
ผมพึมพัมออกมาแล้วจ้องไปที่บัตรจับมือที่ถืออยู่
ถึงแม้ว่าพรุ่งนี้ก็จะเป็นวันงานแล้วก็ตามที แต่หัวใจของผมก็ยังเต้นแรงรวมถึงมือของผมเองก็สั่นเทิ้มไปหมดเมื่อได้หยิบตั๋วจับมือขึ้นมา
รู้สึกประหม่าจัง……..
และจากแท็บเล็ตที่วางอยู่บนตรงของผม ผมได้ยินสตรีมสดของเซย์ไซ อากิระ
“ไอดอลสุดเพอร์เฟ็ค เซย์ไซ อากิระ ………..งานจับมือครั้งแรกในฐานะของศิลปินเดี่ยว”
ผมบ่นพึมพัมออกมาอย่างเหม่อลอยแล้วผมก็สูดหายใจเข้าแล้วก็ถอนหายใจออกอย่างช้าๆและผมก็เอาบัตรจับมือเก็บเข้ากระเป๋าของผมอย่างระมัดระวังพร้อมกับทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟา
มันจะเป็นครั้งแรกที่ผมจะได้เข้าร่วมงานอีเว้นท์จับมือ
ตอนอยู่ชั้น ป.3 มันคือช่วงที่ผมได้สัมผัสกับวัฒนธรรมไอดอลเป็นครั้งแรกแล้วก็ได้หลงไหลไปกับมันนับตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมาและเวลาก็ล่วงเลยไปนานซะจนตอนนี้ผมก็พบว่าตัวเองก็ปาไปมหาลัยปี 2 เข้าไปแล้วถึงแม้ว่าตอนนี้ผมจะยังเป็นโอตะที่คอยตามไอดอลมาเป็นเวลาช้านานแต่จริงๆแล้วผมไม่เคยได้เข้าร่วมจับมือไอดอลเลยเนื่องจากเหตุผลเฉพาะบางอย่าง…….
แต่ครั้งนี้มันพิเศษออกไป
เพราะนี่เป็นงานจับมือเดี่ยวๆครั้งแรกของเซย์ไซ อากิระ
ผมคิดว่ามันคุ้มค่าแม้ว่าจะต้องทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อที่จะได้ไปงานนี้ให้ได้
หลังจากประสบพบเจอกับปัญหาการอำลาวงการของไอดอลที่ผมโอชิมาหลายต่อหลายคนผมก็เกือบจะตัดสินใจอะไรเศร้าๆอย่างการก้าวเท้าออกจากโลกของไอดอลไปเสียแล้ว
เซย์ไซ อากิระ เธอปรากฏตัวออกมาราวกับดาวตกในโลกของไอดอลและสร้างชื่อเสียงให้กับตัวของเธอเอง
รอยยิ้มของเธอนั้นมีความเป็นมืออาชีพอยู่เสมอ
เหตุผลที่ทำให้เธอโด่งดังเป็นพลุแตกก็คือการที่เธอให้เซอร์วิสกับแฟนๆได้อย่างล้นหลามและการควบคุมอารมณ์ของตัวเธอเองที่แสดงออกมาให้กับเหล่าแฟนๆได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ไม่วางตัวเข้าใกล้ชิดแฟนๆมากจนเกินไป แต่ก็ไม่ได้กีดกันพวกเขาด้วยเช่นกัน
ผมค่อยๆวาดความเป็นมืออาชีพของเธอในขณะที่เธอเองก็กำลังพยายามรักษาสมดุลที่แสนละเอียดอ่อนนี้ไว้อยู่
ตอนนี้ผมโดนไอดอลอย่างเซย์ไซ อากิระคนนี้ตกเข้าให้แล้ว
นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่ผมจะตามเชียร์ไอดอล
ผมตัดสินใจเรียบร้อยแล้ว
ถ้าหากว่าอากิระจบการศึกษาอย่างกระทันหันหรือเข้าไปมีส่วนเอี่ยวกับเรื่องอื้อฉาวใดๆ ผมก็จะไม่ขอเพ้อฝันถึงไอดอลอีกเลย
ผมหยิบแท็บเล็ตขึ้นมาจากโต๊ะและมองดู
บนหน้าจอแท็บเล็ตอากิระกำลังกระโดดโลดเต้นไปมาอย่างอิสระ
การเต้นของเธอมันช่างโดดเด่นพอจะเอาไปเทียบกับพวกไอดอลคนท็อปๆคนวงการ
และการร้องเพลงขณะที่เธอกำลังเต้นอยู่ของเธอก็ยังได้รับการยกย่องเป็นอย่างมากอีกด้วย
และ…….สิ่งที่ดึงดูดผมให้โดนเธอตกนั่นก็คือรอยยิ้มของตัวเธอเอง
รอยยิ้มของเธอเผยให้เห็นว่าเธอกำลังสนุกกับการแสดงให้กับเหล่าแฟนๆของเธอจริงๆ
ทำให้พวกเราทุกๆคนรวมถึงตัวผมด้วยต่างพากันหลงไหล
บางครั้งก็ไร้เดียงสา บางครั้งก็ไม่ยำเกรง บางครั้งก็น่ากลัว
รอยยิ้มของเธอมีเสน่ห์บางอย่างที่ไม่อาจจะพูดอธิบายออกมาได้ แต่เมื่อคุณได้เห็นรอยยิ้มของเธอ คุณก็จะไม่สามารถนำภาพนั้นออกจากใจของคุณได้เลย
ผมจะได้ไปเจอเธอตัวเป็นๆ
ผมรู้สึกได้ถึงเหงื่อจากตรงหลังของผมจากการที่ผมจินตนาการถึงสถานการณ์นั้น
“ชั้นจะได้จับมือ…….กับอากิระในวันพรุ่งนี้……แล้วจากนั้นจะพูดอะไรอีกสักสองสามคำดีนะ………”
ลำบากใจจังรู้สึกเหมือนมันไม่ใช่เรื่องจริงเลยพอผมได้พูดออกไปอย่างนั้น
ร่างกายของผมก็รู้สึกว่ามันกำลังล่องลอยไป
ผมเอนหลังพิงโซฟาและอยู่นิ่งๆไปชั่วขณะหนึ่ง
“ชั้นจะต้องตัดสินใจให้ได้ว่าจะพูดอะไรออกไปดี!!”
ผมลุกขึ้นมาจากโซฟาแล้วไปเอาสมุดจดออกมาจากนั้นก็ครุ่นคิดว่าจะพูดอะไรกับเธอดี
ผมตื่นเต้นมากจริงๆที่จะได้เจอกับอากิระตัวเป็นๆ
มันเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข,ความกลัวและความประหม่าที่เติมเต็มอยู่ภายในหัวใจของผม
เมื่อรู้สึกได้ถึงความร้อนรุ่มภายในร่างกาย ผมก็เริ่มตวัดปากกาเขียนลงบนแผ่นจดบันทึกจากนั้นก็ฉีกมันออกมาแล้วโยนทิ้งไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า
มันเป็นความรู้สึกอิ่มเอมใจอย่างที่ผมไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน
แล้วค่ำคืนก่อนที่จะถึงวันงานจับมือก็ค่อยๆมืดลง
หลังจากความรู้สึกตื่นเต้นทั้งหมดนั้น ผมก็เข้าไปซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มและนอนหลับไป
และเรื่องต่อไปที่ผมรู้นั่นก็คือตอนนี้มันก็เช้าแล้ว
วันนี้คือวันงานอีเว้นท์จับมือ
ผมเปิดตู้เสื้อผ้าด้วยความรู้สึกผ่อนคลายและหยิบเอาเสื้อผ้าที่ดูสะอาดสะอ้านที่สุดออกมาแล้วก็สวมใส่มัน
ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่เสื้อผ้าที่ตามเทรนด์อะไรกับชาวบ้านชาวช่องเขาก็เถอะนะ
ผมหันหน้าเข้าหากระจกจัดแต่งทรงผมของตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผมค่อยจัดผมหน้าม้าอย่างระมัดระวังโดยไม่รู้ว่ามันจะเสียทรงตอนไหนในตอนที่ผมกำลังเดินๆอยู่
วันนี้อากิระจะจับมือกับเหล่าแฟนๆโอตะจำนวนมากซึ่งผมก็รู้ดีว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะจำหน้าพวกเขาได้ทั้งหมด แต่ผมก็ยังรู้สึกอายอยู่หน่อยๆกับพฤติกรรมการแต่งตัวของตัวเองเพื่อที่จะได้หลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดความรู้สึกในแง่ลบ
ผมสงสัยจังว่าพวกคู่รักทั้งหลายพวกเขาตื่นเต้นเวลาที่จะได้เจอหน้าคนรักของตัวเองอยู่ตลอดเลยรึเปล่า? ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆผมก็คงต้องขอชมพวกเขาล่ะนะ
ผมคิดว่ามันคงจะดีถ้าหากว่าตัวผมเองได้รู้สึกแบบนั้นบ้างสักสองสามครั้งในชีวิตหรือจะแค่หนเดียวก็ยังดี
หลังจากที่ใช้เวลาเตรียมตัวนานที่สุดในชีวิตแล้ว ผมก็ออกจากบ้านไป
ผมขึ้นรถไฟได้ทันเวลาพอดี ผมเองก็จำไม่ได้แล้วว่าจะเดินไปสถานีไหนดีถึงจะใกล้ที่สุดเพราะตลอดเวลาที่ผมเดินไปตามทาง หัวของผมก็เอาแต่คิดเรื่องของอากิระอยู่ตลอดเวลา
ทั้งที่มันควรจะเป็นการนั่งรถไฟไปแบบยาวๆ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็มาถึงสถานีที่เป็นสถานที่จัดงานอีเว้นท์เร็วกว่าที่ผมคาดไว้
ผมคิดว่าผมไม่เคยรู้สึกว้าวุ่นขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิตนี้
พอผมเดินผ่านประตูตรวจตั๋วและออกจากสถานีผมก็ตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า
ผมจะได้เจออากิระตัวเป็นๆแล้ว
พวกเราจะจับมือกันและพูดคุยแลกเปลี่ยนกันสักสองสามคำ
และทุกครั้งที่ผมนึกถึงเรื่องนั้นผมก็เหงื่อตก
มันเป็นไปได้จริงๆเหรอ? ตัวผมน่ะทำแบบนั้นได้จริงๆอย่างนั้นหรอกเหรอ?
ขณะที่ผมกำลังเดินไปตามทางผมก็ประหม่าและเคว้งคว้างแต่ทันใดนั้น
พลั่ก!!
มีบางอย่างมากระแทกไหล่ของผมจากทางด้านหลังและผมก็เซไปด้านหน้า
“อูยยย…….”
“อ๊ะ! ขอโทษด้วยนะคะ!”
คนที่เข้ามาชนผมคือผู้หญิงที่ใส่ชุดสูท
เธออาจจะกำลังรีบอยู่หรือไม่ก็เธออาจจะพยายามจะเดินแซงหน้าผมก็เลยเผลอเข้ามาชนผม
“อ๊ะ!”
ทันทีที่ผมรู้สึกตัวว่าเธอคือผู้หญิงผมก็ชะงักไป
ผมอยากจะบอกว่าผมน่ะไม่เป็นอะไรหรอกนะ แต่คำพูดนั้นมันยังติดอยู่ในลำคอ
เมื่อผมเอาแต่อ้าปากแล้วก็หุบปากพะงาบๆอยู่อย่างนั้น
ผู้หญิงคนนั้นก็เดินเข้ามาหาผมด้วยสีหน้ากังวลใจ
“เป็นอะไรรึเปล่าคะ?…….บาดเจ็บตรงไหนไหมคะ?……”
“ผะ-ผะ ผมไม่เป็นไรครับ!!
พอผมพยายามเค้นเสียงออกมาจากลำคอ มันก็ออกมาดังกว่าที่ผมคาดไว้…..
และผู้หญิงคนนั้นก็ไหล่สั่นเทิ้มราวกับสะดุ้ง
ผมเหงื่อไหลออกมาอย่างบ้าคลั่งและก็ส่ายหัว
“จริงๆนะครับ ไม่เป็นอะไรครับ……..ผมเองก็ต้อง….ขอโทษด้วยนะครับ”
“ยะ-อย่างนั้นเหรอคะ ถ้างั้นชั้นเองก็ดีใจค่ะที่คุณไม่ได้เป็นอะไร”
เธอมองมาที่ผมราวกับว่าเธอได้เห็นอะไรแปลกๆแล้วเธอก็โค้งคำนับเล็กน้อยและเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อผมจ้องมองแผ่นหลังของเธอขณะที่เธอเดินจากไป ผมก็สูดหายใจเข้าลึกๆ
ผมรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวแฮะ
“เฮ้อ…….หรือว่าบางทีเราไม่ควรไปกันนะ………”
ผมบ่นพึมพัมออกมาเบาๆระดับที่ไม่มีใครได้ยินผมและเอนตัวเข้าไปพิงกำแพงที่อยู่ใกล้ๆ
คนที่เดินสัญจรไปมาก็ชำเลืองมองผม
ผมสูดหายใจเข้าลึกๆสองสามรอบและในที่สุดอัตราการเต้นของหัวใจที่เต้นรัวนั้นก็สงบลง
ผมกลัวผู้หญิง
ตอนที่ผมอยู่ชั้นประถมผมเคยมีประสบการณ์ที่เลวร้ายกับเด็กผู้หญิงที่ผมสนิทด้วย
และนั่นคือตอนที่โรค gynophobia ของผมเริ่มกำเริบขึ้นมา
(TL NOTE : gynophobia คือโรคกลัวสตรี เป็นอาการกลัวที่ไม่ใช่อาการเชิงรังเกียจ แต่เป็นในเชิงอาการหวาดกลัวต่อเพศสภาพภายนอกที่ดูเป็นผู้หญิง)
นับวันเจ้าโรคนี้มันเริ่มอาการหนักมากขึ้นเรื่อยๆทีละนิดทีละหน่อย
และสุดท้ายพอผมจบ ม.ปลาย ไอ้เจ้าโรคนี้ก็อาการหนักเกินจะรับมือได้
ตอนนี้การพูดคุยกับผู้หญิงในระยะเผาขนก็เพียงพอที่จะทำให้ผมพูดติดๆขัดๆและทำตัวไม่ถูก ไม่จำเป็นที่จะต้องถึงขั้นพูดคุยกับผุ้หญิงหรอกนะ แค่การเดินผ่านกับผู้หญิงก็ทำให้ผมรู้สึกประหม่าได้ระดับหนึ่งแล้ว
มันเป็นเรื่องที่ยากลำบากโครตๆสำหรับผมที่จะต้องทนทุกข์ใช้ชีวิตแบบนี้ต่อไป
แต่ก็ไม่ใช่ว่าผมรังเกียจพวกเธอนะ ผมเองก็สนใจเพศตรงข้ามมากพอๆกับคนอื่นนั่นแหละ
ในฐานะที่เป็นชายชาตรีอกสามศอก ผมเองก็มีความต้องการทางเพศเรื่องผู้หญิงอยู่เหมือนกันนะ
นอกจากนั้นแล้ว ผมก็ยังมีความกลัวที่จะได้เข้าไปพัวพันกับพวกผู้หญิงอีกด้วย……..
ผมกลัวที่จะถูกจ้องมองถูกเข้าหาหรือพูดคุยด้วย
นั่นก็เลยเป็นเหตุผลว่าทำไมไอดอลคือสิ่งที่ใช่สำหรับผม
เพราะไอดอลน่ะไม่ได้จ้องมองมาที่ผม ผมรู้ว่าพวกเธอกำลังจ้องมองดูเหล่าแฟนๆของพวกเธอทั้งหมดและไม่เคยได้เหลียวมองมาที่ผม
เพราะไอดอลไม่เข้าใกล้ผม ถ้าหากว่าผมไม่เข้าไปหาพวกเธอล่ะก็ พวกเธอก็คงจะไม่มีวันที่จะมาปฏิสัมพันธ์กับผม
เพราะว่าไอดอลไม่คุยกับผม คำพูดที่พวกเธอส่งถึงแฟนๆของพวกเธอทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน
สิ่งที่ผมทำก็คือการที่ได้จ้องมองที่ไอดอลเพียงฝ่ายเดียว
และนั่นก็คือเหตุผลที่ทำให้ตัวผมรู้สึกดี
ส่วนเหตุผลที่ผมไปงานจับมือของอากิระก็คือผมต้องการให้กำลังใจเธอ
ถึงแม้ว่าผมจะต้องระงับอาการกลัวผู้หญิงนี่ก่อนก็ตามทีเถอะ
แต่นี่ก็เป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญครั้งหนึ่งสำหรับผม
ผมเชื่อว่าผมสามารถควบคุมไอ้โรค gynophobia ได้ด้วยความกล้าหาญฮึดสู้
ผมคงจะไม่ติดปัญหาอะไรเลยถ้าหากว่าผมสามารถข่มสิ่งที่ผมมิอาจเอาชนะมันมาก่อนได้ด้วยความกล้าหาญจอมปลอมของตัวผมเอง
“ชั้นว่า……ชั้นหยุดดีกว่า……..”
ผมทรุดตัวลงขณะที่พูดกับตัวเอง
แต่ผมก็เห็นรอยยิ้มของอากิระผุดขึ้นมาภายในใจแบบทันทีทันใด
เธอพิเศษออกไป
นอกจากนี้ผมไม่ใช่แค่คนๆเดียวที่เธอมอบรอยยิ้มให้
ผมมันก็แค่หนึ่งในบรรดาเหล่าโอตะจำนวนมากมายของเธอที่อยากจะจับมือเธอแค่นั้น
ไม่เห็นที่จะต้องไปกังวลเรื่องความแตกต่างทางเพศสภาพของเราเลยนี่นา
ใช่….. ผมมาไกลขนาดนี้แล้ว
ผมยังคงย้ำกับตัวเองว่าผมจะต้องเดินหน้าต่อไป
และในที่สุดผมก็คิดคำพูดที่จะพูดกับเธอออก
ไม่ว่าคำๆนั้นมันจะสั้นหรือยาวแค่ไหนก็ตาม
ผมก็คิดว่าผมจะถ่ายทอดคำเหล่านั้นออกไปให้กับเธอแล้วหลังจากนั้นก็ค่อยกลับบ้าน