ศพ – ตอนที่ 128 การปรากฎตัวที่กระทันหันของผีผู้หญิง

ตอนที่ 128 การปรากฎตัวที่กระทันหันของผีผู้หญิง

จู่ๆก็เห็นฉากนี้ สีหน้าของผมจึงเปลี่ยนไปทันที

ผมตัวสั่นไปทั้งตัว ร่างกายแข็งทื่ออยู่ครู่หนึ่ง

บ้าเอ้ย นี่มันเรื่องอะไรกัน

อยู่ดีๆ ทำไมจู่ๆก็มีผีผู้หญิงชุดขาวออกมาปรากฎตัวได้ละ แถมยังส่งยิ้มที่น่าขนลุกนั้นให้ผมเป็นพิเศษอีก

หัวใจเต้นตุ๋มๆต่อมๆ เพราะพึ่งตื่น ผมเลยคิดว่าตัวเองตาฝาด จึงรีบขยี่ตาทันที

แต่หลังจากผมขยี่ตาเสร็จ เมื่อลืมตามามองอีกครั้ง

 

ตรงหน้าต่างก็ไม่มีผู้หญิงชุดขาวอยู่อีกแล้ว เห็นเป็นเพียงแค่พื้นที่ว่างๆ ไม่มีอะไรยืนอยู่สักนิด

และพลังหยินที่เข้ามาในบ้าน ก็ได้ถอยกลับไปอย่างรวดเร็ว และจางหายไปภายในพริบตา

ผมอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้า หัวใจเต้นเร็วขึ้นกว่าเดิม

เริ่มมีความรู้สึกหวาดกลัวเกิดขึ้น เป็นความหวาดกลัวที่อธิบายไม่ได้

แต่ ผมไม่ได้คิดว่านี่จะเป็นแค่ภาพลวงตา นี่จะต้องเป็นเรื่องจริงแน่ๆ

ผมไม่ได้ตาลาย เมื่อกี้ หน้าต่างบานนั้นจะต้องมีผู้หญิงใบหน้าขาวซีดยืนอยู่จริงๆ

และสิ่งที่ผมมั่นใจยิ่งกว่านั้นคือ นั่นน่าจะเป็นผีผู้หญิงหน้าตาขาวซีด

 

แม้จะไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆผีผู้หญิงตนหนึ่งก็ออกมาปรากฎตัวที่นี่ แต่ผมก็ไม่กล้าประมาท

ผมขมวดคิ้ว รีบหนุมตัวไปปลุกหยางเฉ่วและเฟิงเฉ่วหานที่อยู่ข้างๆกันบนโซฟา

“ หยางเฉ่ว เหล่าเฟิง รีบตื่นเร็ว ตื่นเร็วมีเรื่องแล้ว ! ” ผมรีบพูด

ทั้งสองคนถูกผมปลุกให้ตื่นอย่างรวดเร็ว หลังจากตื่นขึ้นมา พวกเขาก็ยังคงสะลึมสะลือ

“ ติงฝานมีอะไร ” หยางเฉ่วพูดพลางหาวไปด้วย

เฟิงเฉ่วหานเองก็ลูบตาของตัวเอง ดูท่าทางง่วงมาก

ผมแสดงสีหน้าจริงจัง “ เมื่อกี้ฉันเห็นผีผู้หญิง ! ”

เสียงพึ่งเงียบลง ทั้งสองคนก็ตกใจมาก รีบหันมามองผมทันที

 

“ ผีผู้หญิง เรื่องอะไรกัน ” เฟิงเฉ่วหานทำหน้าสงสัย

หยางเฉ่วขมวดคิ้ว พูดด้วยความสังสัย “ จะมีผีหญิงออกมาปรากฏตัวได้ยังไง นายเห็นจริงๆเหรอ ”

ผมพยักหน้าอย่างหนักแน่น “ จริงๆ อยู่หลังหน้าต่างบานนั้น เธอมองมาที่พวกเรา แต่ชั่วพริบตา เธอก็หายไปแล้ว ! ฉันเลยปลุกพวกนาย ! ”

ขณะที่พูด ผมก็ถือดาบไม้ไปที่ประตูบ้าน เปิดประตูเดินออกไปดูข้างนอก

“ ไม่ใช่มั้ง ! ที่นี่ไม่ได้มีแค่ผีทารกแค่ตัวเดียวเหรอ หรือว่าจะมีผีผู้หญิงอีกตัว ” หยางเฉ่วพูดด้วยความสงสัย พร้อมกับเดินเข้ามาหาผม

เฟิงเฉ่วหานเองก็ตื่นตัวขึ้นมา จากนั้นก็รีบเข้ามาใกล้ๆอย่างรวดเร็ว

 

“ ไม่ผิดแน่ จะต้องเป็นผีผู้หญิงแน่ๆ ! ” ผมมั่นใจมาก สำรวจซ้ายขวาอย่างละเอียด แต่ตอนนี้นอกจากในสวนหย่อม จะมีพลังหยินไหลออกมาจากบ่อน้ำแล้ว รอบๆก็มืดมิด ไม่มีร่างของผีผู้หญิงเลยสักนิด

ทุกคนสำรวจไปรอบๆ แต่ก็ยังไม่พบความผิดปกติใดๆ แม้แต่บ่อน้ำก็ไม่ผิดปกติ

หลังจากหยางเฉ่วมองดูได้สักพัก เธอก็หันมาพูดกับผมว่า “ ที่นี่นอกจากผีทารกดุร้ายตัวหนึ่งแล้ว ตามหลักแล้วก็ไม่น่าจะมีผีเร่ร่อนเข้ามายุ่งย่ามกับแถวนี้นะ ! ”

“ อือ ! ถ้าติงฝานมองไม่ผิดจริงๆ งั้นก็อาจมีความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่ง คือแถวนี้มีผีร้ายอยู่สองตัว ! นอกจากผีทารกนั้น ก็คือผีผู้หญิง ! ” เฟิงเฉ่วหานเองก็พูดเพิ่ม

เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ ผมกลับสูดหายใจเข้าลึกๆ แค่ผีทารกตัวเดียวก็ทำให้พวกเราสู้ยากพออยู่แล้ว

 

ถ้าตอนนี้มีผีผู้หญิงออกมาอีกตัวละก็ งั้นก็จัดการยากจริงๆแล้วละ

แต่เรื่องที่แปลกก็คือ ยัยผีนั้นอยู่ที่ไหน ทำไมถึงออกมาปรากฎตัว และทำไมถึงหายไปดื้อๆ

“ ถ้าแถวนี้มีผีผู้หญิงอีกตัวอยู่จริง งั้นเธอซ่อนอยู่ที่ไหน พื้นที่แห่งนี้ใหญ่จะตาย ตอนมานอกจากพวกเราจะสัมผัสถึงพลันหยินในบ่อน้ำแล้ว ก็ไม่รู้สึกว่าที่อื่นจะมีเลยสักนิด ! ”

“ เรื่องนี้ฉันก็สงสัยเหมือนกัน ! ” หยางเฉ่วพูดตาม

เฟิงเฉ่วหานเห็นทั้งสองคนกำลังสงสัย จึงพูดเพิ่มอีกครั้ง “ ฉันว่า ไม่ว่าจะมีผีผู้หญิงจริงไหม ยังไงพวกเราก็ต้องจัดการผีทารกให้ได้ก่อน ส่วนเรื่องที่มีผีผู้หญิงอยู่จริงไหมนั้น หรืออาจอยู่แถวนี้ รอให้คืนพรุ่งนี้พวกเราจัดการผีทารกเสร็จก่อน แล้วค่อยคิดกันอีกทีเถอะ ! ”

 

เฟิงเฉ่วหานพูดได้สั้นมากๆ แต่เมื่อผมและหยางเฉ่วได้ยิน ก็เห็นด้วยกับความคิดของเขา

ตอนนี้ ทำได้เพียงเท่านี้ ไม่มีตัวเลือกอื่นแล้ว

หลังจากนั้น ทุกคนก็ยืนมองรอบๆอยู่ที่หน้าประตูอีกพักหนึ่ง

เพราะจูจูอยู่ในบ้าน และผีทารกก็เข้าไปซ่อนตัวในบ่อน้ำที่อยู่ใกล้ๆ พวกเราจึงไม่กล้าจากไปไหน

เมื่อเห็นว่าไม่เจออะไร จึงเดินกลับเข้ามาในบ้านอีกครั้ง

หยางเฉ่วและเฟิงเฉ่วหานก็หลับไปอีกครั้ง แต่ผมเอนตัวนั่งบนโซฟา ไม่ว่าจะทำยังไงก็นอนไม่หลับซะที

ในใจของผมคิดถึงภาพผีผู้หญิงไม่หยุด ทำไมผมเป็นคนแรกที่สัมผัสถึงพลังหยิน และก็ตื่นขึ้นมาเห็นผีผู้หญิงตนนั้น

 

ภายในพวกเราสามคน พลังของผมน้อยที่สุด ฝีมือก็จัดว่าแย่ที่สุด

ถ้าเป็นแค่เรื่องบังเอิญ งั้นผีผู้หญิงนั้นมาจากไหน

ทำไมเธอต้องปรากฎตัวแค่ในเวลานี้ เธอยืนทำอะไรที่หน้าต่าง สุดท้ายยังยิ้มสยดสยองนั้นอีก มันหมายความว่ายังไงกันแน่

คำถามพวกนี้ทำให้ผมนอนไม่หลับ คิดว่าตอนนี้ตัวเองกำลังกลัวอยู่รึเปล่า ถึงได้รู้สึกสงสัยยัยผีนั้นขึ้นมา

ระหว่างค่ำคืนที่คลุมเครือ ผมก็ยังคิดไม่ตก

จนกระทั่งฟ้าสาง ผมถึงได้นอนไปนิดหน่อย

 

ตอนนี้พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว ผีทารกที่อยู่ในบ่อ ก็ไม่สามารถทำอะไรกับพวกเราได้อีก

หลังจากกินอะไรนิดๆหน่อยๆเรียบร้อย ผมและเฟิงเฉ่วหานก็บอกให้หยางเฉ่วดูแลจูจู

จากนั้นผมสองคนก็ออกมาซื้อลูกอมและของเล่น ที่จะใช้กับผีทารกในคืนนี้

ที่นี่ค่อนข้างห่างไกลผู้คน ผมสองคนใช้เวลาเดิน 40 กว่านาที ถึงได้มาเจอกับซุปเปอร์มาร์เก็ตเล็กๆแห่งหนึ่ง

โชคดีที่ในร้านมีทั้งของกินและพวกของเล่นขายอยู่ พวกเราซื้อพวกขนมและของกินอื่นๆ จากนั้นก็หยิบชุดของเล่นตุ๊กตาบาร์บี้ รถกระบะจิ๋ว และหน้ากากอุลตร้าแมนสามอัน

ผมคิดว่าของพวกนี้ น่าจะล่อผีทารกออกมาจากบ่อได้ ดังนั้นจึงพาเฟิงเฉ่วหานเดินกลับมาทางเดิม

เมื่อกลับมาถึงสวนหย่อม ก็เห็นหยางเฉ่วและจูจูกำลังคุยกันอยู่

 

แต่สีหน้าของจูจูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะเรื่องของผีทารก ทำให้จิตใจของเธอแย่มากๆ

พวกเราเองก็ไม่พูดถึงเรื่องผีทารก เพื่อหลีกเลี่ยงการกระตุ้นเธอ

แน่นอน เพราะเมื่อคืนผมเห็นผีผู้หญิง จึงอดไม่ได้ที่จะถามจูจูเกี่ยวกับเรื่องนี้

ประมาณว่าก่อนหน้านี้ ในละแวกนี้เคยมีผู้หญิงตายโหงหรือตายด้วยความไม่เป็นธรรมบ้างไหม

แต่จูจูกลับตอบว่า ปกติในระแวกนี้ไม่มีคนอยู่ด้วยซ้ำ

คนที่ยังอยู่ที่นี่ ส่วนใหญ่จะเป็นคนแก่และเด็ก ส่วนคนหนุ่มสาวนั้นไม่อยู่ที่นี่ และเธอก็ยังไม่เคยได้ยินว่าแถวนี้มีหญิงสาวตายด้วย

เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ ผมก็รู้สึกสงสัยยิ่งกว่าเดิม

 

ในเมื่อไม่มีผู้หญิงตายโหง แล้วทำไมผีผู้หญิงตนนั้นถึงมีพลังหยินที่รุนแรงแบบนั้นได้ละ

หรือว่าสิ่งที่ผมเห็นเมื่อคืน จะเป็นแค่ผีเร่ร่อนธรรมดา ที่ผ่านทางเข้ามา แล้วยืนมองที่หน้าต่างแค่ครู่เดียวเท่านั้น แต่โชคดีที่ผมตื่นมาเห็นก่อน หรือว่า ผมจะมองผิดไปจริงๆ หรือเครียดจนเห็นภาพหลอนไปเอง

ในใจผมหาคำตอบไม่ได้ซะที ทำได้เพียงพักเรื่องนี้เอาไว้ก่อน รอให้จัดการผีทารกได้แล้วค่อยว่ากันใหม่

หลังจากกินข้าวเที่ยงเสร็จ หยางเฉ่วก็เริ่มสร้างวงเวทย์ที่สวนหย่อม

หยางเฉ่วลากเชือกสีแดงจำนวนมากคดเคี้ยวไปมา ด้านบนยังมีกระดิ่งอยู่หนึ่งอัน

เชือกเหล่านี้บรรจบกันที่ตรงกลาง หยางเฉ่วยังแทรกธงเล็กๆผืนหนึ่งลงไป บนพื้นยังมียันต์จำนวนมากวางเอาไว้ แต่ใช้วิธีฝังในทรายเพื่อกลบเกลื่อนร่องรอย

 

ไม่ใช่แค่นี้ กระดิ่งที่แขวอยู่ เชือกสีแดงหรือยันต์ที่ฝังเอาไว้ รอบๆสวนหย่อน ต่างมีอักขระที่ผมไม่เข้าใจสลักเอาไว้ พวกมันดูลึกลับมาก

ผมไม่เข้าในเลยสักนิด แต่เฟิงเฉ่วหานกลับเข้าใจ

และยังอธิบายให้ผมฟัง บอกว่าหยางเฉ่วทำประตูสู่ชีวิตและความตาย

ขอแค่ล่อผีทารกออกมาได้ เมื่อถึงเวลานั้นประตูแห่งชีวิตและความตายของวงเวทย์ดอกเหมยก็จะเปลี่ยนไป และกลายเป็นคุกที่จองจำผีทารกเอาไว้ในนี้ เป็นคุกแบบวงเวทย์……

ฟังดูแล้วคงร้ายกาจมาก แต่ผมก็ไม่รู้ว่ามันทำงานยังไง จึงค่อนข้างตื่นเต้นอยากเห็นเร็วๆ

 

จากนั้น พวกเราก็อยู่ในสวนหย่อมกันทั้งบ่าย

จนกระทั่งพระอาทิตย์ตกดิน พลังหยินในสวนหย่อมก็กลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง

และอารมณ์ของผมสามคน ก็ค่อยๆเพิ่มขึ้นตามพลังหยินที่ ค่อยๆเคร่งขรึมขึ้นเรื่อยๆ

พวกเราเข้าใจดี จะแพ้หรือชนะ ก็ต้องรอดูกันในคืนนี้……

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset