ศพ – ตอนที่ 11 ผู้หญิงระเบิดมังกร

จู่ๆยายโม่ก็หัวเราะออกมา มันทำให้ผมมึนงงในทันที

ทันใดนั้นสมองก็คิดขึ้นมาได้ เมื่อคืนมีคนแก่มาส่งข้าวและบอกให้จุดธูปให้นิ ดูเหมือนจะคล้ายกับเสียงนี้เลยแฮะ

ถ้าผมเดาไม่ผิด เมื่อคืนคนที่ยืนอยู่ข้างนอก จะต้องเป็นเธอแน่ๆ ดูเหมือนเธอจะไม่ได้เป็นผีเร่ร่อน และน่าจะมีความเชื่อมโยงกันกับผีเมียของผมด้วย

แต่ สิ่งที่สำคัญกว่าคือความรู้สึกของชีวิตที่ยังเหลืออยู่

เพราะผีเมียของผม ไม่ใช่ผียายแกตนนี้!

 

ไม่อย่างนั้นชีวิตที่เหลือของผม ก็จะต้องอยู่ร่วมกันกับผียายแก่ตนนี้ แล้วแบบนั้นผมจะรับมันไหวได้ยังไงละ

ส่วนอาจารย์และเหล่าฉิน พวกเขาเองก็สงสัยจึงมองสำรวจรอบๆตัวของยายโม่ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

ในเวลานี้ พวกเขาเห็นแค่ผมกำลังทำตัวมีมารยาทกับผีผู้หญิงที่อ้างว่าชื่อยายโม่

ในเวลาเดียวกันผมก็พูดว่า “ยายโม่ ไม่ทราบว่าคุณหนูของยายอยู่ไหนเหรอครับ ทำไมผมถึงไม่เห็นเธอด้วยล่ะ”

ยายโม่หัวเราะ “ฮ่าฮ่า” และพูด “คุณหนูได้มาพบคุณผู้ชายแล้ว หากวันไหนคุณหนูอยากเจอคุณอีก เธอจะปรากฎตัวต่อหน้าคุณเอง!”

 

เมื่อได้ยินผียายโม่พูดแบบนี้ ผมก็รู้สึกผิดหวังนิดหน่อย

แต่ไม่รอให้ผมได้พูด ผียายโม่ตนนี้ก็เปิดปากพูดกับผมอีกครั้ง “คุณผู้ชาย ผีสามีภรรยาคู่นั้นดุร้ายมาก ฉันช่วยคุณได้หนึ่งครั้ง แต่ช่วยเพิ่มอีกครั้งไม่ได้ คุณต้องระวังตัวไว้ให้ดีๆ!”

เมื่อได้ยินผียายพูดถึงผีสามีภรรยาที่จมน้ำตาย ผมก็ขมวดคิ้วอีกครั้ง

สิ่งนี้ไม่ได้โดนยายไล่ออกไปแล้วเหรอ พวกเขายังกล้ากลับมาหาผมอีกอย่างงั้นเหรอ

และอีกอย่างยายก็ร้ายกาจขนาดนี้ ทำไมไม่กำจัดผีร้ายสองตนนั้นไปเลยล่ะ แบบนี้ก็ทำให้ผมปลอดภัยแล้วไม่ใช่เหรอ

 

ขณะที่ใจผมกำลังคิดแบบนี้ ผมก็กำลังจะพูดออกมา

แต่อาจารย์ดันรีบพูดออกมาซะก่อน “ยายโม่ ศิษย์ของผู้น้อยยังมีความสามารถเพียงเล็กน้อย ดังนั้นจึงอยากขอเชิญให้ยายโม่ ช่วยกำจัดผีร้ายสองตนนั้นได้ไหมครับ”

ผียายโม่เมื่อได้ยินกลับถอนหายใจออกมา จากนั้นเธอก็พูดด้วยเสียงอันแหบแห้ง “ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากช่วย แต่คุณหนูท่านไม่อนุญาต ดังนั้นเรื่องทั้งหมดนี้ คงต้องขอให้คุณผู้ชายจัดการเองแล้วละค่ะ!”

อะไรนะ เมียผมไม่อนุญาต

อาจารย์ของผมและเหล่าฉินเผยสีหน้าที่ตกตะลึงออกมาทันที คนเป็นแต่งกับคนตายมันใช่เรื่องเล่นๆซะเมื่อไหร่

 

แต่งงานกันแล้ว ทั้งชีวิตอย่าคิดว่าจะแยกจากกันได้ สามารถพูดได้ว่าลมหายใจผูกติดกัน ร่วมเป็นร่วมอยู่

ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นอะไรขึ้นมา อีกฝ่ายก็จะได้รับผลกระทบจากการทำร้ายนั้นด้วยเช่นกัน

นี่ก็คือเหตุผล ที่อาจารย์บอกว่าคนเป็นแต่งกับผี ก็เพื่อให้ผีมาปัดเป่าภัยร้ายให้

ถ้าคู่ครองไม่อยากได้รับผลกระทบ ก็ต้องช่วยปัดเป่าภัยร้ายให้กับผม

แต่คู่ครองของผมนั้นดีเหลือเกิน ไม่เพียงไม่ออกมาช่วยผม ยังบอกให้ผมช่วยเหลือตัวเอง เธอนี่ช่างเป็นคนที่มีเอกลักษณ์ซะจริงๆ

ผมเผยสีหน้าที่อึดอัดใจออกมา ณ เวลานี้ผมไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี

 

เมื่อผียายเห็นผมเงียบ เธอจึงพูดต่อ “คุณผู้ชาย แม้ว่าฉันจะไม่สามารถช่วยคุณได้ แต่ฉันมีวิธี ที่จะสามารถกำจัดผีสองตนนั้นได้!”

ผมดีใจทันที จึงรีบถามเธอ “จริงเหรอครับ เชิญยายโม่ชี้แนะเลยครับ!”

ผมพูดด้วยความดีใจ แต่จู่ๆยายโม่ก็หยุดไป เธอหันไปมองกระถางธูปของศาลเจ้าหลักเมืองที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก

ด้วยความที่ผมเป็นวัยรุ่น จึงไม่เรื่องรู้ราวอะไร ยังสงสัยว่ายายโม่มองไปที่กระถางธูปนั้นทำไม

แต่ทันใดนั้นอาจารย์และเหล่าฉินกลับเข้าใจทันที จากนั้นผมก็เห็นอาจารย์หยิบธูปสามดอกออกมาจากกระเป๋าสมบัติด้วยความรวดเร็ว

 

เหล่าฉินเองก็หยิบไฟแช็คขึ้นมาจุดไฟ แล้วจัดการจุดพวกมันอย่างรวดเร็ว

เมื่อเห็นควันลอยขึ้น ดวงตาของผียายตนนั้นก็แทบจะถลนออกมา มองธูปสามดอกนั้นอย่างหิวกระหาย

ลำคอนั้นก็เหมือนกับคนปกติ ที่กลืนน้ำลายอย่างไม่หยุดหย่อน

จากนั้นอาจารย์ก็ถือกระถางธูปนั้น มาด้านหน้าของผียาย ในเวลาเดียวกันเขาก็พูดออกมาด้วยเสียงอันสุภาพ “ยายโม่ รบกวนคุณช่วยชี้แนะพวกเราด้วยนะครับ!”

หลังพูดจบ อาจารย์ก็วางมันลงตรงหน้าของผียาย “ยายโม่ เชิญครับ!”

จากนั้นผียายก็หัวเราะ “ฮิฮิ” ออกมา เธอไม่เกรงใจ รีบสูดดมธูปสามดอกนั้นหนึ่งลมหายใจ

 

ทันใดนั้นธูปสามดอกก็มอดไหม้อย่างรวดเร็ว ควันที่ลอยออกมา ในอากาศ ก็หายเข้าไปในจมูกของผียายทันที……

เมื่อก่อนผมเคยได้ยินเรื่องผีสูดควันธูป แต่ก็แค่ได้ยินมาเท่านั้น

กลับไม่เคยได้เห็นเลยสักครั้ง คืนนี้ถือได้เปิดโลกเลยทีเดียว นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นเหตุการณ์แปลกๆแบบนี้

ถ้าควันนั้นถูกคนสูดเข้าไป มีหวังได้สำลักควันตายอย่างแน่นอน

แต่เมื่อผียายสูดเข้าไปแล้ว เธอกลับมีท่าทางผ่อนคลาย ดูเพลิดเพลินกับมันมาก

ผมยืนมองอยู่ข้างๆด้วยสีหน้าที่ตกตะลึง แค่ยืนนิ่งมองดูผียายสูดควันเข้าไปเท่านั้น

 

หลังจากที่สบายใจ เธอก็เผยรอยยิ้มออกมา พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง “สบายจริงๆ ในเมื่อฉันก็ได้รับธูปจากคุณผู้ชายแล้ว ยายก็จะไม่ถ่วงเวลาอีกต่อไป”

ได้ยินแบบนั้นประสาทของพวกเราก็ตื่นตัวขึ้นมาทันที แล้วก็จ้องมองไปที่ผียาย

เมื่อผียายพูดมาถึงตรงนี้ เธอก็มองมาที่พวกเรา จากนั้นก็พูดว่า “ผีน้ำสองตนนี้มักอยู่ในแอ่งน้ำ ดังนั้นช่วงนี้พวกคุณก็อย่าเข้าไปใกล้อ่างเก็บน้ำก็พอ”

“ในเวลาเดียวกัน เผื่อมีอะไรที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น พรุ่งนี้พวกคุณก็ไปที่สุสานของสองตนนี้ แล้วก็ขุดเอาโกศของพวกเขาออกมา จากนั้นก็เอาฟางถมเอาไว้แทน……”

 

ผียายพูดออกมาทีละคำๆ และบอกวิธีจัดการผีสองตนนั้นให้กับพวกเรา

ในช่วงเวลานี้ ผมก็เหมือนได้สูดควันเข้าไปด้วยเช่นกัน สีหน้าของผมดูมีสีสันขึ้นมามากทีเดียว

ผียายบอกว่า หลังจากขุดเอาโกศออกมาแล้ว ก็นำกลับไปตั้งไว้ที่บ้าน

ถ้าผ่านไปสามเดือนแล้วไม่มีอะไรเกิดขึ้น งั้นก็แสดงว่าผีสองตนนั้นถูกยมทูตนำตัวไปแล้ว หรือไม่ก็เลิกราวีแล้ว

แต่ถ้าพวกนั้นกลับมาหาเรื่องพวกคุณอีก ก็ให้พวกเราเอาพริกไทยดำไปโรยลงในโกศของพวกเขาหนึ่งกำมือ

จากนั้นก็เขย่ามันให้ผสมรวมกันกับเถ้ากระดูกของพวกเขา หลังจากทำแบบนี้ พวกเขาจะรู้สึกทรมานจนบรรยายออกมาไม่ได้ และพวกเขาจะเจ็บปวดแสนสาหัส

 

และหลังจากนั้น พวกเราก็จะมีโอกาสกำจัดผีสองตนนั้นได้!

เมื่อฟังคำพูดเหล่านี้จบ ผมและอาจารย์ต่างก็แสดงความรู้สึกดีใจออกมา และรีบขอบคุณผียายทันที

หลังจากที่ผียายสูดควันธูปเสร็จ เธอก็หัวเราะ “ฮ่าฮ่า” ออกมาจากนั้นก็พูดว่า “คุณผู้ชาย ยายขอตัวก่อนนะ”

หลังจากพูดจบ เธอก็โบกมือ เดินเขย่งเท้า และถือไม้เท้ามังกรออกไปจากศาลเจ้าหลักเมืองทันที

แต่ออกไปได้ไม่นาน ร่างของผียายก็หายไปอย่างไร้ร่อยรอย

อาจารย์และเหล่าฉินก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก แต่ผมยิ่งอยากรู้เรื่องของผีเมียมากขึ้นกว่าเดิม

 

เธอทั้งลบเพื่อนของผม และเปลี่ยนชื่อให้ผมเป็นผู้ชายกากฆ่าตัวตายนั้นยังพอรับได้ แต่ทำไมเธอถึงยังไม่ออกมาเจอผมเลย หรือจะหน้าตาน่าเกลียดจนไม่กล้าออกมาเจอผู้คนอย่างงั้นเหรอ

และที่สำคัญกว่านั้น อีกนิดเดียวผมก็เกือบถูกผีชาวประมงสองสามีภรรยานั้นฆ่าตายอยู่แล้ว แต่เธอก็ยังไม่ออกมาช่วยผม และยังสั่งไม่ให้ยายโม่มาช่วยด้วย เธอนี่มันน่ารังเกียจจริงๆ

แต่เรื่องนี้มันยังไม่จบ ดังนั้นพวกเราจึงพักผ่อนอีกครู่หนึ่ง จากนั้นก็ค่อยเดินทางกลับไปที่ร้าน

ก่อนอาจารย์จะเข้าไปนอน เขาบอกให้ผมจุดธูปให้ผีเมีย และกำชับว่าอย่าลืมอีกด้วย

 

ใจของผมกำลังสับสน ทั้งลบเพื่อน เปลี่ยนชื่อผม แล้วยังบอกห้ามให้ช่วยอีก

ดังนั้นตอนที่ผมจุดธูป ผมจึงใจลอย แถมปากยังพูดออกมาประโยคหนึ่งคือ ต้องน่าเกลียดจนไม่กล้าออกมาเจอผู้คนแน่

ที่จริงผมก็พูดออกไปงั้นๆแหละ ผมเป็นคนประเภทชอบพูดอะไรออกมาตรงๆ

ผมเองก็ไม่ได้จริงจังกับมัน แต่ที่ไหนได้

หลังจากผมกลับไปนอนหลับที่ห้อง ผมกลับรู้สึกว่าบนใบหน้าของผมนั้นกำลังมีอะไรบางอย่างถูอยู่ ระหว่างนั้นผมก็ยังได้ยินเสียงหัวเราะ “ฮ่าฮ่า” ของผู้หญิงดังขึ้น

 

เนื่องจากผมง่วงมาก จึงคิดว่ามันเป็นความฝัน เลยไม่ได้สนใจอะไร

แต่ตอนที่ผมตื่นมาเข้าห้องน้ำในตอนรุ่งเช้า ผมถึงกับต้องตกตะลึง

เพราะตอนนี้หน้าของผม ที่หน้าผาก ไม่รู้ว่ามันถูกทาสีตั้งแต่เมื่อไหร่ ขอบตาดำคล้ำ และปากสีแดงก่ำ

บนหน้ายังมีอักษรเขียนไว้สองคำ “น่าเกลียด” แต่สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นคือ ที่กระจกของห้องน้ำ ยังมีกรรไกรแขวนอยู่หนึ่งอันด้วย

เมื่อเห็นสิ่งเหล่านี้ ผมก็ตกใจจนแทบช็อก

วินาทีนั้นผมกลัวจนรนราน รีบนำกรรไกรลงมา แล้วรีบเปิดน้ำล้างหน้าทันที

 

หลังจากกลับมาจากข้างนอก ผมก็ยังเห็นป้ายนิรนามของเมีย ตอนนั้นผมก็ยืนตัวสั่นทันที

คำพูดเมื่อคืน ผีผู้หญิงตนนี้จะต้องได้ยินอย่างแน่นอน และยัยผีเมียนี้ก็ยังพยาบาทมากอีกด้วย

ทาสีบนหน้ายังพอว่า แต่เอากรรไกรไปแขวนนี้ เธอจะต้องอยากขู่ผมแน่ๆ

ตอนนี้เมื่อผมคิดถึงเรื่องนั้นที่ด้านล่างก็รู้สึกเย็นวาบขึ้นมาทันที แบบนี้มันเรียกว่าแต่งเมียที่ไหนกัน

มันเรียกว่าแต่งกับตัวโมโหง่ายชัดๆ และยังต้องคอยระวังไม่ให้ยัยนั้นมาระเบิดมังกรน้อยของผมอีก……

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset