ศพ – ตอนที่ 7 แต่งงานกับผี

อาจารย์ลืมตาทั้งสองข้าง และยังสามารถพูดได้ ผมจึงรู้สึกดีใจมาก

แต่เมื่อได้ยินถึงคำสุดท้ายของอาจารย์ จิตใจของผมก็ตกลงไปอีกครั้ง

ใบหน้าเริ่มหงิกงอ ในสมองมีเสียงเวิงๆระเบิดออกมา ร่างกายนิ่งเงียบไปทันที

อาจารย์ค่อยๆลุกขึ้นนั่ง จากนั้นก็ตบตัวผมเบาๆ พูดกับผมด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง “ติงฝาน แกอย่ากลัวไปเลย แม้ว่าผีร้ายนี้จะสู้ด้วยยาก แต่อาจารย์เอาชีวิตเป็นประกัน ฉันจะคอยปกป้องแกให้ปลอดภัยเอง!”

หลังจากพูดจบ อาจารย์ก็ไอ “แค่ก…แค่ก” ออกมาอย่างรุนแรง

 

การเผชิญหน้ากับความตาย แม้ว่าในใจจะรู้สึกหวากกลัวมาก แต่เมื่อได้ยินคำนี้จากอาจารย์ ผมก็รู้สึกซาบซึ้งในทันที

ขณะที่อาจารย์เริ่มไอ ผมก็รีบพูดทันที “อาจารย์ อาจารย์ ผม ผมไม่กลัว ขอแค่อาจารย์ไม่เป็นอะไรก็พอแล้วครับ!”

ขณะที่ผมพูด ก็ตบไปที่หลังของอาจารย์เบาๆ ผ่านไปสักพักเขาก็กลับมาหายใจเป็นปกติอีกครั้ง

ในเวลานี้ เหล่าฉินที่วิ่งไปเอาผ้าพันแผลและยาห้ามเลือดก็มาถึง

เหล่าฉินเห็นอาจารย์ฟื้นขึ้นมา เขาก็ดีใจในทันที แล้วก็รีบใส่ยาห้ามเลือดให้กับอาจารย์

ดีที่มันเป็นแค่แผลภายนอก แค่เสียเลือดไปมากเท่านั้น นอกนั้นก็ไม่มีแผลที่ทำร้ายถึงไปกระดูก

 

เหล่าฉิน ยังปลอบใจอาจารย์ของผมไปในตัว บอกให้เขาสบายใจได้ และพักผ่อนให้เยอะๆ

บอกว่าผีผู้หญิงนั้นถูกเลือดหมาดำสาดใส่ เธอคงไม่กลับมาหาเรื่องอีกในเวลาสั้นๆนี้แน่!

แต่เมื่ออาจารย์ได้ยินประโยคนี้ เขากลับส่ายหัวทันที

เขาบอกว่าอย่างมากก็แค่วันเดียว และพอผ่านไป ผมก็จะหนีไม่พ้นอยู่ดี!

ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อถึงเวลานั้นนอกจากผมแล้ว เขาและเหล่าฉิน จะต้องเข้ามาพัวพันด้วย……

เมื่อพูดถึงจุดนี้ อาจารย์ก็ถอนหายใจออกมา และไม่พูดอะไรต่ออีก

ผมและเหล่าฉินเมื่อฟังมาถึงตรงนี้ พวกเราก็ต่างแสดงสีหน้าตกตะลึงออกมา

 

ผมจึงถามต่อ “อาจารย์ งั้นเป้าหมายของผีสองสามีภรรยานั้นก็คือผมและลุงซาน ตอนนี้ลุงซานตายไปแล้ว เหลือแค่ผมคนเดียว แค่ผมตายไปก็จบแล้วไม่ใช่เหรอครับ พวกคุณเข้ามาเกี่ยวข้องได้ยังไงกันละครับ”

ผมแสดงสีหน้าสงสัย ไม่กล้าเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน

แต่อาจารย์กลับเผยรอยยิ้มที่ขมขื่นออกมา บอกว่าเขาช่วยผมหลอกผีร้ายสองตนถึงสองครั้ง เหล่าฉินยิ่งแล้วใหญ่ไปทำร้ายจนผีผู้หญิงบาดเจ็บ

และสาเหตุที่ผีมีคำว่า “ร้าย” ก็แปลว่าพวกเขาดุร้ายมาก จนเรียกได้ว่ามีแค้นยังไงก็ต้องชำระ

ดังนั้นหลังจากผมตาย พวกเขาต้องมารังควานอาจารย์กับเหล่าฉินต่อ

เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ ผมก็รู้สึกผิดมากขึ้น

 

การเก็บศพโดยบังเอิญแค่ครั้งเดียว ไม่เพียงต้องจ่ายด้วยชีวิตของลุงสาม ตอนนี้ยังพลอยทำให้อาจารย์และเหล่าฉินลำบากไปด้วย ในใจของผมรู้สึกแย่จนทำอะไรต่อไม่ไหว

เหล่าฉินทำงานนี้มาครึ่งชีวิต แม้ว่าจะไม่ได้มีความสามารถพิเศษอะไร แต่เขาก็ไม่ได้เป็นคนรักตัวกลัวตาย

ในเวลานี้เขาทำสีหน้าเคร่งขรึม และพูดออกมาตรงๆ “ฮึ! อย่างมากก็แค่สู้กับพวกมัน รอให้ถึงวันพรุ่งนี้ ฉันจะหาเลือดหมาดำมาใหม่ ถ้าผีร้ายนั้นกล้ามาอีก ฉันจะสาดมันให้ตายเอง!”

อาจารย์ถอนหายใจออกมา “เหล่าฉิน วิธีนี้เราใช้ไปครั้งหนึ่งแล้ว ถ้ายังคิดจะใช้อีก มันไม่มีทางได้ผลแล้วล่ะ”

“ไม่ได้ผลงั้นเหรอ เหล่าติง งั้นนายว่าพวกเราควรทำยังไง หรือว่าพวกเราจะยืนรอความตายแบบนั้นรึไง” เหล่าฉินพูดพร้อมกับทำหน้าขมวดคิ้ว

 

และผมเองก็ทำหน้าสงสัยมองไปที่อาจารย์ด้วยเช่นกัน รอดูว่าอาจารย์จะมีวิธีอะไรบ้างไหม

อาจารย์ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เปิดปากพูด “ตอนนี้พวกเราอยู่ที่นี่ มีเพียงวิธีสุดท้ายเท่านั้น ก็คือ ก็คือ……”

“ก็คืออะไร นายพูดออกมาซะทีซิ!” เหล่าฉินถามด้วยความร้อนใจ

อาจารย์กลับหันมามองที่ผม “ก็คือต้องทำให้เสี่ยวฝานไม่ได้รับความเป็นธรรม!”

ทำให้ผมไม่ได้รับความเป็นธรรม ผมในงงทันที

แต่ต่อมาผมก็พูดว่า “อาจารย์ ถ้ามันสามารถทำให้ชีวิตของทุกคนปลอดภัยได้ และกำจัดผีชั่วสองตนนั้นไปได้ ผมก็ยินดีทำให้ผมไม่ได้รับความเป็นธรรมเถอะครับ!”

 

หลังจากที่อาจารย์ฟังผมพูดจบ เขาก็แสดงสีหน้าซีเรียสออกมา จากนั้นก็พูดกับผมว่า “พรุ่งนี้ฉันจะให้แกแต่งงาน แกจะยอมไหม”

“อะไรนะ แต่งงานอะไร”

ผมงงหนักกว่าเดิม ถึงกับคายคำพูดพวกนั้นออกมา ทำหน้าตาไม่อยากเชื่อ

แฟนสักคนผมยังไม่มีเลย จะไปแต่งงานได้ยังไง ถึงจะไปซื้อเมียที่เวียดนามก็ไม่ทันแล้ว

แล้วก็นะ ถึงแม้จะแต่งงานแล้ว จะหนีความตายจากผีชาวประมงสองสามีภรรยาคู่นั้นได้จริงๆงั้นเหรอ

ผมทำหน้าเหวอไม่เข้าใจกับสิ่งที่อาจารย์พูด แต่ดูเหมือนเหล่าฉินที่ยืนอยู่ข้างๆจะเข้าใจความหมาย เพราะสีหน้าของเขาดูเปลี่ยนไปในทันที

 

แต่ไม่รอให้ทั้งสองคนได้พูด ผมก็ถามต่ออีกครั้ง “อาจารย์ ผมไม่มีแฟน จะแต่งงานได้ยังไงละครับ! แต่ถึงจะแต่งงานแล้ว จะหนีจากผีชาวประมงสองสามีภรรยาคู่นั้นได้จริงเหรอครับ”

สีหน้าของอาจารย์ยังไม่เปลี่ยนแปลง ยังคงเผยสีหน้าที่ซีเรียสออกมา ในเวลานี้เขาพยักหน้าให้กับผม “ถูกต้อง แค่แกแต่งงาน ก็หนีภัยร้ายนี้ได้ และยิ่งไปกว่านั้นแกไม่จำเป็นต้องมีแฟนด้วย!”

ผมฟังพร้อมกับแสดงสีหน้าที่สับสน ไม่ต้องการแฟนงั้นเหรอ แล้วจะแต่งงานได้ยังไงละ

ไม่รอให้ผมต้องถามอีกรอบ เหล่าฉินที่ทำสีหน้าหวาดกลัวก็พูดกับอาจารย์ของผมด้วยน้ำเสียงที่ติดอ่าง “เหล่า เหล่าติง นายคงไม่ คงไม่ให้เสี่ยวฝาน เสี่ยวฝานแต่ง แต่งงานกับผีหรอกนะ”

 

เมื่อได้ยินคำว่า “แต่งงานกับผี” ผมก็ยิ่งมึนหนักยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม

การแต่งงานกับผีนั้นผมก็รู้ มันถูกเรียกว่าการแต่งงานของคนตาย

โดยปกติแล้ว จะจัดขึ้นเพื่อหาคู่แต่งงานให้กับหนุ่มสาวที่ตายไปแล้ว

คนเฒ่าคนแก่คิดว่า ชีวิตของคนเราจะแก่ ป่วย และตาย แต่ก่อนหน้านั้นก็ต้องแต่งงานมีลูก

ถ้ายังไม่ได้แต่งงานแล้วเสียชีวิตก่อน จะคิดว่าชีวิตของคนแบบนี้ยังไม่ถือว่าสมบูรณ์

ไม่สามารถลงไปในนรกได้ อยู่อย่างสิ้นหวัง จากนั้นก็จะมารังควานคนในครอบครัว

 

ดังนั้นพวกคนเฒ่าคนแก่จึงคิดว่าการจัดพิธีแต่งงานให้กับหนุ่มสาวที่ตายไป และค้นหาหนุ่มสาวที่มีอายุใกล้เคียงกัน ฝังกระดูกพวกเขาร่วมกัน มันก็เหมือนกับพิธีแต่งงานของคน ที่จะต้องมีสินสอดทองหมั้น ในสมัยก่อนยังมีเพลงงานแต่งของคนตายเป็นพิเศษอีกด้วย

แต่เมื่อมาถึงในปัจจุบัน เรื่องแบบนี้ก็พบเห็นได้น้อยมากแล้ว

แต่ปัญหาก็คือ นี่เป็นพิธีที่จัดให้กับหมุ่นสาวที่ตายไปแล้ว และผมยังมีชีวิตอยู่ แล้วจะมาแต่งงานกับผีได้ยังไง

ถึงจะทำได้ แต่ไม่มีศพผู้หญิง ก็แต่งไม่ได้อยู่ดี!

เมื่อคิดถึงตรงนี้ ผมก็พูดกับอาจารย์อีกครั้ง “อาจารย์ การแต่งงานกับผีนี้ไม่ได้จัดให้คนตายเหรอ ผม ผมยังไม่ตายนะครับ จะแต่งงานกับผีได้เหรอ และอีกอย่าง ที่นี่ก็ไม่มีศพผู้หญิง ผมก็แต่งไม่ได้นะครับ!”

 

อาจารย์กลับพยักหน้าให้อย่างหนักแน่น “ได้! ศพผู้หญิงไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ไปหาเธอที่สุสานศพไร้ญาติก็ได้แล้ว หลังจากแต่งงานกับผีแล้ว ก็จะมีผีปกป้องภัยร้าย ช่วยปกป้องชีวิตแทนแก! แล้วก็ บางทีอาจจะหนีภัยร้ายครั้งนี้ได้อีกด้วย”

เมื่อได้ยินอาจารย์พูดแบบนี้ เดิมทีผมก็ไม่ได้คิดมากอยู่แล้ว ดังนั้นจึงตอบตกลงในทันที “อาจารย์ งั้นก็อย่ามาลังเลอยู่เลยครับ พาผมไปแต่งเลยครับ! ผมตกลง”

ผลลัพธ์ขณะที่เสียงพึ่งจางหายไป เหล่าฉินก็พูดขึ้นทันที “เสี่ยวฝาน แกรู้จักการแต่งงานกับผี แล้วรู้จักผลลัพธ์หลังแต่งงานไหม ผิดพลาดแค่นิดเดียว แกอาจตายอย่างน่าอนาถมากเลยนะ! เพราะมันเหมือนถูกฆ่าตายทั้งเป็น”

 

“ใช่แล้วลูกศิษย์ แกต้องคิดให้ดี ถ้าแต่งกับผีไปแล้ว ทั้งชีวิตนี้ของแกอาจจะแต่งงานมีลูกเหมือนคนปกติไม่ได้เลยนะ”

“ทุกวันทุกคืนอาจถูกผีตนหนึ่งหลอกหลอน! คนกับผียังมีข้อห้ามที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง แค่แตะโดนกัน ก็ต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย แกต้องคิดให้ดีๆซะก่อน” อาจารย์เองก็ถามผมด้วยความเคร่งเครียด ให้ผมได้เลือก

เมื่อกี้ผมไม่ได้คิดถึงจุดนี้ เมื่อได้ยินอาจารย์พูดออกมาแบบนั้น ผมก็เงียบนิ่งไปทันที

ทุกวันทุกคืนจะถูกผีตนหนึ่งหลอกหลอน คนและผีต่างกัน ไม่มีความรักระหว่างชายหญิง

ทั้งชีวิตไม่สามารถแต่งงานมีลูกได้ แค่คิดก็ทำให้คนกลัวแล้ว

 

แต่ว่า ตอนนี้ผมยังมีทางเลือกอื่นอีกเหรอ

ถ้าไม่ทำแบบนี้ อย่างมากที่สุดอีกสองสามวันข้างหน้า ผม อาจารย์ เหล่าฉิน พวกเราสามคนก็อาจได้รับอันตรายถึงชีวิต อีกอย่างถ้าตายสู้มีชีวิตต่อยังดีซะกว่า

เมื่อคิดถึงจุดนี้ ผมก็กัดฟัน หันไปพูดกับอาจารย์และเหล่าฉิน “ผมคิดดีแล้ว ขอแค่ยังมีชีวิตอยู่ ผมก็ไม่กลัว!”

เหล่าฉินไม่พูดอะไร เขาถอนหายใจออกมา

อาจารย์พยักหน้าเล็กน้อย บอกว่าในเมื่อผมตัดสินใจแล้ว งั้นพรุ่งนี้เราก็จะเริ่มทำพิธี

จากนั้น เหล่าฉินก็มาส่งผมกับอาจารย์ในร้าน

 

อาจารย์อายุมากแล้ว อาการบาดเจ็บก็ต้องดูหนักหนาเป็นธรรมดา หลังจากนอนลงบนเตียงได้ไม่นาน เขาก็หลับไปในทันที

แต่ผมกลับนอนพลิกไปพลิกมาแต่ก็นอนไม่หลับ จนถึงรุ่งสางผมพึ่งนอนหลับได้นิดเดียวเท่านั้น

เพราะคืนนี้ผมต้องแต่งงานกับผี ในช่วงเย็น เหล่าฉินจึงนำไก่ตัวผู้ตัวใหญ่มาให้พวกเราที่ร้าน

เมื่อสภาพร่างกายและจิตใจของอาจารย์ดีขึ้นมากแล้ว เมื่อเห็นเหล่าฉินมาถึง ทั้งสองคนก็เข้าไปคุยกันเสียงเบาๆในห้อง น่าจะคุยกันเรื่องพิธีในคืนนี้

ผมเองก็ไม่มีอารมณ์ไปแอบฟัง ผมจึงอยู่ด้านนอกเฝ้าร้านขายของ และเล่นเกมต่อไป

 

หลังจากฟ้ามืด อาจารย์และเหล่าฉินก็เดินออกมา ในเวลาเดียวกันยังนำของที่ใช้ทำพิธีออกมาด้วย จากนั้นก็พาผมออกมาจากร้านขายของ

ผมถามอาจารย์ว่าพวกเราจะไปไหนกัน อาจารย์ก็บอกว่าไปสุสานหม่าหลิง

ผมพูดเสียง “โอ้” ออกมา จากนั้นก็ไม่พูดอะไรอีก

ส่วนสุสานหม่าหลิง ก็คือคำที่พวกเราใช้เรียกสุสานศพไร้ญาติ ที่นั้นมีหลุมศพพังเละอยู่มากมาย

พลังหยินรุนแรงมาก บางครั้งยังสามารถมองเห็นผีได้อีกด้วย ดังนั้นเมื่อถึงเวลากลางคืนที่นั้นจะไม่มีใครกล้าเข้าไปสักคน ไม่รู้ว่าคืนนี้อาจารย์จะจับคู่แบบไหนให้มาแต่งงานกับผม

 

เมื่อพวกเรามาถึงสถานที่ ก็เป็นเวลา 3 ทุ่มกว่าแล้ว

สถานที่แห่งนี้พลังหยินหนาแน่นมาก มันเงียบจนน่ากลัว นอกจากนี้ยังเย็นเป็นพิเศษด้วย

อาจารย์และเหล่าฉินหาหลุมศพที่ค่อนข้างดีในบริเวณแถวนี้หนึ่งหลุม จากนั้นก็สร้างแท่นบูชาจำลองขึ้นมา

จุดเทียน และเผากระดาษเงินกระดาษทอง

ส่วนเหล่าฉินก็ให้ผมถือข้าวหยิงหยู้เอาไว้ มันก็คือข้าวที่ทำอาหารแล้วจากนั้นก็นำมาอบอีกที

หลังจากนั้นก็บอกให้ผมโรยข้าวหยิงหยู้ลงที่บริเวณนี้ โรยทุกที่อย่างละหนึ่งกำมือ จนกว่าข้าวในถุงจะหมด

แม้ว่าผมจะไม่รู้ว่าทำไมถึงต้องทำแบบนี้ แต่ก็ทำตามที่เขาบอก

ผมกำข้าวหยิงหยู้ขึ้นมา จากนั้นก็โรยมันออกไป

 

ขณะที่เมล็ดข้าวตกลงพื้น ทันใดนั้นก็มีเสียง “ฟิ้ว…” ดังขึ้น ภายใต้สิ่งแวดล้อมประเภทนี้และยังต้องมาได้ยินเสียงแบบนี้ มันจึงทำให้ตัวผมรู้สึกไม่สบายใจนิดหน่อย

แต่ยังดีที่ข้างหลังยังมีเหล่าฉินอยู่ หลังจากโรยข้าวเสร็จ ก็โรยกระดาษเงินกระดาษทองต่อ

และผมยังตะโกนตามเขาว่า “ผู้เฒ่าผู้แก่ที่อยู่รอบๆนี้มากินข้าวแล้วเอาอั่งเปาไปเร็ว! วันนี้เป็นงานมงคล หากมีการรบกวนใดๆ ก็ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย……”

หลังจากพูดจบ ผมยังต้องตีฆ้อง เสียงดัง “มง…มง”

แต่เมื่อผมได้ยินเหล่าฉินตะโกนแบบนี้ ในใจก็รู้สึกหวิวๆทันที มักรู้สึกว่าทั้งตัวต่างไม่สบาย แต่ก็ยังแกล้งทำเป็นใจกล้าและโรยข้าวต่อไป

 

เหล่าฉินก็พูดประโยคเดิมอย่างต่อเนื่อง จนทำให้บรรยากาศโดยรอบผิดปกติมาก

จนกระทั่งโรยข้าวในถุงหมด เหล่าฉินถึงได้พาตัวผมกลับไปหาอาจารย์

อาจารย์เตรียมพิธีจนเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้เขากำลังใช้ชุดนักพรตสีเหลืองยืนอยู่ด้านหน้า

เมื่อเห็นพวกเรากลับมา อาจารย์ก็ไม่รอช้า จุดเทียนสีแดงที่ตั้งอยู่บนโต๊ะทันที

ก่อนอื่นต้องบอกว่า ที่ด้านหน้ามีหุ่นฟางที่มีกระดาษเขียนวันเดือนปีเกิดของผมแปะเอาไว้

จากนั้น อาจารย์ก็หยิบดาบไม้ขึ้นมาร่ายรำ ในปากยังท่องคำอะไรบางอย่าง คงเป็นคำที่ใช้ในพิธี

เหมือนเวลาผ่านไปราวๆ 1 ชั่วโมง จู่รอบๆก็มีลมกระโชกแรงเกิดขึ้น มันเย็นยะเยือกมากทีเดียว

 

ทันใดนั้นฆ้องก็มีเสียงดัง “ติง…ติง…ติง”

เมื่ออาจารย์เห็นฆ้องเสียงดังขึ้น เขาก็พูดออกมาเบาๆ  “มาแล้ว”

หลังจากพูดจบ เขาก็อมเหล้าที่อยู่ในมือหนึ่งคำ ในเวลาเดียวกันเขาก็พ้นมันไปที่หุ่นฟาง

เสียงดัง “ฟูด” ทันใดนั้นกระดาษวันเดือนปีเกิดของผมที่อยู่บนหุ่นฟาง ก็ถูกเผาทันที

ในเวลาเดียวกัน อาจารย์ก็ตะโกนมาทางผม “ติงฝาน มาคุกเข่าตรงหน้าฉัน……”

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset