แน่นอนว่าฉินซีไม่สามารถยื่นรออยู่กับที่อย่างเชื่อฟังได้ ตอนที่ลู่เซิ่นกำลังเดินตามจ้านเซินไป เธอก็พยายามตามไปดูเช่นกัน แต่กลับถูกรั้งเอาไว้
“ฉินซี” คนที่พูดคือถังย่า มือของเธอเย็นมาก เย็นจนเกือบจะทำให้ฉินซีสะดุ้งโหยง “อย่าเข้าไป”
ความวุ่นวายใจได้ปรากฏบนใบหน้าของฉินซีอย่างไม่อาจควบคุมเอาได้ “แต่ว่าฉันจะรออยู่ที่นี่ได้ยังไง…ฉันทำอะไรไม่ได้เลย…”
ถังย่ากำลังมองดูตนเองด้วยสีหน้าที่เวทนาสงสาร ฉินซีมองเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่า เป็นเพราะถังย่ามั่นใจว่า ลู่เซินแทบไม่มีโอกาสชนะเลยนั่นเอง
ความเวทนาสงสารนี้ทำให้ความโกรธแค้นที่อยู่ในใจของฉินซีเข้าครอบงำสมองของเธออย่างควบคุมไม่ได้ไปเสียแล้ว ไม่ได้รอให้ถังย่าพูดอะไร เธอก็สะบัดมือของถังย่าทิ้ง และยืนกรานที่จะเดินไปในทิศทางที่ลู่เซิ่นกับจ้านเซินไป
ถังย่าไม่ยืนกรานที่จะรั้งเธอไว้อีกต่อไป เพียงแต่พูดด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบอยู่ข้างหลังเธอว่า ” เธอไปแล้วมันจะมีประโยชน์อะไรล่ะ? เธอเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ไม่ได้หรอก”
ทิศทางที่ลู่เซิ่นกับจ้านเซินอยู่ตอนนี้อยู่ไม่ไกลจากพวกเขา เสียงของการต่อสู้จึงดังเข้ามาในหูของฉินซีได้อย่างชัดเจน เธอไม่สามารถ บอกได้ว่าเสียงดังตุบตับของหมัดนั้นเป็นเสียงที่เกิดจากการชกไปบนร่างกายของใคร ดังนั้นในใจของเธอจึง กระวนกระวายมากกว่าเดิม และดวงตาก็มีสีแดงปรากฏขึ้นมา
เธอก็เลยหันหน้าไปมองถังย่า แล้วพูดว่า “ทำไมเธอถึงได้มั่นใจขนาดนี้ว่าลู่เซิ่นจะแพ้?” ถังย่าไม่ได้ตอบอะไร เธอเพียงแต่มองฉินซีอไปตรงๆ ทุกอย่างที่เธอต้องการจะพูด รวมแล้วแต่ถูกเขียนไว้ในดวงตาของเธอแล้ว
ฉินซีรู้สึกจุกอยู่ในอกอย่างรวดเร็ว แต่เสียงของการต่อสู้อีกด้านหนึ่งกลับยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ เธอไม่สนใจที่จะโต้เถียงกับถังย่าอีกต่อไปแล้ว จึงยกเท้าขึ้นแล้วเดินไปทางนั้น
ในครั้งนี้ถังย่าไม่ได้ห้ามปรามเธออีก แต่กลับเดินไปพร้อมกันกับเธอ
ทั้งสองคนหยุดฝีเท้ายืนนิ่งอยู่บนขอบสนามประลองที่ลู่เซิ่นกับจ้านเซินต่อสู้กัน
ทักษะการต่อสู้ของจ้านเซินกับลู่เซิ่นล้วนไม่ใช่สิ่งที่เรียนไปเรื่อยเปื่อยเลย และสถานการณ์การต่อสู้ในตอนนี้ยังคงดุเดือดมาก เพียงช่วงเวลาหนึ่งจึงมองไม่ออกเลยว่าใครตกอยู่ในฐานะที่ได้เปรียบกันแน่
ทันใดนั้นถังย่าก็เอ่ยปากพูดมาว่า “เธอรู้ไหมว่าจ้านเซินมีวิธีการมากมายขนาดนั้น ทำไมเขาถึงต้องเลือกวิธีที่ดึกดำบรรพ์อย่างนี้ เก่าแก่อย่างนี้ แล้วก็…ไม่มีเทคนิคอะไรเลยอย่างนี้มาตัดสินผลลัพธ์สุดท้ายของเธอด้วยล่ะ?”
ฉินซีกำลังจับจ้องไปที่คนสองคนที่กำลังต่อสู้กันอยู่และไม่พูดไม่จาอะไร
ถังย่าไม่รู้สึกประหลาดใจกับความเฉยเมยของเธอเลย เพียงแต่พูดกับตัวเองต่อไปว่า “เห็นได้ชัดว่าเขาสามารถใช้พลังขององค์กรเพื่อบดขยี้บริษัทลู่ซื่อ ทำให้พวกเธอสองคนอยู่ในความยากจนและมองหน้ากันแล้วรู้สึกเอือมระอา หรือทำให้ให้ลู่เซิ่นหายตัวไปจากโลกนี้ให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยก็ได้ เธออย่ามองฉัน เธอเองก็รู้ดี ว่าจ้านเซินทำได้อยู่แล้ว”
ฉินซีถอนสายตากลับมา แต่คิ้วของเธอกลับขมวดแน่นเข้าด้วยกัน
แน่นอนว่าเธอรู้…ว่าจ้านเซินทำได้
แม้ว่าลู่เซิ่นได้พัฒนาบริษัทลู่ซื่อให้เป็นสถานประกอบการที่มีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิม และแม้ว่าอิทธิพลของตระกูลลู่เกือบจะครอบคลุมไปทั่วทั้งเมืองหนานแล้วก็ตาม แต่เมื่อเทียบกับองค์กรที่กระทำการลับหลังเพื่อก่อกวนผู้อื่นได้อย่างเชี่ยวชาญแบบนี้แล้ว ถ้าจ้านเซินอยากจะลงมือจริงๆ พวกเขาก็ไม่สามารถขัดขวางการลงมือที่สามารถแทรกซึมเข้าไปได้ทุกที่ขององค์กรได้
“แต่จ้านเซินบอกว่า……วิธีการเหล่านี้ ล้วนไม่ทางสำเร็จได้ด้วยมือของเขาเอง” เสียงพูดของถังย่าเย็นชาและไม่มีอารมณ์ใดใดเลย “เขาต้องการส่งลู่เซิ่นไปสู่ทางตันด้วยมือตัวเอง จึงจะสามารถแสดงความคิดของเขาออกมาได้อย่างเต็มที่ที่สุด”
ฉินซีตกตะลึง แล้วหันไปมองถังย่าในทันทีและพูดว่า “เธอพูดอะไร?จ้านเซินจะทำอะไรนะ?”
แล้วถังย่าก็พูดด้วยน้ำเสียงที่สงบนิ่งราวกับว่ากำลังพูดถึงสภาพอากาศในวันนี้ว่า “เธอคงไม่ได้คิดว่า…นี่เป็นเพียงการต่อสู้ธรรมดาๆหรอกนะ? พวกเขาทั้งสองฝ่ายต่างก็รู้อยู่แก่ใจดี ว่าถ้าไม่มีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดตาย ก็จะไม่สามารถหยุดได้”
แล้วสีหน้าของฉินซีก็เปลี่ยนเป็นสีขาวซีดราวกับหิมะ “……ไม่มีพ่ายแพ้ มีเพียงความตายเท่านั้นเหรอ?”
ถังย่าพยักหน้าเบาๆ แล้วพูดว่า “มีเพียงความตายเท่านั้น”
ฝ่ามือของฉินซีมีเหงื่อเย็นๆไหลออกมา แล้วเธอก็หันหน้าไปมองทั้งสองคนที่กำลังกอดฟัดกันอย่างอุตลุดอีกครั้ง
มุมปากของลู่เซิ่นแตกไปแล้ว และบนใบหน้าก็ยังมีรอยฟกช้ำอยู่หลายจุด แต่ดูเหมือนว่าจ้านเซินกลับฝีมือยอดเยี่ยมกว่าเขามาก อย่างน้อยฉินซีก็มองว่า ไม่ได้มีบาดแผลที่เห็นได้ชัดใดใดเลย ถึงขึ้น……ยังสามารถมองเห็นสีหน้าที่ดูหยิ่งผยองจางๆบนใบหน้าของเขาได้
ทันใดนั้นฉินซีก็ตื่นตัวขึ้นมา
เธอรู้ความสามารถในการต่อสู้ของจ้านเซินกับลู่เซิ่นเป็นอย่างดี แค่ความสามารถในวิชาหมัดมวยเพียงเท่านั้น จ้านเซินก็สามารถทำลายการมีอยู่ของลู่เซิ่นได้อย่างแน่นอน
ดังนั้นเมื่อสักครู่นี้เธอจึงยังมีข้อสงสัยอยู่บ้างว่า ทำไมลู่เซิ่นกับจ้านเซินถึงสามารถตีเสมอกันได้ และทำไมสถานการณ์ในการต่อสู้ถึงได้ดูรุ่มร้อนเล็กน้อย
แต่ทว่า……เมื่อเห็นสีหน้าที่ต่อสู้จนชำนาญโดยไม่ต้องออกแรงอะไรมากของจ้านเซินแล้ว เธอก็เข้าใจขึ้นมาในทันที
และจ้านเซินก็ไม่ได้ออกอาวุธอย่างเต็มที่เลย
เธอคิดถึงวรรณกรรมวิทยาศาสตร์ชิ้นหนึ่งที่เธอเคยอ่านขึ้นมา ที่จริงแล้วแมวเป็นสายพันธุ์ที่โหดร้ายมาก พวกมันชอบเล่นกับเหยื่อของตัวเอง ถ้าจับนกหรือสัตว์ตัวเล็กๆได้ พวกมันก็จะไม่รีบกินในทันที แต่จะทรมานอย่างช้าๆจนทำให้เยื่อหายใจแขม่วๆ แล้วจึงจะกินลงไป บางครั้งก็ถึงขั้นไม่กินเลย แต่จะหลงเหลือลมหายใจเฮือกหนึ่งเอาไว้ และเฝ้าดูพวกมันขาดใจตาย
จ้านเซินในตอนนี้ น่าจะกำลังคิดเช่นนี้อยู่ในใจ
ถ้าเขาใช้ความพยายามให้เต็มที่ เช่นนั้นน่าจะสามารถตัดสินผลแพ้ชนะออกมาได้อย่างรวดเร็ว ถ้าลู่เซิ่นไม่สามารถยืนหยัดได้อีกสักสองสามนาที เขาก็จะต้องพ่ายแพ้ไปอย่างยับเยิน
แต่ทว่าในช่วงเวลาอันสั้นเช่นนี้ อาจจะไม่เพียงพอให้เขาระบายอารมณ์และแสดงความเหนือชั้นของเขาออกมาได้
เขาต้องการทรมานลู่เซิ่นอย่างช้าๆ จึงเฝ้ามองดูเขาโหมกำลังต่อสู้อย่างสุดชีวิต คิดว่ายังมีทางรอดอยู่บ้าง และคิดว่าตัวเองพยายามอีกสักนิด ก็จะสามารถเอาชนะได้ หลังจากนั้นจึงค่อยทำลายความหวังของเขาให้สูญสิ้นไปด้วยมือของตัวเอง การทรมานเช่นนี้ ก็เพียงพอที่จะทำให้เขาได้ลิ้มรสชาติแล้ว และสามารถดับสลายจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของคนคนนึงไปได้อย่างแท้จริง ทั้งยังทำให้จิตใจที่ฮึกเหิมพังทลายลงไปอีกด้วย
ฉินซีรู้สึกหนาวสะท้านในหัวใจ จึงก้าวไปข้างหน้าสองก้าวโดยไม่รู้ตัว
ถังย่ารีบคว้าตัวเธอเอาไว้ แล้วพูดว่า “เธอจะทำอะไร? ขืนเธอเดินไปอีกก็จะเข้าไปในขอบเขตการต่อสู้ของพวกเขาแล้วนะ พวกเขาทั้งสองคนเป็นแบบนี้ ถ้าเกิดพลาดท่าทำร้ายเธอขึ้นมาจะทำยังไง?”
ฉินซีหันหน้าไปมองเธอด้วยสีหน้าที่ขาวซีด แต่สายตากลับแน่วแน่มั่นคง “ถังย่า ถ้าคนที่แพ้คือลู่เซิ่น และถ้าเขาไม่อยู่แล้ว ฉันก็คงมีชีวิตอยู่เพียงลำพังไม่ได้เหมือนกัน”
ถังย่าเงียบกริบ ผ่านไปสักพักจึงขมวดคิ้วแน่นและพูดว่า “เธอบ้าไปแล้วเหรอ? ไม่มีใครอยู่ไม่ได้โดยไม่มีใครหรอกนะ ทำไมจะต้องเอาชีวิตของตัวเองไปแขวนไว้กับเขาด้วย?”
ฉินซียิ้มเบาๆแล้วพูดว่า “ตอนที่ถูกจ้านเซินพากลับองค์กรในวันนั้น ฉันจำได้หมดทุกอย่าง แรกเริ่มเดิมทีก็จนปัญญาไม่รู้จะทำอย่างไรดี ถ้าหากไม่ใช่เพราะรู้ว่ามีคนรอฉันอยู่ข้างนอก และถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับฉัน ลู่เซิ่นจะต้องเสียใจอย่างแน่นอน วันแรกที่กลับมาถึงองค์กร ฉันอาจจะฆ่าตัวตายไปแล้วก็ได้ ตอนนี้…ถ้าหากลู่เซิ่นไม่อยู่แล้ว ฉันก็ต้องกลับไปที่องค์กรอีกครั้ง ตายตอนนั้น กับตายตอนนี้ มันแตกต่างกันตรงไหนล่ะ?”
ถังย่าอ้าปากอยากจะพูดอะไรออกมา ฉินซีกลับไม่ใช้โอกาสเธอได้พูด แต่ถามกลับไปว่า “ถังย่า ถ้าวันนี้คนที่ตายคือจ้านเซิน เธออยากจะมีชีวิตอยู่คนเดียวต่อไปไหม?”
ถังย่าอ้าปากขึ้นมา แต่กลับพูดอะไรไม่ออก
เธอไม่มีความมั่นใจเลยว่าตัวเองจะสามารถจากโลกนี้ไปพร้อมกับจ้านเซินได้ แต่ทว่า…เธอก็คิดไม่ออกเหมือนกันว่า ถ้าไม่มีจ้านเซิน เธอจะมีชีวิตอยู่ต่อไปบนโลกนี้ได้อย่างไร
ฉินซีเห็นว่าเธอไม่ได้พูดอะไรมาสักพักแล้ว บนใบหน้าก็ปรากฏสีหน้าที่ค่อนข้างเข้าใจอย่างชัดเจนออกมา แต่พอคิดว่าจะหันหน้ากลับไป ทันใดนั้นเสียงโลหะปะทะกันก็ดังขึ้นมาจากด้านนั้นที่ลู่เซิ่นกับจ้านเซินอยู่
ฉินซีตื่นตระหนกตกใจ จึงหันหน้ากลับไปมองทันที
เมื่อสักครู่นี้พวกเขาไม่ได้เอาอาวุธไปด้วยชัดๆ แล้วเสียงโลหะมาจากที่ไหนกัน…