หลังจากที่ฉินซีพูดออกมา และไม่มีใครปฏิเสธ
ลู่เซิ่นและโจวเอ้อรู้ว่า นี่คือทางเลือกที่ดีที่สุด
โจวเอ้อรู้สึกว่าความกดอากาศรอบตัวของลู่เซิ่นต่ำเล็กน้อย แต่เรื่องที่อยู่ตรงหน้าก็ยังหาข้อสรุปอะไรไม่ได้ เขาก็ทำได้เพียงแบกหน้าพูดขึ้นว่า “คุณไป…..ก็ดี อย่างแรกเลย เวินจิ้งกับคุณก็เป็นผู้หญิงเหมือนกัน คุณปรากฏตัวอยู่ข้างๆเธอในบาร์ เธอจะได้ไม่ระแวงมาก คุณลงมือก็ง่าย”
ฉินซียิ้ม “โจวเอ้อ อย่าสงสัยทักษะของฉันเลย แม้ว่าเธอจะป้องกันตัวเต็มที่แค่ไหน ฉันก็สามารถลงมือได้โดยไร้ร่องรอย”
แม้ขณะที่เธอพูดมองไปที่โจวเอ้อ แต่ทั้งสองก็รู้อยู่เต็มอก สิ่งที่เธอพูดนั้นกำลังพูดให้ลู่เซิ่นฟัง
ลู่เซิ่นเงียบตลอด แต่เอื้อมมือไปจับมือของฉินซี ออกแรงจับอย่างแรง
โจวเอ้อไม่อยากหันไปมองลู่เซิ่น ทำได้แค่มองฉินซีพยักหน้า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้…….มันควรจะจัดการให้เร็วที่สุด วันนี้เป็นวันที่เวินจิ้งจะมาที่บาร์พอดี พวกคุณทั้งสองก็ไม่ต้องกลับไปแล้ว ทานข้าวเย็นที่นี่เลย ฉันจะไปดูแลสถานการณ์ด้านล่างก่อน สักครู่ฉันจะให้คนเอายามาให้คุณ ต่อไป ก็ขึ้นอยู่กับคุณที่จะจัดการมันเอง”
ฉินซีไม่ได้สนใจการจัดการอะไรของเขา พยักหน้าตอบรับ
ลู่เซิ่นยังไม่พูดอะไร แต่ก็ไม่ได้ขัดขวางอะไร
โจวเอ้อสังเกตเห็นว่าเขากำลังรู้สึกอึดอัดใจอะไรสักอย่าง แต่ก็เข้าใจว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องระหว่างสามีภรรยา ไม่ใช่เรื่องที่คนนอกอย่างเขาจะเข้าไปยุ่ง แล้วโบกมือให้เตรียมห้องให้ทั้งสองคนพักผ่อน พาไปที่ห้องก็จากไปแล้ว
…….ต้องเว้นที่ว่างให้ทั้งสองคนได้คุยกันดีๆ
โจวเอ้อยืนอยู่หน้าประตู อดใจไม่หันไปมองผ่านหน้าต่างเล็กๆตรงประตู และเดินออกมาสองสามก้าว จัดคนมาเฝ้าหน้าประตูไว้ แล้วก็ลงไปชั้นล่างเพื่อเตรียมเปิดบาร์
……..
ความเงียบในห้องดูเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด ทำให้อากาศในห้องอึมครึม
ฉินซีไม่ได้เริ่มพูดก่อน ลู่เซิ่นก็ไม่คิดจะพูด ถ้าทั้งสองไม่ได้จับมือกันไว้แน่น แค่มองสีหน้า เกรงว่าจะเข้าใจผิดว่าทั้งสองคนเป็นแค่คนแปลกหน้า
ไม่รู้ผ่านไปนานแค่ไหน สุดท้ายลู่เซิ่นก็เป็นคนทำลายความเงียบนั้น
“…….ทั้งๆที่คุณก็รู้ ฉันทำเพื่อไม่อยากให้คุณไป แล้วทำไมคุณ……..ยังจะเสนอออกมาด้วยตัวเอง?”
เสียงของเขาค่อนข้างแห้งเพราะความเงียบมานาน แต่ความดื้อรั้นในน้ำเสียงของเขาชัดเจนขึ้น
ฉินซีหันกลับมา มองตาของลู่เซิ่นอย่างจริงจัง “ทั้งๆที่คุณก็รู้ นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุด ไม่ใช่หรอ?”
ลู่เซิ่นไม่ได้ตอบ
แน่นอนเขารู้ มิเช่นนั้นขณะที่ฉินซีเสนอข้อเสนอแนะนี้ ก็คงจะปฏิเสธมันโดยตรงแล้ว
…….ถ้าเป็นไปได้ หากมีทางเลือกที่ดีกว่านี้ เขาจะยอมให้ผู้หญิงของตัวเองไปทำเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร
ในห้องเงียบลงอีกครั้ง และเป็นเวลานาน ถึงจะถูกลู่เซิ่นทำลายโดยการถอนหายใจเบาๆ
เขาปล่อยมือที่จับมือของฉินซีไว้อย่างแน่น เงยหน้าขึ้น เอนหลังพิงโซฟาในห้อง ยกแขนขึ้นปิดหน้าของตัวเอง และทำให้เสียงของเขาดูอึดอัดเล็กน้อย
“แน่นอน ฉันรู้ว่านี่เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด แต่… นี่จะทำให้ฉันรู้สึกว่า ฉันไร้ความสามารถจริงๆ”
หลังจากรู้ว่าหลายปีที่ผ่านมาฉินซีมีชีวิตอย่างไรในองค์กร ลู่เซิ่นก็เคยสัญญากับตัวเอง ถ้าฉินซีสามารถกลับมาอยู่ข้างๆเขา เขาจะต้องปกป้องฉินซีให้ดีที่สุด จะไม่ยอมให้เธอกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิมอีก
เขาจะทำให้ฉินซีมีชีวิตที่มีความสุขที่สุดแบบคนธรรมดา จะให้ฉินซีอยู่ในมือของเขา เพื่อไม่ให้เธอได้รับอันตรายใดๆแม้นแต่เพียงนิดเดียว เพื่อรักษาบาดแผลเก่าของฉินซีที่อยู่ในองค์กร ทำให้เธอค่อยๆลืมทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับองค์กร
ทักษะที่ปราดเปรียวเหล่านั้น หรือการเข้าถึงข้อมูลอย่างอัจฉริยะเหล่านั้น ให้ลืมไปทุกอย่างเลยยิ่งดี
ขอแค่เธอเป็นช่างภาพธรรมดาคนหนึ่ง และอยู่กับตัวเองจนแก่เฒ่าก็พอแล้ว
แต่เขาทำไม่ได้
ตอนแรกก็ให้ฉินซีหลบซ่อนตัวกับเขามาตลอดทาง ต่อมาก็ต้องเผชิญกับความท้าทายที่ไม่แน่ใจว่าจะชนะหรือแพ้
แม้กระทั่ง……..ตอนนี้เขายังต้องพึ่งพาฉินซี ใช้ทักษะที่ได้เรียนรู้ในองค์กรเพื่อช่วยให้ตัวเองบรรลุเป้าหมายที่วางไว้
เขารู้สึกว่าเขาไร้ความสามารถและน่ารังเกียจ และประเมินตัวเองในเชิงลบทั้งหมด ท่วมท้นอยู่ในจิตใจของเขาราวกับเป็นกระแสน้ำ
เขาหลับตา แล้วใช้แขนขวางแสงทั้งหมดที่ผ่านเข้ามาจากโลกภายนอก แต่เขารู้สึกว่ามีจูบอันอบอุ่นเข้ามาในหูของตัวเอง
“ลู่เซิ่น ถ้าคุณพูดอย่างนั้น ฉันก็ควรรู้สึกว่าฉันไร้ความสามารถใช่ไหม?”
ฉินซีกระซิบที่หูของเขา
ลู่เซิ่นขมวดคิ้ว ลดแขนลง และลืมตาขึ้นมองไปที่ฉินซี “คุณไร้ความสามารถอะไร คุณควรอยู่ที่นั่น ให้ฉันได้ปกป้องคุณก็พอแล้ว ตอนนี้ฉันยังต้องพึ่งพาคุณ——”
เขายังพูดไม่จบ ก็ถูกฉินซีกดนิ้วไปที่ริมฝีปาก
“หุบปาก…….” ฉินซีกระซิบ “ถ้าคุณยังคิดเช่นนี้อีก ฉันจะโกรธแล้วนะ ลู่เซิ่น ฉันไม่ใช่นกขมิ้น หรือดอกไม้ในเรือนกระจก ฉันไม่ต้องการให้คุณปกป้องฉันจากลมและฝน ฉันสามารถอยู่เคียงข้างคุณ และสู้ไปกับคุณ คุณจะให้ฉันยืนที่เดิมพื่อรอคุณมาปกป้อง ฉันทำไม่ได้ นี่คือความยากลำบากที่เราสองคนต้องเผชิญหน้ากันด้วยกัน ถ้าไม่ใช่ฉัน คุณก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องแบบนี้ ไม่จำเป็นต้องต่อสู้กับองค์กรยักษ์ใหญ่ ดังนั้นอย่าบอกว่าให้ฉันรอคุณมาปกป้องอีก”
ฉินซีและลู่เซิ่นใกล้กันมาก และหลู่เซิ่นเกือบจะมองเข้าไปเห็นรูม่านตาของฉินซี
ความจริงจังในสายตาของเธอ สะดุดใจของลู่เซิ่น
ทั้งสองถูกแยกจากกันนานเกินไป และเขาคงลืมไปว่า ตอนฉินซีกับตัวเองอยู่ด้วยกัน ไม่เคยชอบอยู่ในสถานะที่ให้ใครมาปกป้อง
ในเวลาที่แยกจากกัน เขาก็เคยชินกับความรู้สึกที่เป็นร่มที่คอยป้องกันและควบคุมทุกอย่างอีกครั้ง
ตอนนี้ฉินซีพูดเช่นนี้ เขาถึงจำความรู้สึกตอนที่ฉินซีอยู่เคียงข้างตัวเองได้อีกครั้ง
“อย่ามองเรื่องที่ฉันจะทำในคืนนี้ เป็นเรื่องใหญ่โตอะไร” ฉินซีเห็นแววตาที่สั่นไหวของลู่เซิ่น และกล่าวต่อไปว่า “ฉันก็อยากจะทำอะไรเพื่ออนาคตของพวกเราบ้าง คุณอย่าคิดจะเอาเครดิตไปหมด”
ทันทีที่เธอพูด ลู่เซิ่นอดหัวเราะไม่ได้ ทั้งสองคนอยู่ใกล้กันมาก เขาแค่เงยหน้าขึ้นช้าๆ ก็กัดริมฝีปากของฉินซีเขาๆ “คุณพูดเก่งจริงๆ”
ฉินซีเห็นเขาคลายปมในใจแล้ว แล้วยิ้มจางๆ รู้สึกโล่งใจ
เธอรู้ช่วงเวลาที่ผ่านมา ลู่เซิ่นมีภาระหนักทางจิตใจ หลังจากยื่นหนังสือท้าให้กับจ้านเซิน ภายนอกเขาดูเฉยๆสบายๆ แต่เมื่อคืนฉินซีตื่นมา เห็นเขาสูบบุหรี่มวนต่อมวน ถึงได้รู้ว่า ในใจเขามีความกดดันมาก