ถึงแม้ว่าจ้านเซินจะถูกบังคับให้มาที่ห้องคนไข้นี้ แต่เขาก็ไม่ใช่คนไข้ที่จะได้รับการรักษาแบบลวกๆ ทรัพย์สินที่ติดตัวของเขาถูกเก็บไว้ข้างๆเป็นอย่างดี
เขาไม่ลังเลที่จะควักโทรศัพท์ออกมาจากในเสื้อของเขา แล้วโทรออกไปยังอีกหมายเลขหนึ่ง
“ส่งร่องรอยการเคลื่อนไหวของฉินซีกับลู่เซิ่นในวันนี้ให้ฉันด้วย”
คนทางนั้นตอบรับอย่างเรียบง่าย จ้านเซินก็ไม่ได้พูดอะไรอีก แล้วเอื้อมมือกดวางสายโทรศัพท์
แน่ว่าไม่ใช่มีเพียงแค่ถังย่าคนเดียวที่เขาที่สามารถใช้งานได้
ยิ่งไปกว่านั้น……ตอนนี้เขาเริ่มสงสัยในตัวถังย่าเล็กน้อย ดังนั้นแน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ที่เชื่อทุกอย่างที่เธอพูดอีก แม้แต่คำพูดของผู้ชายคนนั้นที่เธอเพิ่งพาเข้ามา เขาก็ไม่ได้เชื่อทั้งหมด
ลูกน้องที่รับโทรศัพท์นั้นทำงานมีประสิทธิภาพมาก เพียงไม่กี่นาทีก็ส่งสิ่งที่จ้านเซินอยากได้มาให้
จ้านเซินรีบกวาดสายตาดู ยืนยันว่าร่องรอยการเคลื่อนไหวของลู่เซิ่นกับฉินซีเหมือนที่ถังย่าบอกทุกอย่าง เขาถึงโล่งใจ เขาหยิบโทรศัพท์ที่บันทึกคลิปวิดีโอนั้นขึ้นมาอีกครั้งโดยที่ไม่รู้ตัว
แบตของโทรศัพท์ไม่เพียงพอ แต่เขาก็ยังจะเปิดคลิปวิดีโอนั้นอีกครั้ง
เสียงของฉินซีดังก้องมาอีกครั้ง
บางทีอาจจะเป็นเพราะฤทธิ์ของยาระงับประสาท หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะฉินซีกำลังใช้ใบหน้าของคนอื่นอยู่ เป็นเหตุทำให้จ้านเซินไม่มีสมาธิเลย เขาดูคลิปวิดีโออย่างจดจ่อสองสามวินาที จู่ๆเขาก็ฟุ้งซ่าน
——คนที่อยู่ในสมองเขา ณ ตอนนี้ คือ ถังย่า
ถึงแม้ว่าคุณหมอจะฉีดยาระงับประสาทให้เขาถึงสามเท่า แต่สำหรับจ้านเซินผู้ที่ได้รับการฝึกอบรมในการต่อต้านฤทธิ์ยาชนิดต่างๆตั้งแต่เด็กแล้ว ทำได้แค่เพียงให้อารมณ์เขาสงบลงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่มีทางทำให้เขาสะลึมสะลือได้
แต่เพื่อไม่ให้คุณหมอเพิ่มขนาดยาแล้วส่งผลต่อสภาวะสรีรวิทยาของตัวเขา จ้านเซินจึงหลับตาลง ทำเหมือนตัวเองกำลังนอนหลับ
คุณหมอเหล่านั้นก็ต่างคิดว่าเขากำลังนอนหลับอยู่ จึงนำตัวเขาไว้ในห้องนี้
ยาระงับประสาทไม่ได้ทำให้เขาตอบสนองช้า ในทางกลับกัน ทำให้อารมณ์เขาสงบลงได้ สมองก็ปลอดโปร่งขึ้น
เขาเริ่มไตร่ตรองถึงพฤติกรรมในช่วงเวลาที่ผ่านมาของตัวเอง
สูญเสียแต่กลับได้มาครอบครองอีกครั้ง ได้มาครอบครองแล้วกลับต้องสูญเสียไปอีก เหมือนเป็นวัฏจักร ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความอดทนของเขาค่อยๆหมดไป
ไม่เคยมีใครเคยท้าทายอำนาจของเขาเช่นนี้ และไม่เคยมีใครทำให้เขาหมดหนทางได้ขนาดนี้
มันเหมือนกับการฝังไวรัสในเครื่องมือชั้นเยี่ยม แล้วรันโปรแกรมที่เขาไม่สามารถแก้ไขได้ จ้านเซินคิดอยู่เสมอว่า ความสามารถในการรควบคุมตนเอง จะถูกทำลายลงด้วยโกรธ ความเศร้าโศกเสียใจจะทำให้เหมือนคนบ้า
แต่ภายใต้ของฤทธิ์ยา เขาก็ได้สงบนิ่งลง เขานอนลืมตามองเพดานอยู่บนเตียงคนไข้ หลังจากที่คิดวางแผนในใจ ต้องทำยังไงถึงจะนำตัวฉินซีกลับมาได้แล้ว จู่ๆประตูห้องคนไข้ก็ถูกเปิดออก
จ้านเซินคิดว่าเป็นพยาบาลที่ตรวจห้องกลับมาแล้ว เขาจึงหลับตาลงอีกครั้งด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย
แต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่าคนที่มาคือถังย่า และคิดไม่ถึงเลยว่าจู่ๆเธอ……จะเดินตรงเข้ามาข้างกายเขา ไม่เพียงแต่เอื้อมมือสัมผัสตัวเขา ยังต้องการที่จะจูบเขาอีกด้วย
เมื่อเธอกำลังจะจูบถึงตัวเอง จ้านเซินจำเป็นต้องลืมตาขึ้น
อันที่จริงแล้วเขาไม่ได้ปฏิเสธการสัมผัสกับถังย่าโดยสิ้นเชิง แต่ด้วยสัญชาตญาณของเขา ไม่ควรที่จะให้เธอจูบเขาจริงๆ
แน่นอน เมื่อถังย่าพบว่าตัวเขากำลังตื่นอยู่ จึงลุกขึ้นยืนตรงแล้วออกห่างจากตัวเขา
เห็นอากัปกิริยาที่ดูตื่นตระหนกของถังย่า ในใจของจ้านเซินรู้สึกแปลกประหลาดใจมาก
ในอดีตเขามองว่าถังย่าเป็นแค่ลูกน้องไม่ได้มีความพิเศษอะไรเลย ถ้าจะถามถึงความแตกต่าง ก็คือเธอใช้งานง่ายและเชื่อฟังเป็นพิเศษ เขาคิดไม่ถึงเลยว่า ถังย่าจะมีความรู้สึกเช่นนี้กับตัวเองจริงๆ
——ไม่ หากย้อนกลับไปคิด อันที่จริงแล้วถังย่าได้เปิดเผยเพิรุธต่างๆมากมาย เพียงแต่ว่าในอดีตเขาไม่สนใจและละเลยมันไปก็เท่านั้นเอง
ที่แปลกยิ่งกว่านั้นคือ ถ้าหากคนที่ทำเรื่องแบบนี้กับตนเองเป็นผู้อื่น อย่างนั้นอันดับแรกจ้านเซินก็คงจะรีบเอ่ยปากถามเธอทันที ลืมกฏขององค์กรไปแล้วหรือว่าห้ามสมาชิกในองค์กรมีความรักเด็ดขาด ถ้าไม่อย่างนั้นจะโดนไล่ตะเพิดให้ออกจากองค์กรไป
แต่มองไปที่ถังย่าที่กำลังตื่นตกใจอยู่ เขาพบว่าตนเองไม่ได้คิดที่จะลงโทษเธอเลย
ยิ่ง……เพราะว่าเห็นเธอตื่นตระหนกจนเกินไป จึงมีความคิดที่จะช่วยเธอปกปิดเรื่องที่ผ่านมา
จ้คนอย่างจ้านเซินหยิ่งผยองทำอะไรจนเคยตัวแล้ว ดังนั้นคิดอะไรก็ทำอย่างนั้น จึงแสร้งไปว่าไม่ได้เห็นการกระทำที่ถังย่าทำกับตนเอง จึงเปิดประเด็นเอ่ยปากถามเรื่องเบาะแสของฉินซี
……แต่ที่คิดไม่ถึง ดูเหมือนการทำแบบนี้ไม่ได้ทำให้ถังย่ารู้สึกดีขึ้น ในทางกลับกันกลับทำให้เธอรู้สึกมีอารมณ์ฉุนเฉียวมากยิ่งขึ้น
เดิมทีจ้านเซินก็ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องของความรู้สึกสักเท่าไหร่ ยิ่งใจที่ซับซ้อนของถังย่าเขายิ่งไม่มีทางที่จะเข้าใจ และเขาก็ไม่ได้คิดที่จะเข้าใจอะไร เพียงแค่รู้สึกว่าในเมื่อเขาเสแสร้งแกล้งทำเป็นไม่รู้แล้ว ก็จะทำเนียนๆ เออออ ตามน้ำต่อไปได้
เขาคิดไม่ถึงว่า ถังย่าจะระเบิดความโกรธออกมา แล้วจะ……ถามตนเองเกี่ยวกับเรื่องแบบนั้น
ในหัวของจ้านเซินคำพูดเหล่านี้ไม่น่าจะเป็นคำพูดที่ถังย่าจะพูดออกมาได้ เขามองไปที่ใบหน้าที่แดงก่ำด้วยความโมโหของถังย่า และรู้สึกแปลกๆเล็กน้อย
……แท้ที่จริงแล้วเธอชอบฉัน
การรับรู้นี้ไม่ได้ทำให้จ้านเซินรู้สึกไม่สบายใจ และไม่ได้ทำให้เขามีอารมณ์ที่แปรปรวนเป็นพิเศษแต่อย่างใด เธอคอยอยู่เคียงข้างกายเขา รับผิดชอบและขยันหมั่นเพียรเป็นเวลามานานหลายปี การที่พบว่าเธอมีความรู้สึกดีๆต่อตนเอง มันก็แค่เป็นเรื่องที่เป็นไปตามตามธรรมชาติ
จ้านเซินไม่ได้วางแผนที่จะจัดการถังย่า
เดิมที่ถ้าเป็นคนอื่น เขาคงจะขับไล่คนออกจากองค์กรอย่างเย็นชา เพราะการมีความรักถือว่าเป็นการทรยศ เขาคงจะให้อภัยไม่ได้
แต่การเผชิญหน้ากับถังย่า……เขาไม่มีความคิดแบบนี้เลยแม้แต่น้อย
จ้านเซินไม่เข้าใจลักษณะอาการแบบนี้ และอธิบายไม่ได้ว่าถังย่ามีความพิเศษอะไรสำหรับเขา คิดไปคิดมา จึงใช้เหตุผลที่ว่าเธอสร้างคุณประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ให้กับองค์กรมาอธิบาย
——เธอก็เป็นหนึ่งหัวหน้าคนสำคัญขององค์กร สถานะในปัจจุบัน นอกจากเขาแล้วก็ไม่มีใครที่อยู่เหนือเธอ หากลงมือกับเธอโดยพลการ จะต้องส่งผลกระทบต่อองค์กรอย่างแน่นอน
——
จ้านเซินใช้เหตุผลนี้ในการเพื่อโน้มน้าวใจตัวเอง พอเรียกสติกลับมาได้ โทรศัพท์มือถือในมือก็ดับลงเพราะแบตหมด
เขาเม้มริมฝีปากใส่หน้าจอที่มืดของโทรศัพท์ และไม่ได้นำโทรศัพท์ไปชาร์ตแบต แต่โยนไว้ที่ข้างกาย
ที่จริงดูตั้งหลายรอบแล้ว เนื้อหาในคลิปวิดีโอได้ตราตรึงติดอยู่ในสมองของเขานานแล้ว การที่เปิดซ้ำไปมา เป็นเพียงแค่นิสัยความเคยชินก็แค่นั้น
ตอนนี้……เขาต้องคิดให้รอบคอบว่า ควรจะจัดการปัญหาของฉินซีอย่างไร
เขารู้ว่าถังย่าพูดถูก สำหรับสถานการณ์ในตอนนี้ ถ้าให้ฉินซียอมกลับมาด้วยความเต็มใจ เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้แล้ว
แต่จะให้เขายอมแพ้ ก็เป็นไปไม่ได้เช่นกัน
รอยยิ้มที่เย็นชาปรากฏออกมาจากใบหน้าของจ้านเซิน
ในเมื่อต่างฝ่ายตามไม่ยอมประนีประนอม งั้นก็ลองดู ใครมันจะแน่มากกว่ากัน ฝีมือดีกว่ากัน ในสถานการณ์ที่ตาต่อตาฟันต่อฟันแบบนี้ ก็ต้องเดินให้สุดทาง