ความโกรธก่อนของถังย่าประดุจลูกโป่งที่โดนเจาะแตก หลังจากที่เสียงของจ้านเซินจบลง เธอก็ทรุดตัวลงทันที
ดวงตาของเธอแดงก่ำอย่างความคุมไม่ได้
หลังจากนั้นจู่ๆก็รู้สึกอับอายเล็กน้อย อย่าเลยเถิดไปกว่านี้เลย เขาใช้ปลายนิ้วเช็ดน้ำตาที่ซึมอยู่ที่หางตา ทำเป็นใจเย็นแล้วพูดว่า:
“รอเดี๋ยวเถอะ คนนั้นกำลังมา”
เธอรู้สึกว่าตัวเองนั้นทั้งน่าขันทั้งน่าสมเพช
จึงระบายความโกรธออกมา แต่พอจ้านเซินพูดแค่ประโยคเดียวก็ใจอ่อน พอตัดสินใจที่จะตัดใจแต่เพราะเพียงแค่สายตาของเขาทำให้เธอตัดใจไม่ได้
ตอนนี้น้ำตาเธอไหลพราก ตอนพูดเสียงก็ขึ้นจมูก จึงทำให้ดูน่าขันเล็กน้อย
เธอกำลังพยายามอย่างหนักในโลกของเธอ แต่สุดท้ายก็ต้องผ่านทุกข์ผ่านสุขเพียงคนเดียวตามลำพัง แต่จ้านเซิน เขาไม่ได้รู้อะไรเลย
ถึงแม้จะรู้แล้ว แม้แต่เพียงคำถามเดียวก็ไม่มี
จ้านเซินไม่ได้ตอบ ถังย่าก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ในห้องคนไข้กลับมาเงียบเชียบอีกครั้ง ถังย่าได้แต่กัดริมฝีปากของตัวเอง เพราะเกรงว่าตัวเองจะมีร้องไห้เล็ดลอดออกมา
โชคดีที่ความเงียบแบบนี้ไม่นานนัก เพราะถูกขัดจังหวะจากเสียงฝีเท้าที่มาจากระยะไกล
ประตูห้องคนไข้ถูกเปิดออก ใบหน้าที่หวาดกลัวของจูเซี่ยงเหวินปรากฏขึ้น
เขารู้สึกว่าวันนี้เป็นวันที่เขาโชคร้ายที่สุดแล้ว
อยู่ดีๆทำไมถึงต้องไปถ่ายสองคนนั้นด้วย?โดนจับรุมกระทืบไม่ว่า จะต้องมาตกไปอยู่ในกำมือของคนที่น่ากลัวยิ่งกว่าอีก
เขาอยู่บนรถเป็นเวลาหลายนาทีด้วยความหวาดกลัว แต่ชายชุดดำที่ยืนอยู่ข้างเขาคนนั้นจับตามองเขาอยู่ตลอดเวลา และเขาก็ไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่านั้น ระหว่างที่รอด้วยความเนิ่นนาน ใจของเขาก็ค่อยๆสงบลง ทันใดนั้นชายชุดดำก็มีการเคลื่อนไหว
เขาไม่พูดอธิบายอะไรเลย เพียงแค่เปิดประตูรถ ทำท่าเหมือนคุมตัวนักโทษ แล้วนำตัวจูเซี่ยงเหวินออกมาจากรถ จูเซี่ยงเหวินรู้สึกอึดอัด อดไม่ได้ที่จะดึงดันแล้วถามไปว่า: “นายจะทำอะไร?นายจะพาฉันไปไหน?!”
แต่ผู้ชายคนนั้นกลับไม่พูดอะไรเลย จูเซี่ยงเหวินสงสัยว่าเขาเป็นใบ้ การเผชิญหน้ากับจูเซี่ยงเหวินที่ดึงดัน เขาเอื้อมมือออกไป แล้วบีบไปที่ใกล้ๆกับบริเวณลำคอของจูเซี่ยงเหวิน
จูเซี่ยงเหวินรู้สึกเพียงว่าลิ้นของเขาเริ่มชา สักพักก็ไม่ได้มีเสียงออกมาอีก
เขารู้ตัวดีว่าต่อให้เขาดันทุรังยังไงก็ไม่มีประโยชน์ ดังนั้นทำได้แค่เลิกต่อต้าน และเดินตามผู้ชายชุดดำเดินเข้าไปในโรงพยาบาลอย่างเงียบๆ
ทั้งสองคนเดินไปได้สักสองสามนาที ก็หยุดอยู่ตรงที่หน้าห้องคนไข้ห้องหนึ่ง ผู้ชายคนนั้นไม่ได้พูดอะไร ได้เพียงแต่เปิดประตูและผลักเขาเข้าไป
พอจูเซี่ยงเหวินเงยหน้าขึ้น ก็เห็นผู้หญิงที่ชื่อถังย่า กับผู้ชายที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้
แต่เขายังไม่ทันได้ดูอย่างละเอียด ก็ถูกผู้สายชุดดำที่อยู่ข้างหลังคนนั้นผลัก เดินโซเซเข้าห้องคนไข้
เขาแทบจะคุกเข่าลงที่พื้น ดีที่คว้าจับข้างๆแล้วพยุงตัวเองไว้ได้ทัน แต่เห็นได้ชัดว่าผู้หญิงที่ชื่อถังย่าไม่ได้สนใจว่าเขาจะมีอาการอย่างไร เขายังไม่ทันได้ยืนขึ้นก็เอ่ยปากขึ้นว่า: “เอาคำที่เคยพูดกับฉันก่อนหน้านี้พูดอีกครั้งสิ”
จูเซี่ยงเหวินหยุดนิ่ง และเข้าใจทันที ผู้ชายที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้คนนั้นน่าจะเป็นหัวหน้าของถังย่า เธอพาตัวเขามา ก็เพื่อจะหาใครสักคนมารับมือ
แต่เขามองเห็นไม่ชัดว่าผู้ชายที่อยู่บนเตียงหน้าตาเป็นอย่างไร จูเซี่ยงเหวินสัมผัสได้ถึงออร่าที่พุ่งออกมาจากตัวเขา สัญชาตญาณของเขาบอกว่า บุคคลนี้เป็นคนที่ไม่ควรจะมีเรื่องด้วยมากกว่าถังย่า
ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าที่จะทำแชเชือน เรียบเรียงคำพูดแล้วบอกว่า: “วันนี้ฉันเห็นผู้ชายหน้าตาดีสองคนที่สวนสนุก สองนั้นเหมือนจะเป็นคู่รักกัน เลยรู้สึกประทับใจ เลยอยากจะถ่ายรูปพวกเขาเพื่อจะดึงดูดความสนใจ…… ”
ทักษะการบรรยายของจูเซี่ยงเหวินไม่ค่อยดีนัก คำพูดก็ค่อนข้างจะออกแนวจู้จี้หน่อยๆ ตรรกะก็ไม่ค่อยจะดีนัก แต่ตอนนี้ถังย่าไม่มีอารมณ์ที่จะไปต่อว่าเขา จ้านเซินกำลังมึนงงกับฤทธิ์ยาระงับประสาท จึงไม่ทันได้ขัดตัดบทเขา ปล่อยให้เขาเริ่มพูดจากตอนที่เจอลู่เซิ่นกับฉินซี เล่าไปเรื่อยๆจนถึงตอนได้พบถังย่า เขาจึงเอ่ยปากพูดว่า :“คลิปวิดีโออยู่ที่ไหน เอามาให้ฉันดู”
โทรศัพท์ถูกถังย่าเอาไปนานแล้ว เธอไม่ได้มองจูเซี่ยงเหวินเลย ยื่นมือออกไปหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงออกมา แล้วส่งต่อให้จ้านเซิน
ตอนแรกจูเซี่ยงเหวินตั้งใจจะฟ้องว่าถังย่าปฏิบัติอย่างไรกับเขาบ้าง แต่จู่ๆก็ถูกตัดบทไป ยังมีอีกหลายประโยคที่เก็บงำไว้ เขารู้สึกเสียความรู้สึกมาก แต่พอเห็นชายที่นอนบนเตียงคนไข้เริ่มดูคลิปวิดีโออย่างใจจดใจจ่อ เขาก็รู้เลยว่าไม่น่าจะมีโอกาสได้พูดอีกแล้ว ได้เพียงแค่เพียงก้มศีรษะและเบ้ริมฝีปากของเขา
ในห้องคนไข้เงียบขึ้นมาอีกครั้ง มีเพียงเสียงของลู่เซิ่นกับฉินซีที่ออกมาจากในโทรศัพท์
ถังย่าดูวิดีโอนั้นหลายรอบแล้ว ตอนนี้ไม่อยากดูลู่เซิ่นกับฉินซีทำท่าทางสวีทกันเลย เลยหันหน้าไปหาจูเซี่ยงเหวินแล้วโบกมือ ส่งสัญญาณให้เขาออกไป จากนั้นก็หันหน้ากลับมา แล้วมองออกไปทางนอกหน้าต่าง
พอจูเซี่ยงเหวินได้รับความเป็นอิสระ เขารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เขากลัวว่าถังย่าจะกลับใจ จึงบิดกลอนเปิดประตู และออกไปข้างนอก
เขาควบคุมการปิดประตูได้ไม่ดีนัก จึงทำให้เกิดเสียงดังขึ้น ถังย่าหันไปด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย แต่สายตาของเขาจ้องไปที่ใบหน้าของจ้านเซินโดยที่เขาไม่รู้ตัว
จ้านเซินกำลังใจจดใจจ่ออยู่กับการดูคลิปวิดีโอ ถ้าไม่ดูใกล้ๆเขาก็เห็นโทรศัพท์ไม่ชัดเจน เธอคิดว่าว่าจ้านเซินแทบจะเอาโทรศัพท์ติดไว้บนหน้าเสียแล้ว
คลิปวิดีโอไม่ยาวนัก สักพักก็ใกล้จะเปิดถึงท้ายคลิป ถังย่าไม่ได้หันหน้ากลับมา คิดว่าจะรอให้เขาดูให้จบ แล้วค่อยมาหารือหาวิธีแก้ไขด้วยกัน
แต่พอถึงท้ายคลิป เมื่อเธอกำลังจะเอ่ยปากพูด ทันใดนั้นก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมา
จ้านเซินเลยต้องเปิดคลิปใหม่อีกรอบ
ถังย่าขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วหันไปมองจ้านเซิน อยากจะเอ่ยปากเตือนเขา แต่เมื่อเธอเห็นแววตาตอนที่จ้านเซินดูคลิปแล้ว จึงกลับถอยกลับทันที
ดวงตาของจ้านเซินเป็นประกาย
ราวกับ……นักเดินทางที่เดินอยู่ในทะเลทรายมาหลายวัน จู่ๆ ก็เห็นพื้นที่สีเขียวอยู่ตรงหน้า
เธอรู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา แต่เธอกลับไม่สามารถเข้าใจจ้านเซินได้
เธอไม่ได้สุขสมหวังกับจ้านเซิน จ้านเซินก็ไม่สุขสมหวังกับฉินซีเหมือนกัน
ถ้าเธอมีโอกาสเธอจะอยู่ข้างๆจ้านเซินทุกวัน แต่สิ่งที่จ้านเซินต้องการคือคนที่ต้องการจะจากเขาไปตลอดเวลา
ความเจ็บปวดของเขา ก็คงไม่น้อยไปกว่าความเจ็บปวดของถังย่า
ดังนั้นถังย่าเป็นคนที่มีความอดทนมาก รออยู่ข้างๆ รอจ้านเซินดูคลิปวิดีโอซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกระทั่งแบตโทรศัพท์ใกล้จะหมด เขาถึงยอมปิดหน้าจอ
แต่เขาไม่ได้วางแผนที่จะเอาโทรศัพท์คืนให้กับถังย่า เขากลับกำไว้ในมือแน่น แล้วหลับตา
ความอ่อนแอที่อยู่บนใบหน้าของเขาทำให้ถังย่าไม่รู้ว่าจะพูดอะไร คำถามที่เธอวางแผนจะถามทั้งหมดจึงหยุดไว้ก่อน
ลักษณะของจ้านเซิน……เห็นได้อย่างชัดเจนว่าไม่เหมาะที่จะปรึกษาหารือเรื่องลู่เซิ่นกับฉินซีเลย
สองคนเงียบไปเป็นเวลานานสักพัก จนกระทั่งจ้านเซินลืมตาแล้วพูดว่า
“ฉินซีไปจากฉัน แล้วจะมีความสุขใช่มั๊ย?