ถังย่าไม่ตอบสนองต่อสิ่งที่ลู่เซิ่นกำลังพูดอยู่สักครู่หนึ่ง
เขาสามารถฟังออกหมดทุกคำ ทำไมประกอบเข้าด้วยกันแล้ว กลับไม่รู้ว่าหมายถึงอะไร
อะไรที่เรียกว่า……จบทุกอย่าง?
……
ในรถยนต์
ทั้งๆที่ลู่เซิ่นพูดแล้วว่าจะไม่เสียใจภายหลัง แต่ฉินซีไม่รู้หรือว่าไม่ได้ยิน คล้ายกับว่าเขาพึมพำกับตัวเอง จึงถามอีกครั้งเบาๆว่า
“จะไม่เสียใจภายหลังจริงๆใช่มั๊ย”
เสียงของเธอไม่ดัง แต่ลู่เซิ่นได้ยินเสียงอย่างชัดเจน
เขาหันไปมอง
ฉินซียังคงจ้องมองไปข้างหน้า แววตาแฝงไปด้วยความสับสน
เขารู้ว่าฉินซีกำลังลังเลอะไร
เขาปรับปรุงเละทบทวนตัวเอง หลังจากที่ฉินซีถูกจ้านเซินนำตัวไป เขาก็ทำงานอย่างหนักตลอดเวลาเพื่อที่จะพัฒนาบริษัทลู่ซื่อ แต่ปัจจุบันบริษัทลู่ซื่อต้องเผชิญหน้ากับจ้านเซินและความขัดแย้งขององค์กร ยังไม่มีข้อได้เปรียบที่เด็ดขาด ทั้งสองฝ่ายอาจจะเจ็บหนักอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่พวกเขาไม่สามารถรอต่อไปได้อีกแล้ว
แม้ว่าชีวิตในช่วงสองสามวันนี้จะดูเหมือนผ่อนคลาย ทั้งสองคนสลัดภาระที่แบกไว้บนบ่าทั้งหมด และสนุกกับโลกที่มีเพียงแค่เราของสองคนอย่างจริงจัง
แต่ทว่า……ท้ายที่สุดแล้ว ชีวิตแบบนี้ไม่สามารถจะจีรังยั่งยืนได้
พวกเขาต้องกลับไปใช้วิถีชีวิตตามปกติ ใช้ชีวิตแบบเดิมๆเหมือนที่ผ่านมา
ลู่เซิ่นยังต้องเป็นผู้นำบริษัทลู่ซื่อ ฉินซียังมีธุรกิจที่เป็นของตัวเอง ถึงแม้ว่าพวกเขาจะหนีไปสุดล่าฟ้าเขียวดูเหมือนจะเป็นอิสระ แต่ก็ยังไม่สามารถปกปิดแก่นที่แท้จริงว่าพวกเขากำลัง “หนี”
ตราบใดที่พวกเขาต้องการกลับไปสู่การใช้ชีวิตแบบเดิม ความขัดแย้งกับจ้านเซิน ก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
“ไม่ต้องกังวล” สุดท้ายลู่เซิ่นก็ยังไม่ได้พูดคำปลอบโยนที่ไร้ประโยชน์ใดๆ แค่เอื้อมมือไปขวางไหล่ของฉินซี เอามือลูบหน้าผากของเธอ “พวกเราจะเผชิญหน้าไปด้วยกัน”
ฉินซีรู้ว่าตัวเองกับผู้ชายที่อยู่ข้างกายคนนี้สามารถเข้าใจซึ่งกันและกันได้
เขาเข้าใจตัวเอง
เธอจึงไม่พูดอะไรอีก ได้เพียงแต่พยักหน้า
……
“สองวันผ่านไป พวกเราจะถึงเมืองหนาน” ลู่เซิ่นในวิดีโอยังคงพูดต่อไปว่า “ใครต้องการพบฉัน หรืออยากจะพบฉินซี ก็มา ณ ตอนนั้นเลย ”
เขาหยุดคิดอะไรบางอย่าง และเสริมไปหนึ่งประโยคว่า: “แต่พวกเราจะไม่แยกจากกันอีกต่อไป”
เขาพูดจบประโยคนี้ พลางเอื้อมมือไปกอดฉินซีที่อยู่ข้างๆ พลางก้มหน้ามองเธอ
ฉินซีเงยศีรษะขึ้นเล็กน้อย คนสองคนสบตากัน
คลิปวิดีโอไม่ยาว ถึงตรงนี้ก็หยุดนิ่งไป สุดท้ายก็หยุดที่ภาพ สองคนกำลังสบตากัน
ถึงแม้ว่าทั้งสองคนจะมีใบหน้าเป็นผู้ชายสองคนที่ถังย่าไม่คุ้นเคย แต่ความรักที่แฝงในแววตาของคนสองคนที่มีต่อกัน ไม่สามารถปลอมแปลงได้
ถังย่า ใช้เวลาไม่กี่วินาทีในการสงบสติอารมณ์
ลู่เซิ่นกับฉินซีหมายถึงอะไร ก็คือ……ไม่อยากหลบๆซ่อนๆอีกต่อไป แต่จะเผชิญหน้ากับพวกเขาโดยตรง?
จ้านเซินคงไม่ยอมปล่อยให้ฉินซีจากไป แต่ฟังความหมายของลู่เซิ่น ดูเหมือนว่า……ไม่ได้ตั้งใจที่จะขอประนีประนอม มิฉะนั้นจะไม่พูดว่า “เราจะไม่แยกจากกันอีก”
ดูเหมือนว่า จุดจบเรื่องนี้อาจจะไม่ดีนัก แต่ก็ต้องตาต่อตาฟันต่อฟันลองกันสักตั้งแล้ว
ถังย่าหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา แล้วค่อยๆ เงยศีรษะขึ้น
ชายผู้ถูกทุบตียังคงสะดุ้งและยืนนิ่งอยู่ข้างๆ ไม่กล้าจากไปไหน
“ตอนที่พวกเขาไปนั้น ได้บอกมั๊ยว่าไปที่ไหน?”ถังย่าเอ่ยปากถาม
ชายคนนั้นส่ายหัวอย่างรวดเร็ว: “ไม่ได้บอก พวกเขาพาฉันมาที่นี่ หลังจากที่ฉันโพสต์ลงเวยป๋อ พวกเขาทิ้งโทรศัพท์แล้วบอกให้ฉันเอามาให้พวกเธอ แล้วก็จากไป ฉัน……ก็ไม่กลัวถามว่าพวกเขาไปที่ไหน”
ถังย่าขมวดคิ้วเล็กน้อย กวาดสายตามองที่ชายคนนั้น แล้วมองลงไปที่โทรศัพท์ในมือของเขา
ตามข้อมูลที่คนนี้เล่ามา เขาน่าจะเป็นผู้เผยแพร่โพสต์สองสามโพสต์บน Weibo ที่เธอดูอยู่ตลอด
แน่นอนว่าลู่เซิ่น และ ฉินซีน่าจะรู้ว่าถูกคนนี้เปิดเผยเบาะแสที่อยู่ของตนเอง และคิดว่าองค์กรจะต้องจับตามอง ดังนั้นจึงยืมเวยป๋อของบุคคลนี้โพสต์ภาพ เพื่อที่จะดึงดูดให้คนขององค์กรมาที่นี่ แล้วค่อยเอาคลิปวิดีโอนี้ให้
และคลิปวิดีโอนี้ไม่ต่างจากการที่ลู่เซิ่นและฉินซีได้มอบหนังสือสงครามให้ต่อองค์กร เป็นการยั่วโมโหจ้านเซินอย่างชัดเจน
พวกเขาสองคนฉลาดมาก แบบนี้ก็ไม่ต้องเผชิญหน้ากับองค์กรโดยตรง และได้มีเวลาพักผ่อนสองวันเต็มๆ อีกทั้งยังสามารถส่งต่อข้อมูลออกไป โดยที่ไม่เหลือร่องรอยใดๆเลย
เรื่องนี้เดิมเป็นเรื่องที่ง่ายมาก แต่ถังย่ามองดูโทรศัพท์ในมือ ในใจกลับเริ่มลังเลเล็กน้อย เธอ……ต้องเอาคลิปวิดีโอนี้ให้ จ้านเซิน จริงๆ เหรอ?
สุดท้ายแล้วก็ต้องให้จ้านเซินรู้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถ้าหากฉินซีต้องการออกจากองค์กรนี้ ใครก็ไม่สามารถปิดบังจ้านเซินได้
แต่……สภาพจิตใจของจ้านเซินช่วงนี้ ดูเหมือนจะไม่เหมาะที่จะได้รับการกระตุ้นอีก
ถ้าหากเขาเห็นคลิบวิดีโอนี้ เขาจะโดนกระตุ้นหนักขึ้น อาการซึมเศร้าก็จะยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ งั้น……ก็แย่แล้วสิ
ก็มาเจอเรื่องที่เกี่ยวข้องกับจ้านเซินนี่แหละ ยากนักที่ถังย่าจะมีช่วงเวลาที่ลังเลในการตัดสินใจเช่นนี้ เธอขมวดคิ้วอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็นึกผลลัพธ์ไม่ออก พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นชายคนนั้นตัวสั่นระริกอยู่ รู้สึกไม่สบายใจ จึงโบกมือ : “ในเมื่อพวกเขาให้เธอมาส่งข้อมูล งั้นก็รบกวนนายไปกับพวกเราสักครั้งหนึ่ง”
ชายคนนั้นตกใจเมื่อได้ยินดังนั้น: “ฉัน……ฉันไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้นนะ!มีหน้าที่แค่เอาของส่งให้พวกเธอเท่านั้นเอง”
อย่างไรก็ตามถังย่าไม่ได้มีจิตใจที่จะฟังคำแก้ต่างของเขา ยกมือแล้วเอามือของเขาไพล่หลัง แล้วพูดว่า: “ฉันว่านายทำตัวดีๆแล้วเดินเองจะดีกว่า”
ผู้ชายคนนั้นดึงดันอยู่สองสามครั้ง แต่ถังย่าดูเหมือนจะผอมบาง แต่กลับมีเรี่ยวแรงมหาศาล เขารู้ว่าตนเองหลบหนีไม่ได้ จึงได้แต่ก้มหน้าอย่างเชื่อฟัง: “ฉัน……ฉันเดินเองได้”
ถังย่าเสยคางขึ้น แล้วชายคนนั้นก็เดินไปตามทิศทางที่เธอบอก
เหตุผลที่เธอต้องให้คนนี้ตามไปด้วย ก็แค่จะให้เขาเป็นอีกหนึ่งพยานบุคคลเท่านั้น
คำพูดที่ลู่เซิ่นและฉินซีได้พูดในคลิบวิดีโอ ฟังจากปากของคนอื่น บางทีอาจจะทำให้กระตุ้นน้อยกว่า
……
นี่เป็นแค่เพียงความตั้งใจของถังย่าก็แค่นั้น ตอนนี้เธอก็ยังคิดหาวิธีที่ดีกว่านี้ไม่ออก ทำได้เพียงแค่ขมวดคิ้วอย่างหนัก จับตามองผู้ชายคนนี้ที่นั่งอยู่บนรถเธอ
ฉินซีและลู่เซิ่นกอดกันสักพักหนึ่ง แต่ลานจอดรถไม่ใช่ที่ที่จะสามารถอยู่นานได้ เวลาผ่านไปไม่กี่นาที ฉินซีก็ผลักไหล่ของลู่เซิ่น: “พวกเราไปกันเถอะ”
ลู่เซิ่นไม่ได้พูดอะไรมาก สุดท้ายก็บีบไหล่ฉินซี ก่อนที่จะปล่อยแขนของเธอ
“ณ เวลานี้……ถ้าหากถังย่าไปด้วย ตามความเร็วของเธอ ก็ควรจะเห็นคลิปวิดีโอนั้นแล้ว” หลังจากที่สตาร์ทรถได้ครู่หนึ่ง ฉินซีก็พูดขึ้นมาทันที
ลู่เซิ่นพยักหน้า : “ถ้าหากเป็นเธอ ก็ควรจะได้เห็นแล้ว”
“ก็ไม่รู้เหมือนกัน……เธอจะมีปฏิกิริยาแบบไหนกันนะ” ฉินซีกระซิบพูดเบาๆ
ลู่เซิ่นเหลือบมองดูเธอ และมองทะลุไปถึงความคิดในใจของเธอ ยิ้มแบบแหยะๆเล็กน้อย พร้อมพูดว่า:“ทำไม เสียใจที่ทิ้งคนนั้นมาเหรอ?”
ไอเดียข้อมูลความคิดก็เป็นของลู่เซิ่น ตอนนั้นฉินซีก็กำลังโกรธ และเขาก็ไม่ลังเลที่จะตอบตกลง แต่เพียงแต่ว่าเธอใจอ่อนกว่าลู่เซิ่นเล็กน้อย จึงทำให้ตอนนี้จู่ๆก็เกิดความกังวลใจขึ้น
ไม่ว่าอย่างไร ลู่เซิ่นก็มองทะลุไปถึงความคิดของเธอ ฉินซีไม่อมพะนำอีกต่อไป:“ฉันก็แค่กลัวว่าถ้าถังย่าเกิดโมโหขึ้นมา เกิดทำอะไรเขา……เพียงแค่อารมณ์ชั่ววูบ พอถึงเวลานั้นก็จะไม่มีวิธีช่วยได้แล้ว”
ถังย่าไม่ตอบสนองต่อสิ่งที่ลู่เซิ่นกำลังพูดอยู่สักครู่หนึ่ง
เขาสามารถฟังออกหมดทุกคำ ทำไมประกอบเข้าด้วยกันแล้ว กลับไม่รู้ว่าหมายถึงอะไร
อะไรที่เรียกว่า……จบทุกอย่าง?
……
ในรถยนต์
ทั้งๆที่ลู่เซิ่นพูดแล้วว่าจะไม่เสียใจภายหลัง แต่ฉินซีไม่รู้หรือว่าไม่ได้ยิน คล้ายกับว่าเขาพึมพำกับตัวเอง จึงถามอีกครั้งเบาๆว่า
“จะไม่เสียใจภายหลังจริงๆใช่มั๊ย”
เสียงของเธอไม่ดัง แต่ลู่เซิ่นได้ยินเสียงอย่างชัดเจน
เขาหันไปมอง
ฉินซียังคงจ้องมองไปข้างหน้า แววตาแฝงไปด้วยความสับสน
เขารู้ว่าฉินซีกำลังลังเลอะไร
เขาปรับปรุงเละทบทวนตัวเอง หลังจากที่ฉินซีถูกจ้านเซินนำตัวไป เขาก็ทำงานอย่างหนักตลอดเวลาเพื่อที่จะพัฒนาบริษัทลู่ซื่อ แต่ปัจจุบันบริษัทลู่ซื่อต้องเผชิญหน้ากับจ้านเซินและความขัดแย้งขององค์กร ยังไม่มีข้อได้เปรียบที่เด็ดขาด ทั้งสองฝ่ายอาจจะเจ็บหนักอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่พวกเขาไม่สามารถรอต่อไปได้อีกแล้ว
แม้ว่าชีวิตในช่วงสองสามวันนี้จะดูเหมือนผ่อนคลาย ทั้งสองคนสลัดภาระที่แบกไว้บนบ่าทั้งหมด และสนุกกับโลกที่มีเพียงแค่เราของสองคนอย่างจริงจัง
แต่ทว่า……ท้ายที่สุดแล้ว ชีวิตแบบนี้ไม่สามารถจะจีรังยั่งยืนได้
พวกเขาต้องกลับไปใช้วิถีชีวิตตามปกติ ใช้ชีวิตแบบเดิมๆเหมือนที่ผ่านมา
ลู่เซิ่นยังต้องเป็นผู้นำบริษัทลู่ซื่อ ฉินซียังมีธุรกิจที่เป็นของตัวเอง ถึงแม้ว่าพวกเขาจะหนีไปสุดล่าฟ้าเขียวดูเหมือนจะเป็นอิสระ แต่ก็ยังไม่สามารถปกปิดแก่นที่แท้จริงว่าพวกเขากำลัง “หนี”
ตราบใดที่พวกเขาต้องการกลับไปสู่การใช้ชีวิตแบบเดิม ความขัดแย้งกับจ้านเซิน ก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
“ไม่ต้องกังวล” สุดท้ายลู่เซิ่นก็ยังไม่ได้พูดคำปลอบโยนที่ไร้ประโยชน์ใดๆ แค่เอื้อมมือไปขวางไหล่ของฉินซี เอามือลูบหน้าผากของเธอ “พวกเราจะเผชิญหน้าไปด้วยกัน”
ฉินซีรู้ว่าตัวเองกับผู้ชายที่อยู่ข้างกายคนนี้สามารถเข้าใจซึ่งกันและกันได้
เขาเข้าใจตัวเอง
เธอจึงไม่พูดอะไรอีก ได้เพียงแต่พยักหน้า
……
“สองวันผ่านไป พวกเราจะถึงเมืองหนาน” ลู่เซิ่นในวิดีโอยังคงพูดต่อไปว่า “ใครต้องการพบฉัน หรืออยากจะพบฉินซี ก็มา ณ ตอนนั้นเลย ”
เขาหยุดคิดอะไรบางอย่าง และเสริมไปหนึ่งประโยคว่า: “แต่พวกเราจะไม่แยกจากกันอีกต่อไป”
เขาพูดจบประโยคนี้ พลางเอื้อมมือไปกอดฉินซีที่อยู่ข้างๆ พลางก้มหน้ามองเธอ
ฉินซีเงยศีรษะขึ้นเล็กน้อย คนสองคนสบตากัน
คลิปวิดีโอไม่ยาว ถึงตรงนี้ก็หยุดนิ่งไป สุดท้ายก็หยุดที่ภาพ สองคนกำลังสบตากัน
ถึงแม้ว่าทั้งสองคนจะมีใบหน้าเป็นผู้ชายสองคนที่ถังย่าไม่คุ้นเคย แต่ความรักที่แฝงในแววตาของคนสองคนที่มีต่อกัน ไม่สามารถปลอมแปลงได้
ถังย่า ใช้เวลาไม่กี่วินาทีในการสงบสติอารมณ์
ลู่เซิ่นกับฉินซีหมายถึงอะไร ก็คือ……ไม่อยากหลบๆซ่อนๆอีกต่อไป แต่จะเผชิญหน้ากับพวกเขาโดยตรง?
จ้านเซินคงไม่ยอมปล่อยให้ฉินซีจากไป แต่ฟังความหมายของลู่เซิ่น ดูเหมือนว่า……ไม่ได้ตั้งใจที่จะขอประนีประนอม มิฉะนั้นจะไม่พูดว่า “เราจะไม่แยกจากกันอีก”
ดูเหมือนว่า จุดจบเรื่องนี้อาจจะไม่ดีนัก แต่ก็ต้องตาต่อตาฟันต่อฟันลองกันสักตั้งแล้ว
ถังย่าหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา แล้วค่อยๆ เงยศีรษะขึ้น
ชายผู้ถูกทุบตียังคงสะดุ้งและยืนนิ่งอยู่ข้างๆ ไม่กล้าจากไปไหน
“ตอนที่พวกเขาไปนั้น ได้บอกมั๊ยว่าไปที่ไหน?”ถังย่าเอ่ยปากถาม
ชายคนนั้นส่ายหัวอย่างรวดเร็ว: “ไม่ได้บอก พวกเขาพาฉันมาที่นี่ หลังจากที่ฉันโพสต์ลงเวยป๋อ พวกเขาทิ้งโทรศัพท์แล้วบอกให้ฉันเอามาให้พวกเธอ แล้วก็จากไป ฉัน……ก็ไม่กลัวถามว่าพวกเขาไปที่ไหน”
ถังย่าขมวดคิ้วเล็กน้อย กวาดสายตามองที่ชายคนนั้น แล้วมองลงไปที่โทรศัพท์ในมือของเขา
ตามข้อมูลที่คนนี้เล่ามา เขาน่าจะเป็นผู้เผยแพร่โพสต์สองสามโพสต์บน Weibo ที่เธอดูอยู่ตลอด
แน่นอนว่าลู่เซิ่น และ ฉินซีน่าจะรู้ว่าถูกคนนี้เปิดเผยเบาะแสที่อยู่ของตนเอง และคิดว่าองค์กรจะต้องจับตามอง ดังนั้นจึงยืมเวยป๋อของบุคคลนี้โพสต์ภาพ เพื่อที่จะดึงดูดให้คนขององค์กรมาที่นี่ แล้วค่อยเอาคลิปวิดีโอนี้ให้
และคลิปวิดีโอนี้ไม่ต่างจากการที่ลู่เซิ่นและฉินซีได้มอบหนังสือสงครามให้ต่อองค์กร เป็นการยั่วโมโหจ้านเซินอย่างชัดเจน
พวกเขาสองคนฉลาดมาก แบบนี้ก็ไม่ต้องเผชิญหน้ากับองค์กรโดยตรง และได้มีเวลาพักผ่อนสองวันเต็มๆ อีกทั้งยังสามารถส่งต่อข้อมูลออกไป โดยที่ไม่เหลือร่องรอยใดๆเลย
เรื่องนี้เดิมเป็นเรื่องที่ง่ายมาก แต่ถังย่ามองดูโทรศัพท์ในมือ ในใจกลับเริ่มลังเลเล็กน้อย เธอ……ต้องเอาคลิปวิดีโอนี้ให้ จ้านเซิน จริงๆ เหรอ?
สุดท้ายแล้วก็ต้องให้จ้านเซินรู้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถ้าหากฉินซีต้องการออกจากองค์กรนี้ ใครก็ไม่สามารถปิดบังจ้านเซินได้
แต่……สภาพจิตใจของจ้านเซินช่วงนี้ ดูเหมือนจะไม่เหมาะที่จะได้รับการกระตุ้นอีก
ถ้าหากเขาเห็นคลิบวิดีโอนี้ เขาจะโดนกระตุ้นหนักขึ้น อาการซึมเศร้าก็จะยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ งั้น……ก็แย่แล้วสิ
ก็มาเจอเรื่องที่เกี่ยวข้องกับจ้านเซินนี่แหละ ยากนักที่ถังย่าจะมีช่วงเวลาที่ลังเลในการตัดสินใจเช่นนี้ เธอขมวดคิ้วอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็นึกผลลัพธ์ไม่ออก พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นชายคนนั้นตัวสั่นระริกอยู่ รู้สึกไม่สบายใจ จึงโบกมือ : “ในเมื่อพวกเขาให้เธอมาส่งข้อมูล งั้นก็รบกวนนายไปกับพวกเราสักครั้งหนึ่ง”
ชายคนนั้นตกใจเมื่อได้ยินดังนั้น: “ฉัน……ฉันไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้นนะ!มีหน้าที่แค่เอาของส่งให้พวกเธอเท่านั้นเอง”
อย่างไรก็ตามถังย่าไม่ได้มีจิตใจที่จะฟังคำแก้ต่างของเขา ยกมือแล้วเอามือของเขาไพล่หลัง แล้วพูดว่า: “ฉันว่านายทำตัวดีๆแล้วเดินเองจะดีกว่า”
ผู้ชายคนนั้นดึงดันอยู่สองสามครั้ง แต่ถังย่าดูเหมือนจะผอมบาง แต่กลับมีเรี่ยวแรงมหาศาล เขารู้ว่าตนเองหลบหนีไม่ได้ จึงได้แต่ก้มหน้าอย่างเชื่อฟัง: “ฉัน……ฉันเดินเองได้”
ถังย่าเสยคางขึ้น แล้วชายคนนั้นก็เดินไปตามทิศทางที่เธอบอก
เหตุผลที่เธอต้องให้คนนี้ตามไปด้วย ก็แค่จะให้เขาเป็นอีกหนึ่งพยานบุคคลเท่านั้น
คำพูดที่ลู่เซิ่นและฉินซีได้พูดในคลิบวิดีโอ ฟังจากปากของคนอื่น บางทีอาจจะทำให้กระตุ้นน้อยกว่า
……
นี่เป็นแค่เพียงความตั้งใจของถังย่าก็แค่นั้น ตอนนี้เธอก็ยังคิดหาวิธีที่ดีกว่านี้ไม่ออก ทำได้เพียงแค่ขมวดคิ้วอย่างหนัก จับตามองผู้ชายคนนี้ที่นั่งอยู่บนรถเธอ
ฉินซีและลู่เซิ่นกอดกันสักพักหนึ่ง แต่ลานจอดรถไม่ใช่ที่ที่จะสามารถอยู่นานได้ เวลาผ่านไปไม่กี่นาที ฉินซีก็ผลักไหล่ของลู่เซิ่น: “พวกเราไปกันเถอะ”
ลู่เซิ่นไม่ได้พูดอะไรมาก สุดท้ายก็บีบไหล่ฉินซี ก่อนที่จะปล่อยแขนของเธอ
“ณ เวลานี้……ถ้าหากถังย่าไปด้วย ตามความเร็วของเธอ ก็ควรจะเห็นคลิปวิดีโอนั้นแล้ว” หลังจากที่สตาร์ทรถได้ครู่หนึ่ง ฉินซีก็พูดขึ้นมาทันที
ลู่เซิ่นพยักหน้า : “ถ้าหากเป็นเธอ ก็ควรจะได้เห็นแล้ว”
“ก็ไม่รู้เหมือนกัน……เธอจะมีปฏิกิริยาแบบไหนกันนะ” ฉินซีกระซิบพูดเบาๆ
ลู่เซิ่นเหลือบมองดูเธอ และมองทะลุไปถึงความคิดในใจของเธอ ยิ้มแบบแหยะๆเล็กน้อย พร้อมพูดว่า:“ทำไม เสียใจที่ทิ้งคนนั้นมาเหรอ?”
ไอเดียข้อมูลความคิดก็เป็นของลู่เซิ่น ตอนนั้นฉินซีก็กำลังโกรธ และเขาก็ไม่ลังเลที่จะตอบตกลง แต่เพียงแต่ว่าเธอใจอ่อนกว่าลู่เซิ่นเล็กน้อย จึงทำให้ตอนนี้จู่ๆก็เกิดความกังวลใจขึ้น
ไม่ว่าอย่างไร ลู่เซิ่นก็มองทะลุไปถึงความคิดของเธอ ฉินซีไม่อมพะนำอีกต่อไป:“ฉันก็แค่กลัวว่าถ้าถังย่าเกิดโมโหขึ้นมา เกิดทำอะไรเขา……เพียงแค่อารมณ์ชั่ววูบ พอถึงเวลานั้นก็จะไม่มีวิธีช่วยได้แล้ว”