เหยาจ้าวพูดด้วยใบหน้าเคร่งขรึมและน้ำเสียงจริงจังและหนักแน่น
จั่วยีไม่กล้าที่จะชักช้าเสียเวลา เขาจึงแบกจ้านเซิงขึ้นไปบนตัวของเขาทันที
ทั้งสองคนเดินตามกันไป แล้วหายไปต่อหน้าซิวหน่ายซิงทีละคนๆ
ในขณะที่ซิวหน่ายซิงกำลังมองไปที่ภาพเงาด้านหลังที่รีบร้อนของทั้งสองคน ก็มีความดีอกดีใจเปล่งประกายแวววาวขึ้นมาภายในดวงตาสีเข้มของเขา
ในครั้งนี้จ้านเซินคงไม่รอดจริงๆแล้วสินะ หากเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นถังย่าก็น่าจะทำใจได้แล้วมั้ง
แม้ว่าซิวหน่ายซิงจะมีฐานะเป็นผู้ช่วยของถังย่า แต่ในใจของเขากลับรักและศรัทธาเธออยู่เสมอ
ถ้าเป็นไปได้ เขาก็หวังว่าถังย่าจะชายตามามองเขาและให้โอกาสเขาบ้าง
แต่ทว่า เพราะว่าตอนนี้มีจ้านเซินอยู่ ถังย่าก็เลยเอาแต่เวียนไปเวียนมาอยู่รอบๆตัวจ้านเซินอยู่เสมอ
ดูเหมือนว่าในสายตาของถังย่า ซิวหน่ายซิงจะเป็นเพียงลูกน้องของเธอเท่านั้น และเป็นน้องชายที่เธอเก็บกลับมาด้วยความเมตตาสงสาร แต่ไหนแต่ไรมาเธอไม่เคยคิดเกินเลยไปจนถึงเรื่องนั้นเลย ในสายตาของเธอมีเพียงจ้านเซินคนเดียวเท่านั้นมาโดยตลอด
เพราะว่าซิวหน่ายซิงค่อนข้างที่จะรู้จักถังย่าดีเกินไป ดังนั้น เขาก็เลยยิ่งรู้สึกโกรธมากขึ้นไปอีก
ถังย่าทั้งยอดเยี่ยม สวย และรูปร่างดีขนาดนั้น
เธอได้รวมข้อดีทั้งหมดมาไว้ในร่างเดียวแล้วโดยสิ้นเชิง ผู้หญิงที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้ จ้านเซินกลับไม่ชอบเธอเลย จนถึงขนาดที่ว่ายังทำร้ายเธออีก เห็นได้ชัดว่าเขาก็แค่ผู้ชายกากๆที่ไม่มีหัวใจคนหนึ่งเท่านั้น
คนแบบนี้ ไม่คู่ควรที่ถังย่าจะไปชอบเลยสักนิด
ตอนนี้เทวดาฟ้าดินต่างก็ทนดูไม่ไหวแล้ว จึงทำให้จ้านเซินหนีกรรมที่ตัวเองก่อไม่พ้น ดังนั้นเขาจึงได้ป่วยเป็นโรคเช่นนี้
แล้วก็หวังว่าหลังจากที่จ้านเซินสลบไปในครั้งนี้ เขาจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีกแล้ว
ความคิดที่ชั่วร้ายความคิดหนึ่งลอยขึ้นมาในหัวใจของซิวหน่ายซิง ว่ากันตามหลักการแล้ว ตอนนี้เขาควรรีบติดต่อถังย่าโดยเร็วที่สุด และให้เธอรีบกลับมาเร็วๆหน่อย
แต่ทว่า เพราะความเห็นแก่ตัวของซิวหน่ายซิง เขาก็เลยไม่ได้ทำอย่างนั้น
ซิวหน่ายซิงกำลังเฝ้ารอว่าเมื่อไหร่จะได้รับแจ้งว่าอาการป่วยของจ้านเซินอยู่ในขั้นที่อันตราย และไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ หลังจากนั้นเขาค่อยโทรไปหาถังย่า
เมื่อเป็นอย่างนี้ ต่อให้ถังย่าจะรีบกลับมา เธอก็มาไม่ทันแล้ว
พอคิดถึงตรงนี้ รอยยิ้มที่โกรธและชั่วร้ายก็ปรากฏอยู่บนใบหน้าของซิวหน่ายซิง
……
และในเวลาเดียวกันนั้นเอง ถังย่ากำลังรีบไปที่สวนสนุกColorful
สำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นในองค์กร ถังย่าไม่รู้เรื่องอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว
ตอนนี้เธออยากไปที่สวนสนุกเพื่อตรวจสอบให้แน่ใจสักหน่อยว่า ร่างเงาด้านหลังของคนสองคนนั้นที่เธอเห็นใน Weibo แท้จริงแล้วคือฉินซีกับลู่เซิ่นหรือไม่
ตอนนี้ถังย่าไม่ได้มีความคิดอะไรอยู่ในใจเลยแม้แต่น้อย เธอเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า หลังจากที่ยืนยันตัวตนของพวกเขาแล้ว เธอจะตัดสินใจอย่างไรต่อไป
เธอเพียงแค่ปรารถนาให้สามารถไปถึงที่นั่นได้เร็วขึ้นนิดนึง และเร็วขึ้นอีกนิดนึง
เธอจะต้องรีบไปถึงที่นั่นก่อนที่ฉินซีกับลู่เซิ่นจะจากไปให้ได้ หากพวกเขาจากไปแล้ว ก็จะเป็นการยากที่จะติดตามพวกเขา
เกิดความวุ่นวายไปทั่วทุกหนทุกแห่ง
ฉินซีกับลู่เซิ่นกลับกำลังเล่นอย่างมีความสุขอยู่ในสวนสนุก
ฉินซีเล่นรถไฟเหาะสามครั้งติดต่อกัน และในที่สุดก็ลงมาด้วยความพอใจมาก
ลู่เซิ่นช่วยจัดวิกผมให้เธอสักครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มอ่อนและพูดว่า “ไม่เล่นแล้วเหรอ?”
เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนมาก และในดวงตาที่ดำขลับนั้นก็กำลังสะท้อนร่างเงาของฉินซีอยู่
ฉินซีจึงพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่เล่นแล้ว ไปเล่นอันอื่นกันเถอะ ยังมีเครื่องเล่นใหม่ๆอีกหลายตัวที่ฉันยังไม่เคยเล่นเลยนะ”
พวกเขามีเวลาเพียงวันเดียวที่จะอยู่ที่นี่ และจากนั้นพวกเขาจะต้องเหยียบย้ำเข้าไปในเส้นทางแห่งการหลบหนีจริงๆจังๆแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่อาจเสียเวลาต่อไปได้
“เราไปทางนั้นกันเถอะ”
พูดจบ ฉินซีก็ดึงแขนของลู่เซิ่น และต้องการจะจากไป
แต่ทว่า เมื่อทั้งสองเพิ่งจะเดินเพียงไม่กี่ก้าว เชี่ยนเชี่ยนก็ได้ปรากฏตัวออกมาอยู่ตรงหน้าพวกเขา และขวางทางเดินของพวกเขาเอาไว้
ฉินซีตกตะลึงไปครู่หนึ่งเมื่อได้เห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่เตี้ยกว่าตัวเอง
เธอกับลู่เซิ่นมองหน้ากัน นี่ไม่ใช่เด็กน้อยที่ลู่เซิ่นขอให้ช่วยลบภาพเมื่อครู่นี้หรอกหรือ?
ทำไมจู่ๆเธอถึงมาที่นี่ หรือว่าเป็นเพราะเรื่องเมื่อสักครู่นี้?
ฉินซีกำลังคาดเดาอยู่ในใจ แล้วถามด้วยรอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้าว่า “เด็กน้อย เธอมีเรื่องอะไรหรือเปล่า?”
เธอดูเหมือนกับเป็นคนที่อ่อนโยนและใจดีอย่างนั้น จึงทำให้ความตึงเครียดที่อยู่ภายในหัวใจของเชี่ยนเชี่ยน ผ่อนคลายลงไปได้มาก
เชี่ยนเชี่ยนหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา แล้วยื่นให้เธอและพูดว่า “สวัสดีค่ะ ฉันมีอะไรบางอย่างอยากจะให้คุณทั้งสองคนดู”
เธอเอาโทรศัพท์มาเปิดหน้าWeibo ขึ้นมา ซึ่งข้างในยังคงมีการโต้เถียงกันเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างคึกคัก
ฉินซีมองดูโทรศัพท์ที่เธอยื่นมาให้อย่างเหม่อลอย แล้วกวาดตามองดูรอบหนึ่ง
หลังจากที่เธอได้เห็นรูปของตัวเองกับลู่เซิ่น สีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน
ไฟแห่งความโมโหเดือดดาลก็ลุกโชนขึ้นภายในหัวใจของฉินซี เมื่อสักครู่นี้เธอก็รู้สึกแปลกๆ เธอมักจะรู้สึกว่ามีคนเดินตามพวกเธอมา แต่ลู่เซิ่นกลับบอกว่าเธอระแวงมากเกินไป ดังนั้นฉินซีก็เลยไม่ได้สนใจอะไร ดูเหมือนว่าในตอนนี้เหมือนจะไม่ใช่ว่าเธอคิดมากไปเองแล้ว แต่มีใครบางคนกำลังเล่นลูกไม้ลับหลังพวกเขาจริงๆ
เธอแสดงสีหน้าที่โกรธเกรี้ยว และตั้งใจยื่นโทรศัพท์ให้ลู่เซิ่นดู “คุณลองดูเองเถอะ”
น้ำเสียงของฉินซีมีความพยายามที่จะอดกลั้นเอาไว้อยู่ด้วย แล้วหันไปมองรอบๆด้วยสายตาที่คมกริบ
วันนี้เธอแค่อยากเที่ยวเล่นให้สนุกสักหน่อย ไม่อยากก่อเรื่องทะเลาะวิวาทเลย แต่ถ้าใครบางคนต้องการจะหาเรื่องให้ได้ อย่างนั้นก็อย่าหาว่าเธอใจดำอำมหิตก็แล้วกัน
ฉินซีไม่ใช่คนที่ใจดีมีเมตตามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เธอได้รับการอบรมสั่งสอนจากองค์กรมาตั้งแต่เด็ก จึงทำให้เธอไม่มีความรู้สึกหวั่นไหวอย่างแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือหัวใจที่มีเมตตากรุณา คนที่น่าสงสารก็เป็นคนที่น่าน่าเคียดแค้นได้เช่นกัน
แม้ว่าจะกฎเกณฑ์บางอย่างในองค์กรจะไร้มนุษยธรรมเป็นอย่างมาก แต่ ณ จุดนี้ฉินซีกลับคิดว่ามันถูกต้องและแม่นยำมาก
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ในระหว่างดำเนินการปฏิบัติภารกิจ เธอก็ได้พบเจอผู้คนไม่น้อย และในนี้ก็มีคนมากมายหลายประเภท
คนบางคนไม่คู่ควรกับจิตใจที่มีเมตตาของเธอเลยจริงๆ เคยมีอยู่ครั้งหนึ่งฉินซีได้รับความเสียหายอย่างใหญ่หลวงเพราะการปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยท่าทีที่เมตตา จึงถูกฝ่ายตรงข้ามเล่นงานจนเกือบตาย
หลังจากนั้นเป็นต้นมา ฉินซีก็ได้ตระหนักถึงความร้ายแรงของปัญหา
ดังที่จ้านเซินได้พูดไว้ว่า ความเมตตาที่มีต่อศัตรู ก็คือความโหดร้ายต่อตนเอง
ต่อมา เมื่อฉินซีปฏิบัติหน้าที่อีกครั้ง เธอก็เลยไม่ทำผิดพลาดแบบเดิมอีก
เมื่อลู่เซิ่นได้เห็นรูปที่อยู่ในโทรศัพท์ ดวงตาที่เรียวยาวของเขาก็หรี่ตาลงอย่างไม่ปลอดภัย
หลังจากที่ดูเสร็จ ก็ยื่นโทรศัพท์ให้เชี่ยนเชี่ยน แล้วพูดว่า “เด็กน้อย เธอรู้ไหมว่าใครเป็นคนถ่ายรูปนี้?”
ลู่เซิ่นถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ กลิ่นอายแห่งความอึมครึมไม่ปลอดโปร่งก็ได้ปรากฏอยู่ในดวงตาที่ดำขลับทั้งสองข้างแว็บหนึ่ง
เชี่ยนเชี่ยนสามารถรับรู้ได้ถึงความโกรธของฉินซีและลู่เซิ่น แต่เธอก็ไม่ได้รู้สึกกลัวแต่อย่างใด
เพราะถ้ากลายมาเป็นตัวเธอเอง ถ้าเธอเคยพูดอย่างชัดเจนแล้วไม่อยากถูกแอบถ่าย และก็ไม่อยากถูกเผยแพร่บนอินเทอร์เน็ต แต่ก็ยังมีคนไม่ยอมฟังคำแนะนำของเธอ และไม่ว่าอย่างไรก็ต้องซวย เธอก็คงโมโหเหมือนกัน
“ฉันไม่รู้ค่ะ ฉันก็แค่เห็นว่ามีคนโพสต์รูปของพวกคุณ ดังนั้นฉันก็เลยอยากจะมาเตือนพวกคุณน่ะค่ะ”
เชี่ยนเชี่ยนส่ายหน้าไปมา และบนใบหน้าก็มีสีหน้าที่อ้างว้างปรากฏออกมา
อันที่จริง เธอก็หวังเป็นอย่างมากว่าจะสามารถหาตัวการของเรื่องนี้ให้เจอให้ได้ ถ้าเป็นอย่างนี้ ก็จะสามารถระบายความคับแค้นใจออกมาได้แล้ว
คนๆนี้เอาแต่พูดว่าตัวเองเป็นสมาชิกในกลุ่มนี้ แต่พฤติกรรมที่เขาทำนั้น ทำให้ชื่อเสียงของกลุ่มสาววายต้องแปดเปื้อนอย่างเห็นได้ชัด
เชี่ยนเชี่ยนอยากจะจับตัวคนคนนี้เอาไว้ให้แน่น แล้วถีบเขาออกมา ให้ทุกคนได้รู้ว่า เขาเป็นเพียงแอนตี้แฟนคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่แฟนคลับตัวจริง
ลู่เซิ่นไม่ได้เปลี่ยนสีหน้าเพราะสาเหตุนี้ เขายิ้มเบาๆและลูบศีรษะเล็กๆของเชี่ยนเชี่ยนไปมา แล้วพูดว่า “ไม่เป็นไร ขอบคุณเธอที่มาบอกพวกเรา เธอก็ระวังตัวด้วยนะ อย่าตกเป็นเป้าหมายของคนคนนี้ล่ะ ฉันจะรีบหาตัวเขาออกมาจัดการให้เร็วที่สุด เธอไม่ต้องห่วง”
ในขณะที่กำลังพูดอยู่นั้น ในสมองของเขาก็มีร่างร่างหนึ่งปรากฏขึ้นมา