เขาจำได้ว่าถังย่าปฏิบัติหน้าที่เคร่งครัดและรอบคอบอย่างมากมาโดยตลอด เวลาที่จะออกไปไหน เธอก็มักจะเช็คครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อความแน่ใตเสมอ
แต่ทว่า คราวนี้แม้แต่ประตูไม่ได้ล็อคถังย่าก็ยังไม่รู้เลย แล้วก็ออกไปทันที
ข้อคิดโยงไปถึงการแสดงออกของถังย่าเมื่อสักครู่นี้ ความกลัดกลุ้มภายในหัวใจของซิวหน่ายซิงก็มากขึ้นเรื่อยๆ แท้ที่จริงแล้วเรื่องอะไรกันแน่ ที่สามารถทำให้ถังย่าเป็นกังวลและกระวนกระวายใจได้ขนาดนี้
ในความเป็นจริง จั่วยีไม่ได้คิดลึกอะไรเลย
เขาหาถังย่าไม่เจอ ก็เตรียมที่จะเดินกลับไป
แต่ทว่า จั่วยีกลับพบกับจ้านเซินระหว่างทาง
จ้านเซินมองไปที่ท่าทางที่รีบร้อนของเขา แล้วขมวดคิ้วและพูดว่า “นายกำลังทำอะไร?”
เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา และสายตาอันคมกริบก็มองไปบนใบหน้าของจั่วยี
จั่วยีมองไม่เห็นร่างของเขา จนเกือบที่จะเดินตรงไปพุ่งชนเขา
เขาตะลึงงันไปครู่หนึ่ง แล้วจึงตอบอย่างลุกลี้ลุกลนว่า “เปล่าครับ ไม่ได้ทำอะไร”
จั่วยีทำท่าทางอึกๆอักๆ ทำให้ในใจของจ้านเซินยิ่งรู้สึกงุนงงมากยิ่งขึ้น
จ้านเซินหรี่ตาลง แล้วมองดูเขาอย่างไม่ปลอดภัย “จั่วยี ตอนนี้นายกำลังเล่นลูกไม้อะไรกับฉันอยู่หรือเปล่า?”
สีหน้าของเขาเย็นชา และน้ำเสียงของเขาก็เผยให้เห็นจิตสังหารที่กระหายเลือดออกมา
ทันใดนั้นจั่วยีก็สั่นเทาขึ้นมา แล้วเอ่ยปากพูดอย่างสั่นเครือว่า “หัวหน้า ผมเปล่านะครับ ผมจะกล้าเล่นลูกไม้กับหัวหน้าได้ยังไงล่ะครับ”
เขาโบกมือไปมา และหน้าแดงด้วยความประหม่า
สาเหตุที่จ้านเซินมีความรู้สึกอ่อนไหวมากอยู่อย่างนี้ก็เป็นเพราะฉินซี
จั่วยีรู้สึกได่อย่างชัดเจนว่า อารมณ์ของจ้านเซินเริ่มที่จะค่อยๆฉุนเฉียวขึ้นมาแล้ว
“งั้นนายก็บอกฉันมา ว่านายมาจากที่ไหน”
จ้านเซินจับจ้องไปที่เขาอย่างตรงไปตรงมา และกำลังรอคำตอบจากเขาอยู่
เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว จั่วยีไหนเลยจะกล้าปกปิดเอาไว้ “ผมมาจากในห้องของคุณหนูถังครับ”
เขาทำได้เพียงเอ่ยปากออกมาด้วยความจำใจ เพราะกลัวว่าจ้านเซินจะโกรธมากจนตั้งใจปลิดชีวิตเขา
“ถังย่าเหรอ?”
สีหน้าที่ประหลาดใจปรากฏออกมาบนใบหน้าอันหล่อเหลาของจ้านเซิน
จั่วยีเป็นลูกน้องของเขา จึงมีการติดต่อโดยตรงกับเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น และไม่ค่อยได้ไปถังย่า
ถังย่ามีซิวหน่ายซิงแล้ว ดังนั้นก็เลยไม่จำเป็นต้องใช้จั่วยี
จ้านเซินซักถามต่อไปว่า “ทำไมนายต้องไปหาถังย่าด้วย ช่วงนี้ฉันไม่ได้มอบหมายงานให้นายเลยเหรอ”
ตอนนี้เรื่องที่ใหญ่ที่สุดภายในองค์กรก็คือค้นหาที่อยู่ของฉินซี
ถ้าหากมีข่าวของฉินซี จั่วยีควรจะมารายงานเขาเป็นคนแรกสิ ไม่ใช่ไปหาถังย่า
ดังนั้น ทำไมตอนนี้จั่งยีถึงไปหาถังย่าล่ะ?
ถึงแม้ว่าช่วงนี้อารมณ์ของจ้านเซินจะแปรปรวนไปหมด แต่สมองของเขายังคงปลอดโปร่งอยู่
แล้วบนใบหน้าของจั่วยีก็ได้ปรากฏสีหน้าที่ลำบากใจออกมา “เอ่อ…….”
เขาไม่รู้ว่าจะบอกกับจ้านเซินอย่างไร ถ้าทำให้จ้านเซินรู้ว่าถังย่าขอให้เขาเฝ้าติดตามดูความเคลื่อนไหวของเขาอย่างลับๆ และถ้ามีอะไรต้องรายงานเธอได้ทุกเมื่อ เช่นนั้นจ้านเซินจะต้องโกรธเขามากแน่นอน
จั่วยีโกหกไม่เก่ง แต่ก็ทำได้เพียงกัดฟันพูดออกไปว่า “หัวหน้าครับ ผมกับคุณหนูถังไม่มีอะไรจริงๆ ก็แค่ของของคุณหนูถังหาย แล้วผมก็บังเอิญไปเจอเข้าพอดี ผมก็เลยเอาไปให้เธอเท่านั้นเองครับ”
นับตั้งแต่เมื่อก่อนที่นานมากๆแล้ว เขาก็คอยอยู่เคียงข้างจ้านเซินมาโดยตลอด
เขาจงรักภักดีมานานหลายปี และไม่เคยพูดโกหกเลย
นี่คือการพูดโกหกครั้งแรกของจั่วยี เขาจึงพูดจาอ้ำๆอึ้งๆ จ้านเซินมองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเขาโกหก
ทันใดนั้นจ้านเซินก็คิดโยงไปถึงการทรยศของฉินซี เขาจึงรู้สึกโกรธมาก แล้วพูดว่า “พอแล้ว!”
เขาตะโกนสั่งด้วยเสียงที่เคร่งขรึม แล้วจับคอเสื้อของจั่งยีเอาไว้ และลากเขาเข้ามาอย่างกะทันหัน
จั่วยีสูง 183 เซนติเมตร ซึ่งถือว่าสูงมากเลยทีเดียว แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าจ้านเซินที่สูง 190 เซนติเมตร เขายังดูอ่อนแอมากอย่างเห็นได้ชัด
จั่วยียังมีปฏิกิริยาตอบสนองใดใดกลับมา เขาก็เดินมาอยู่ข้างๆจ้านเซินแล้ว
ทั้งสองคนอยู่ใกล้กันมาก จนจั่วยีสามารถรู้สึกถึงความโมโหเดือดดาลที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวของจ้านเซินได้อย่างชัดเจน
ทันใดนั้นก็รู้สึกหวาดผวาจนขาทั้งสองข้างของเขาอ่อนแรง และไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี
“จั่วยี เห็นแก่ที่นายอยู่เคียงข้างฉันมานานหลายปี ฉันจะให้โอกาสนายเป็นครั้งสุดท้าย บอกฉันมา ว่าทำไมนายถึงได้ไปที่ห้องของถังย่า”
ภายในใจของจ้านเซินมีความโกรธนิรนามกลุ่มหนึ่งลอยขึ้นมา และภายในดวงตาสีดำขลับก็ได้เปล่งประกายแสงแห่งความเคร่งขรึมออกมา
เขาไม่รู้ว่าทำไม เมื่อเขาคิดไปว่าถังย่าก็มีโอกาสอย่างมากที่จะทรยศตัวเองด้วยอีกคน เขาก็รู้สึกเศร้าอย่างหาที่สุดมิได้
ความรู้สึกเช่นนี้ เป็นความรู้สึกที่จ้านเซินไม่มีตอนที่เผชิญหน้ากับฉินซี
ปฏิบัติต่อฉินซี จ้านเซินจะมีความรู้สึกไม่เต็มใจเป็นอย่างมาก และอยากจะแย่งฉินซีคืนมาจากเงื้อมมือของลู่เซิ่น
ฉินฉีรู้จักกับเขามาก่อนชัดๆ จ้านเซินจึงรู้สึกว่าตัวเองก็ไม่ได้แย่ไปกว่าลู่เซิ่นเลย ทำไมฉินซีถึงชอบลู่เซิ่น จนถึงขั้นทรยศเขาเพื่อลู่เซิ่นได้
แต่ทว่า เมื่อคิดถึงถังย่า จ้านเซินกลับรู้สึกเหมือนกับว่าหัวใจได้ถูกทิ่มแทง จนทำให้เขารู้สึกเจ็บแปลบๆไม่หยุด
จั่วยีรู้สึกว่ามือที่อยู่บนลำคอรัดแน่นขึ้นเรื่อยๆ และใบหน้าที่ขาวซีดของเขาก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีแดง “แค่กๆๆ……”
เขาไอออกมาด้วยความเจ็บปวด และใช้แรงตบไปที่แขนของจ้านเซิน
จั่วยีอยากจะพูดออกมา แต่จ้านเซินก็ไม่ให้โอกาสเขาได้เอ่ยปากพูดเลย
ในตอนที่จั่วยีคิดว่าตัวเองกำลังจะถูกจ้านเซินบีบคอจนตายไปเสียแล้ว ทันใดนั้นซิวหน่ายซิงก็ปรากฏตัวออกมา
“เดี๋ยวก่อนครับ!”
ซิวหน่ายซิงไม่คาดคิดว่าพอเดินออกมาจากประตูจะได้เห็นฉากที่โหดร้ายเช่นนี้เข้า
ดวงตาทั้งสองข้างของเขาเบิกกว้างด้วยความไม่อยากจะเชื่อ ในขณะที่กำลังมองดูจ้านเซินที่มีสีหน้ามืดมิดอยู่ ในใจของเขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี
ในระยะนี้ ซิวหน่ายซิงถูกส่งออกไปปฏิบัติภารกิจ เขาตามหาฉินซีกับลู่เซิ่นอยู่ตลอดเวลา จึงไม่ค่อยได้อยู่ในฐานสักเท่าไหร่
เหตุผลหลักๆก็คือจ้านเซินไม่วางใจซิวหน่ายซิง ดังนั้นจึงไม่อยากให้เขาอยู่ในองค์กรเป็นเวลานาน
ซิวหน่ายซิงเองก็เข้าใจความหมายของเขาเช่นเดียวกัน เขาจึงดูถูกเหยียดหยามอยู่ในใจเป็นอย่างมาก
ถ้าไม่ใช่ว่าถังย่าอยู่ที่นี่ เขาก็ไม่เคยคิดที่จะอยากอยู่ในสถานที่แบบนี้หรอก
ซิวหน่ายซิงไม่ใช่คนที่ได้รับการฝึกฝนจากองค์กร นับตั้งแต่ที่เขาถูกถังย่านำตัวกลับมาด้วย เขาก็อยู่เคียงข้างเธอมาโดยตลอด ดังนั้นเขาไม่มีความรู้สึกที่พิเศษต่อองค์กรเลย ในสายตาของเขามีเพียงถังย่าเพียงคนเดียวเท่านั้น ถังย่าให้เขาทำอะไร เขาก็จะทำอย่างนั้น
เสียงที่ดังขึ้นมาอย่างกะทันหันนั้น ทำให้จ้านเซินหยุดการกระทำไปชั่วขณะ
จั่วยีจึงถือโอกาสตอนที่จ้านเซินเผลอ รีบสลัดตัวออกมาจากการควบคุมของเขา
จ้านเซินยืนตัวตรงอยู่ที่จุดเดิม ในขณะที่กำลังมองไปที่มือขวาที่สั่นเทาเล็กน้อยของตัวเอง สีหน้าที่หมองคล้ำก็ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของเขา
เขามาค้นพบในภายหลังว่า ในช่วงนี้ตัวเองนับวันยิ่งชอบบีบคอคนมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ทั้งหมดนี้เป็นการกระทำในตอนที่เขาไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ความรู้สึกเช่นนี้ ก็เหมือนกับเมาเหล้าแล้วตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้นโดยที่ไม่รู้อะไรเลยอย่างไรอย่างนั้น
จ้านเซินมีสติสัมปชัญญะเป็นอย่างมากมาแต่ไหนแต่ไร ไม่ว่าจะทำเรื่องอะไรก็อยู่ในขอบเขตการควบคุมของตัวเองทุกเรื่อง
ความรู้สึกที่ไม่รู้จักนี้ ทำให้หัวใจของจ้านเซินสับสนวุ่นวายเป็นอย่างมาก
เขาไม่รู้ว่าตกลงเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองกันแน่ ทำไมเขาถึงไม่มีความทรงจำในช่วงเวลาเมื่อสักครู่นี้เลย
“อ๊าก!”
ทันใดนั้นจ้านเซินก็รู้สึกปวดศีรษะอย่างรุนแรง เขาจึงพิงผนัง แล้วแผดเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด และใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาก็มีสีหน้าที่โกรธเกรี้ยวปรากฏขึ้น
เส้นเลือดสีเขียวก็ปูดขึ้นมาบนหลังมือของเขา ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ ดูเหมือนสัตว์ป่าที่บ้าคลั่งตัวหนึ่ง รู้สึกน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง
จั่วยีกับซิวหน่ายซิงจึงถอยหลังกลับไปในทันที
พวกเขาไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับจ้านเซินในตอนนี้กันแน่ และกังวลว่าหลังจากที่ก้าวเท้าขึ้นไปจะต้องโดนจ้านเซินฆ่าตายโดยเจตนาแน่ๆ
จะต้องเข้าใจว่า จ้านเซินนั้นเป็นคนมีพละกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดในองค์กรทั้งหมด
ถ้าหากจ้านเซินอยู่ในสภาพที่คลุ้มคลั่งแบบนี้ การที่จะต่อสู้กับคนนับสิบด้วยตัวคนเดียวก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ง่ายดายมากเลยทีเดียว
จั่วยีเคยเห็นภาพนี้มากับตาตัวเองแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าก้าวไปข้างหน้า
เขาจำได้ว่าถังย่าปฏิบัติหน้าที่เคร่งครัดและรอบคอบอย่างมากมาโดยตลอด เวลาที่จะออกไปไหน เธอก็มักจะเช็คครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อความแน่ใตเสมอ
แต่ทว่า คราวนี้แม้แต่ประตูไม่ได้ล็อคถังย่าก็ยังไม่รู้เลย แล้วก็ออกไปทันที
ข้อคิดโยงไปถึงการแสดงออกของถังย่าเมื่อสักครู่นี้ ความกลัดกลุ้มภายในหัวใจของซิวหน่ายซิงก็มากขึ้นเรื่อยๆ แท้ที่จริงแล้วเรื่องอะไรกันแน่ ที่สามารถทำให้ถังย่าเป็นกังวลและกระวนกระวายใจได้ขนาดนี้
ในความเป็นจริง จั่วยีไม่ได้คิดลึกอะไรเลย
เขาหาถังย่าไม่เจอ ก็เตรียมที่จะเดินกลับไป
แต่ทว่า จั่วยีกลับพบกับจ้านเซินระหว่างทาง
จ้านเซินมองไปที่ท่าทางที่รีบร้อนของเขา แล้วขมวดคิ้วและพูดว่า “นายกำลังทำอะไร?”
เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา และสายตาอันคมกริบก็มองไปบนใบหน้าของจั่วยี
จั่วยีมองไม่เห็นร่างของเขา จนเกือบที่จะเดินตรงไปพุ่งชนเขา
เขาตะลึงงันไปครู่หนึ่ง แล้วจึงตอบอย่างลุกลี้ลุกลนว่า “เปล่าครับ ไม่ได้ทำอะไร”
จั่วยีทำท่าทางอึกๆอักๆ ทำให้ในใจของจ้านเซินยิ่งรู้สึกงุนงงมากยิ่งขึ้น
จ้านเซินหรี่ตาลง แล้วมองดูเขาอย่างไม่ปลอดภัย “จั่วยี ตอนนี้นายกำลังเล่นลูกไม้อะไรกับฉันอยู่หรือเปล่า?”
สีหน้าของเขาเย็นชา และน้ำเสียงของเขาก็เผยให้เห็นจิตสังหารที่กระหายเลือดออกมา
ทันใดนั้นจั่วยีก็สั่นเทาขึ้นมา แล้วเอ่ยปากพูดอย่างสั่นเครือว่า “หัวหน้า ผมเปล่านะครับ ผมจะกล้าเล่นลูกไม้กับหัวหน้าได้ยังไงล่ะครับ”
เขาโบกมือไปมา และหน้าแดงด้วยความประหม่า
สาเหตุที่จ้านเซินมีความรู้สึกอ่อนไหวมากอยู่อย่างนี้ก็เป็นเพราะฉินซี
จั่วยีรู้สึกได่อย่างชัดเจนว่า อารมณ์ของจ้านเซินเริ่มที่จะค่อยๆฉุนเฉียวขึ้นมาแล้ว
“งั้นนายก็บอกฉันมา ว่านายมาจากที่ไหน”
จ้านเซินจับจ้องไปที่เขาอย่างตรงไปตรงมา และกำลังรอคำตอบจากเขาอยู่
เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว จั่วยีไหนเลยจะกล้าปกปิดเอาไว้ “ผมมาจากในห้องของคุณหนูถังครับ”
เขาทำได้เพียงเอ่ยปากออกมาด้วยความจำใจ เพราะกลัวว่าจ้านเซินจะโกรธมากจนตั้งใจปลิดชีวิตเขา
“ถังย่าเหรอ?”
สีหน้าที่ประหลาดใจปรากฏออกมาบนใบหน้าอันหล่อเหลาของจ้านเซิน
จั่วยีเป็นลูกน้องของเขา จึงมีการติดต่อโดยตรงกับเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น และไม่ค่อยได้ไปถังย่า
ถังย่ามีซิวหน่ายซิงแล้ว ดังนั้นก็เลยไม่จำเป็นต้องใช้จั่วยี
จ้านเซินซักถามต่อไปว่า “ทำไมนายต้องไปหาถังย่าด้วย ช่วงนี้ฉันไม่ได้มอบหมายงานให้นายเลยเหรอ”
ตอนนี้เรื่องที่ใหญ่ที่สุดภายในองค์กรก็คือค้นหาที่อยู่ของฉินซี
ถ้าหากมีข่าวของฉินซี จั่วยีควรจะมารายงานเขาเป็นคนแรกสิ ไม่ใช่ไปหาถังย่า
ดังนั้น ทำไมตอนนี้จั่งยีถึงไปหาถังย่าล่ะ?
ถึงแม้ว่าช่วงนี้อารมณ์ของจ้านเซินจะแปรปรวนไปหมด แต่สมองของเขายังคงปลอดโปร่งอยู่
แล้วบนใบหน้าของจั่วยีก็ได้ปรากฏสีหน้าที่ลำบากใจออกมา “เอ่อ…….”
เขาไม่รู้ว่าจะบอกกับจ้านเซินอย่างไร ถ้าทำให้จ้านเซินรู้ว่าถังย่าขอให้เขาเฝ้าติดตามดูความเคลื่อนไหวของเขาอย่างลับๆ และถ้ามีอะไรต้องรายงานเธอได้ทุกเมื่อ เช่นนั้นจ้านเซินจะต้องโกรธเขามากแน่นอน
จั่วยีโกหกไม่เก่ง แต่ก็ทำได้เพียงกัดฟันพูดออกไปว่า “หัวหน้าครับ ผมกับคุณหนูถังไม่มีอะไรจริงๆ ก็แค่ของของคุณหนูถังหาย แล้วผมก็บังเอิญไปเจอเข้าพอดี ผมก็เลยเอาไปให้เธอเท่านั้นเองครับ”
นับตั้งแต่เมื่อก่อนที่นานมากๆแล้ว เขาก็คอยอยู่เคียงข้างจ้านเซินมาโดยตลอด
เขาจงรักภักดีมานานหลายปี และไม่เคยพูดโกหกเลย
นี่คือการพูดโกหกครั้งแรกของจั่วยี เขาจึงพูดจาอ้ำๆอึ้งๆ จ้านเซินมองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเขาโกหก
ทันใดนั้นจ้านเซินก็คิดโยงไปถึงการทรยศของฉินซี เขาจึงรู้สึกโกรธมาก แล้วพูดว่า “พอแล้ว!”
เขาตะโกนสั่งด้วยเสียงที่เคร่งขรึม แล้วจับคอเสื้อของจั่งยีเอาไว้ และลากเขาเข้ามาอย่างกะทันหัน
จั่วยีสูง 183 เซนติเมตร ซึ่งถือว่าสูงมากเลยทีเดียว แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าจ้านเซินที่สูง 190 เซนติเมตร เขายังดูอ่อนแอมากอย่างเห็นได้ชัด
จั่วยียังมีปฏิกิริยาตอบสนองใดใดกลับมา เขาก็เดินมาอยู่ข้างๆจ้านเซินแล้ว
ทั้งสองคนอยู่ใกล้กันมาก จนจั่วยีสามารถรู้สึกถึงความโมโหเดือดดาลที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวของจ้านเซินได้อย่างชัดเจน
ทันใดนั้นก็รู้สึกหวาดผวาจนขาทั้งสองข้างของเขาอ่อนแรง และไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี
“จั่วยี เห็นแก่ที่นายอยู่เคียงข้างฉันมานานหลายปี ฉันจะให้โอกาสนายเป็นครั้งสุดท้าย บอกฉันมา ว่าทำไมนายถึงได้ไปที่ห้องของถังย่า”
ภายในใจของจ้านเซินมีความโกรธนิรนามกลุ่มหนึ่งลอยขึ้นมา และภายในดวงตาสีดำขลับก็ได้เปล่งประกายแสงแห่งความเคร่งขรึมออกมา
เขาไม่รู้ว่าทำไม เมื่อเขาคิดไปว่าถังย่าก็มีโอกาสอย่างมากที่จะทรยศตัวเองด้วยอีกคน เขาก็รู้สึกเศร้าอย่างหาที่สุดมิได้
ความรู้สึกเช่นนี้ เป็นความรู้สึกที่จ้านเซินไม่มีตอนที่เผชิญหน้ากับฉินซี
ปฏิบัติต่อฉินซี จ้านเซินจะมีความรู้สึกไม่เต็มใจเป็นอย่างมาก และอยากจะแย่งฉินซีคืนมาจากเงื้อมมือของลู่เซิ่น
ฉินฉีรู้จักกับเขามาก่อนชัดๆ จ้านเซินจึงรู้สึกว่าตัวเองก็ไม่ได้แย่ไปกว่าลู่เซิ่นเลย ทำไมฉินซีถึงชอบลู่เซิ่น จนถึงขั้นทรยศเขาเพื่อลู่เซิ่นได้
แต่ทว่า เมื่อคิดถึงถังย่า จ้านเซินกลับรู้สึกเหมือนกับว่าหัวใจได้ถูกทิ่มแทง จนทำให้เขารู้สึกเจ็บแปลบๆไม่หยุด
จั่วยีรู้สึกว่ามือที่อยู่บนลำคอรัดแน่นขึ้นเรื่อยๆ และใบหน้าที่ขาวซีดของเขาก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีแดง “แค่กๆๆ……”
เขาไอออกมาด้วยความเจ็บปวด และใช้แรงตบไปที่แขนของจ้านเซิน
จั่วยีอยากจะพูดออกมา แต่จ้านเซินก็ไม่ให้โอกาสเขาได้เอ่ยปากพูดเลย
ในตอนที่จั่วยีคิดว่าตัวเองกำลังจะถูกจ้านเซินบีบคอจนตายไปเสียแล้ว ทันใดนั้นซิวหน่ายซิงก็ปรากฏตัวออกมา
“เดี๋ยวก่อนครับ!”
ซิวหน่ายซิงไม่คาดคิดว่าพอเดินออกมาจากประตูจะได้เห็นฉากที่โหดร้ายเช่นนี้เข้า
ดวงตาทั้งสองข้างของเขาเบิกกว้างด้วยความไม่อยากจะเชื่อ ในขณะที่กำลังมองดูจ้านเซินที่มีสีหน้ามืดมิดอยู่ ในใจของเขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี
ในระยะนี้ ซิวหน่ายซิงถูกส่งออกไปปฏิบัติภารกิจ เขาตามหาฉินซีกับลู่เซิ่นอยู่ตลอดเวลา จึงไม่ค่อยได้อยู่ในฐานสักเท่าไหร่
เหตุผลหลักๆก็คือจ้านเซินไม่วางใจซิวหน่ายซิง ดังนั้นจึงไม่อยากให้เขาอยู่ในองค์กรเป็นเวลานาน
ซิวหน่ายซิงเองก็เข้าใจความหมายของเขาเช่นเดียวกัน เขาจึงดูถูกเหยียดหยามอยู่ในใจเป็นอย่างมาก
ถ้าไม่ใช่ว่าถังย่าอยู่ที่นี่ เขาก็ไม่เคยคิดที่จะอยากอยู่ในสถานที่แบบนี้หรอก
ซิวหน่ายซิงไม่ใช่คนที่ได้รับการฝึกฝนจากองค์กร นับตั้งแต่ที่เขาถูกถังย่านำตัวกลับมาด้วย เขาก็อยู่เคียงข้างเธอมาโดยตลอด ดังนั้นเขาไม่มีความรู้สึกที่พิเศษต่อองค์กรเลย ในสายตาของเขามีเพียงถังย่าเพียงคนเดียวเท่านั้น ถังย่าให้เขาทำอะไร เขาก็จะทำอย่างนั้น
เสียงที่ดังขึ้นมาอย่างกะทันหันนั้น ทำให้จ้านเซินหยุดการกระทำไปชั่วขณะ
จั่วยีจึงถือโอกาสตอนที่จ้านเซินเผลอ รีบสลัดตัวออกมาจากการควบคุมของเขา
จ้านเซินยืนตัวตรงอยู่ที่จุดเดิม ในขณะที่กำลังมองไปที่มือขวาที่สั่นเทาเล็กน้อยของตัวเอง สีหน้าที่หมองคล้ำก็ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของเขา
เขามาค้นพบในภายหลังว่า ในช่วงนี้ตัวเองนับวันยิ่งชอบบีบคอคนมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ทั้งหมดนี้เป็นการกระทำในตอนที่เขาไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ความรู้สึกเช่นนี้ ก็เหมือนกับเมาเหล้าแล้วตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้นโดยที่ไม่รู้อะไรเลยอย่างไรอย่างนั้น
จ้านเซินมีสติสัมปชัญญะเป็นอย่างมากมาแต่ไหนแต่ไร ไม่ว่าจะทำเรื่องอะไรก็อยู่ในขอบเขตการควบคุมของตัวเองทุกเรื่อง
ความรู้สึกที่ไม่รู้จักนี้ ทำให้หัวใจของจ้านเซินสับสนวุ่นวายเป็นอย่างมาก
เขาไม่รู้ว่าตกลงเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองกันแน่ ทำไมเขาถึงไม่มีความทรงจำในช่วงเวลาเมื่อสักครู่นี้เลย
“อ๊าก!”
ทันใดนั้นจ้านเซินก็รู้สึกปวดศีรษะอย่างรุนแรง เขาจึงพิงผนัง แล้วแผดเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด และใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาก็มีสีหน้าที่โกรธเกรี้ยวปรากฏขึ้น
เส้นเลือดสีเขียวก็ปูดขึ้นมาบนหลังมือของเขา ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ ดูเหมือนสัตว์ป่าที่บ้าคลั่งตัวหนึ่ง รู้สึกน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง
จั่วยีกับซิวหน่ายซิงจึงถอยหลังกลับไปในทันที
พวกเขาไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับจ้านเซินในตอนนี้กันแน่ และกังวลว่าหลังจากที่ก้าวเท้าขึ้นไปจะต้องโดนจ้านเซินฆ่าตายโดยเจตนาแน่ๆ
จะต้องเข้าใจว่า จ้านเซินนั้นเป็นคนมีพละกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดในองค์กรทั้งหมด
ถ้าหากจ้านเซินอยู่ในสภาพที่คลุ้มคลั่งแบบนี้ การที่จะต่อสู้กับคนนับสิบด้วยตัวคนเดียวก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ง่ายดายมากเลยทีเดียว
จั่วยีเคยเห็นภาพนี้มากับตาตัวเองแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าก้าวไปข้างหน้า